ชีวิตคือความรื่นรมย์
กุมภาพันธ์พิไร
ทุกครั้งที่ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าอดที่นึกถึงเนื้อเพลงๆ หนึ่ง ซึ่งฝังใจมาจากการที่พี่สาวที่รักยิ่งคนเดียวเคยร้องและรำตามที่ครูสอนจากโรงเรียนตอนเด็กๆ
แล้วจำตอนต่อไปอีกไม่ได้ หลายสิบปีต่อมา เมื่อได้รู้จักครูเพลงไทยที่มีทำนองเพลงอยู่ในกรุความทรงจำอันวิเศษ เคยถามครู-ครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต ที่เคารพ-ที่พึ่งตลอดเวลาที่มีปัญหาทางเพลงไทย เมื่อร้องออกทำนองให้ฟังสักสองวรรค ครูก็บอกทันทีว่า “ก็เพลงพระยาครุฑไง” ครูพูด “ไง” เหมือนเรารู้เพลงไทยดีนัก เพราะเวลาครูไปร้องประกอบสักวาให้พวกเรา ก็ถามครูบ่อยว่าเพลงนี้ชื่ออะไร เพลงที่ร้องเมื่อสักครู่ชื่ออะไร เพื่อให้คนฟังรู้บ้าง ครูก็จะบอกว่า “ก็เพลง...ไง”
แต่ความที่เกรงใจ อยากซักไซ้ถามเอาความรู้จากครูว่าเพลงนี้ว่ามาจากที่ไหนอย่างไร และต่อไปอย่างไร ก็เกรงใจครู เพราะครูมีงานมากเหลือเกิน จนกระทั่งครูป่วย ไปเยี่ยมยังทบทวนเพลงต่างๆ ให้ฟัง จนกระทั่งวันหนึ่งครูก็จากเราไป
แรงบันดาลใจจากเพลงพระยาครุฑสั้นๆ นั้น ทำให้ข้าพเจ้านำเอาฉันทลักษณ์ของ “สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙” มาแปลงไว้ครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วส่งจากนครพนมไปให้ พี่ปุ๊-รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งทำหน้าที่บรณาธิการ/ผู้ผลิตหนังสือรายเดือน เฟื่องนคร (ที่มีคนเคยเรียกว่า “นิตยสารมีนามสกุล”) พี่ปุ๊ กรุณาลงให้ในเดือนถัดมา (นักอ่านคนใดที่สะสมหนังสือชุดนี้ไว้ได้ กรุณาค้นและกรุณาบอกให้ทราบด้วยว่าอยู่เล่มไหนเดือนไหน ปลอบใจคนอายุเหลือน้อย ก็จะได้บุญกุศล ?)
บทกลอนชิ้นนั้น ข้าพเจ้าใช้ชื่อว่า “กุมภาพันธ์พิไร” โดยนำบรรยากาศเมื่อเยาว์วัยในกลางทุ่งนาบ้านเกิดที่รักฝังใจนั้น มีดังข้างล่างนี้ (เสียดายที่ไม่สามารถทำแผนผังสัญลักษณ์ครุลหุของฉันทลักษณ์ฉันท์ดังกล่าวได้ เพราะเป็นการแปลงฉันท์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหนักเบา (ครุลหุ) จึงได้แต่แบ่งช่วงการอ่านแทน และบทกลอนนี้ มีการปรับใหม่บ้างให้อ่านง่ายๆ ได้ความเรื่องเหมือนกลอนธรรมดาๆ ดังนี้)
@หลับตาลง, ทุกเช้าเย็น, เห็นริ้วทิวหมากมะพร้าว เบียดเสียดยอดเหยียดยาว ริมโขง/ หางนกยูง, ยามหน้าแล้ง, ดอกแดงดาระดาษโพลง คูนเหลืองระย้าโค้ง ฟ้าคราม/ดอกจานแดง, ระดะทุ่ง, ฝุ่นฟุ้งทุกขณะยาม เกวียนนับสิบสิบตาม กันไป/เราวิ่งเตะ, ตอซังข้าว, ตะครุบแมงมันขวักไขว่ คอร้อยเรียวหญ้าไว้ จี่กิน/แลลางที, เอาเสียมแซะ, แกะแคะไค้ขุดดิน ขอเกี่ยวกบเขียดดิ้น กระแด่ว/ยินพี่สาว, กระชั้นเสียง, สำเนียงเรียกอยู่แจ้วแจ้ว กลับบ้านเถิดมืดค่ำแล้ว อาบน้ำ/แม่รวบมือ, ขมิ้นทา, แล้วขัดด้วยหินทรายดำ เนื้อแสบแปลบน้ำซ้ำ สั่นหนาว/ควันไฟลอย, ยาวอ้อยอิ่ง, ทิ้งทอดทุ่งเป็นทางยาว แสงไต้ไหววิบวาว ดาวอาย/
@หอมกลิ่นแกง, กบเขียดคั่ว, คลุกใบมะกรูดกำจาย ล่อลิ้นเลียน้ำลาย อย่างแรง/สองพี่ชาย, ต้อนไอ้ตู้, ไอ้เผือกเข้าคอกเข้าแหล่ง สุมควันไล่ยุงแยง หูตา/เสียงแม่บอก, วันนี้มี, กับข้าวแกงกบแจ่วปลา ลูกรีบล้างผักมา ให้ที/ผักจากสวน, ริมน้ำโขง, เพิ่งถอนสดสดเดี๋ยวนี้ อวบอ้วนล้วนกลิ่นสี ชวนกิน/
@หลังกินข้าว, พี่สาวหอบ, ไนฝ้ายลงข่วงลานดิน เราออดแม่ใคร่ยิน นิทาน/เสียงแม่เล่า, เคล้าเสียงพ่อ, กับพี่ตีข้าวกลางลาน ตุบตับตุบตับนาน ง่วงนอน/แว่วเสียงเพลง, พี่สาวพร้อง, ทำนองเสนาะในกลอน ไนรับแววับวอน วาจา/
“กุมภาพันธ์ผันมาสู่ฤดูร้อน ทินกรเริงแรงส่องแสงกล้า
เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา ขนข้าวปลามาบ้านสำราญใจ”
@ ทุกทุกครั้ง, คราได้ยิน, ใครพร้องเพลงนี้ที่ใด คิดครั้งยังแจ่มใส วัยเยาว์/สิ้นพ่อแม่, ไกลพี่พี่, ไม่มีที่ซุกนอนเนา ว้าเหว่เร่ร่อนเร้า หลับตา/วาบแววน้ำ, อุ่นอุ่นใส, ไหลนองสองนัยนา หาตักจักซบหน้า นึกหายฯ
โอ้...ความสดใสในวัยเยาว์ ในความทรงจำในวันเก่าๆ ของลูกชาวนากำพร้าพ่อเมื่อวัย 5-6ขวบ อดระลึกถึงคืนวันอันไม่มีวันหวนกลับมา นอกจากจะผนึกแน่นในส่วนลึกของหัวใจ ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่อาจได้ซึมซับและซึ้งในความจริงนั้น จึงจำจารึกไว้เป็นอนุสรณ์...ดั่งนี้แล
ABOUT THE AUTHOR
ป
ประยอม ซองทอง
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์