โค้งอันตราย
ใกล้จะรุ่ง
จบการขายสำหรับเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขที่กำลังปรับตัวเข้าหาสมดุล ลดยอดการขายตกต่ำลงเหลือเพียง 28.1% ขายกันได้ 66,931 คัน ขณะที่ปีที่ผ่านมา ขายกันถึง 9.3 หมื่นคัน ยอดรวมยังคงลดต่ำกว่าเดิม 37.9 % ขายกันเพียง 633,612 คัน แต่นักการตลาดก็ยังคงวางเป้าการขายปีนี้อยู่ที่ตัวเลข 900,000 คัน เพราะเชื่อว่า 3 เดือนที่เหลือ ความเชื่อมั่นจะกลับคืน รวมทั้งรถรุ่นใหม่ๆ ที่เตรียมตัวลงสนามกันในเดือนสุดท้ายของปี จะสามารถกู้ตัวเลขขึ้นมาได้บ้าง
แต่สิ่งที่นักการตลาด มองไกลไปถึงปีหน้า ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่สดใสสำหรับวงการอีกปีหนึ่ง เพราะการบริหารราชการงานเมือง เริ่มเข้าที่เข้าทาง มีการอนุมัติโครงการใหม่ๆ ที่จะทำให้เป็นผลดีสำหรับวงการยานยนต์ โดยเฉพาะด้านรถเพื่อการพาณิชย์ ที่พอมองเห็นช่องทางเติบโตได้แน่นอน
มาดูกันว่า โครงการที่ขออนุมัติส่งเสริมการลงทุน เฉพาะที่ค้างคาอยู่ และได้รับอนุมัติออกมาแล้ว หลังจากบริหารงานโดย คสช. ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 603 โครงการ เงินลงทุนรวมประมาณ 458,595 ล้านบาท โดยล่าสุด ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ และแก้ไขโครงการอีก 2 โครงการ รวมเงินลงทุน 89,713.4 ล้านบาท
มาดูกันว่า ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ มีอะไรกันบ้าง เริ่มด้วย เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น ฯ ผลิตชิ้นส่วนพลาสติคสำหรับยานพาหนะ เงินลงทุน 1,089.4 ล้านบาท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี โครงการอีโคคาร์ 2 เงินลงทุน 18,180 ล้านบาท, เจเนอรัล มอเตอร์ส ขยายกิจการ โครงการอีโคคาร์ 2 เงินลงทุน 13,109 ล้านบาท นิสสัน มอเตอร์ ฯ โครงการอีโคคาร์ 2 เงินลงทุน 6,860 ล้านบาท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ฯ ขยายกิจการ โครงการอีโคคาร์ 2 เงินลงทุน 4,900 ล้านบาท และ โตโยต้า ฯ ขยายกิจการ โครงการอีโคคาร์ 2 เงินลงทุน 1,900 ล้านบาท
และยังมีโครงการลงทุน โครงการอีโคคาร์ 2 ที่ค้างคาอยู่อีกหลายเจ้า ไม่เฉพาะแต่เรื่องยานยนต์เพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ทาง บีโอไอ เอง ก็พยายามจะเร่งรัดการทำงานให้เร็วขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจบ้านเรา ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
เพียงเรื่องการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับอนุมัติ แน่นอนว่าต้องเกิดการจ้างแรงงาน การสั่งซื้อวัตถุดิบ การสั่งผลิต ตามมาเป็นกระพรวน ทำให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสการเงิน ผลพลอยได้ก็กลับมาตกอยู่กับยอดการขายรถยนต์ในปีหน้าแน่นอน เพราะในเมื่อคนมีเงิน ก็ย่อมต้องการมีรถ หรือมีรถอยู่แล้ว ก็อยากจะเปลี่ยนรถใหม่ ให้ดีกว่าคันเก่า นี่ว่าด้วยเรื่องยานยนต์ตรง
ตัวอย่างเดียว
พอกลับมาดูทางด้านคมนาคมบ้าง กระทรวงคมนาคม ได้ประเมินสถานการณ์ด้านคมนาคมขนส่งในปัจจุบันแล้ว พบว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องพัฒนาโครงข่ายคมนาคม เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน การท่องเที่ยว การขนส่งสินค้าชายแดน และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ปี 2558-2565
มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 4 เป้าหมาย ประกอบด้วย 1) เสริมสร้างรากฐานความมั่นคงทางสังคม 2) เสริมสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 3) เสริมสร้างความมั่นคง ความปลอดภัย และ 4) สร้างโอกาสสำหรับการแข่งขัน และให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดจากการเป็นประชาคมอาเซียน และ 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1) การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง 2) การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3) การเพิ่มขีดความสามารถทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4) การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ และ 5) การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางอากาศ
ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2558 คมนาคม จะเร่งพิจารณาโครงการรถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง เป็นรถไฟทางคู่ขนาดความกว้าง 1.00 ม. (METER GAUGE) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เริ่มด้วยเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-คลอง 19-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม. ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 132 กม. และ นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. ให้แล้วเสร็จในปี 2557 เพื่อเสนอ ครม. อนุมัติเพื่อประกวดราคาต่อไป จะทำให้มีโครงข่ายรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นระยะทาง 903 กม. เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินรถที่คับคั่ง และรองรับการขนส่งสินค้าและลอจิสติคส์ของประเทศ ลดระยะเวลาการเดินทาง ลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนทั่วประเทศ
แถมมาด้วยเรื่องใหม่ล่าสุดของประเทศ คือ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ขนาดความกว้าง 1.435 ม. (STANDARD GAUGE) ซึ่งยังไม่เคยมี โครงข่ายทางรถไฟขนาดทางมาตรฐานในบ้านเรามาก่อน แต่หนนี้ เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อความสัมพันธ์อันดี ก็เกิดมีโครงข่ายรถไฟทางคู่ ขนาดทางมาตรฐาน เส้นทาง หนองคาย-นครราชสีมา-ท่าเรือแหลมฉบัง
โครงการที่ได้ศึกษา ออกแบบแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างอนุมัติ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรุงเทพ ฯ-ระยอง ระยะทาง 193 กม. เตรียมการศึกษาทบทวน กรุงเทพ ฯ-นครราชสีมา-มาบตาพุด ระยะทาง 512 กม. ระยะเวลา 12 เดือน และ นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. ศึกษารายละเอียด ระยะเวลา 14 เดือน
เมื่อศึกษาออกแบบกรอบรายละเอียดแล้วเสร็จ ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม และออก พรก. เวนคืนที่ดิน เพื่อนำไปสู่การขออนุมัติโครงการและก่อสร้าง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 25622563 จะทำให้ประเทศไทย มีโครงข่ายรถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐาน ระยะทาง 1,060 กม. อันจะทำให้โครงข่ายทางรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีระยะทางเพียง 251 กม. เพิ่มขึ้นเป็นระยะทาง 3,589 กม.
เจ้าโครงข่ายรถไฟทางคู่ขนาดความกว้าง 1.435 ม. นี่ หากคนกรุงเทพ ฯ อยากจะใช้บริการ เห็นทีจะต้องไปตีตั๋วขึ้นที่ จ. ชลบุรี นะครับ เพราะสายทางไม่ได้เลี้ยวเข้ามากรุงเทพมหานคร แต่อย่างใด คงอีกไม่นานเกินรอ ก็น่าจะได้ใช้บริการกันเป็นครั้งแรกแล้ว
ปัจจุบันกระทรวงคมนาคม กำลังประมวลสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ และคำแถลงนโยบายของ ครม. จัดทำเป็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ปี 2558-2567 (ระยะ 10 ปี) รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วน แอคชัน พแลน ปี 2558 เพื่อนำเสนอ ครม. ให้ความเห็นชอบต่อไป
คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ว่าผลของการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จากโครงการของกระทรวงคมนาคม รวมทั้งเส้นทางโครงข่ายรถไฟทางคู่ ขนาดความกว้าง 1.435 ม. จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์อย่างไรบ้าง แต่บรรดานักการตลาดของทุกค่าย โดยเฉพาะค่ายที่มีรถเพื่อการพาณิชย์จำหน่าย ต่างพากันประเมินความสามารถของตนเองว่าอีกเมื่อไรจะเกิดความต้องการรถขนาดใหญ่ จะได้เตรียมตัวเข้าสู่สนามแห่งการต่อสู้ได้โดยไม่เสียเปรียบคู่แข่งขัน
แถมด้วยเรื่องสำหรับคนกรุงเทพ ฯ อีกเรื่องหนึ่ง หนนี้ กระทรวงคมนาคม ท่านเร่งรัดจัดซื้อรถโดยสารประจำทางใช้เชื้อเพลิงแกสธรรมชาติ ซีเอนจี จำนวน 3,183 คัน โดยคาดว่าจะสามารถส่งมอบรถปรับอากาศ 5 คันแรก ภายในเดือนมกราคม 2558 เพื่อทดลองวิ่งดำเนินการ และภายในเดือนมีนาคม 2558 จะได้รับมอบรถตามสัญญาจำนวน 489 คัน ส่วนที่เหลือ 2,694 คัน ได้รับมอบภายในปี 2558
เรื่องนี้ผ่านพ้นการพิจารณามาหลายสมัย หนนี้สามารถดำเนินการได้โดยไม่มีเสียงครหา ก็เพราะเป็นครม. ชุด คสช. ที่ประชาชนให้การยอมรับนี่เอง ไม่อย่างนั้นละก็ ประท้วงกันทั้งบนดิน ทั้งใต้ดิน สนุกสนานแน่นอน
คนกรุงเทพ ฯ ยังโชคดีที่ได้ใช้ของใหม่ โดยยังไม่ขึ้นราคา เพราะท่านว่าจะปรับปรุงราคาจำหน่ายเชื้อเพลิงทุกประเภท ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ในอีกไม่นานเกินรอ รับรองว่าได้มีรายการประท้วงเกิดขึ้นแน่
เชื่อผมเถอะครับ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย