โค้งอันตราย
ไม่เข้าเป้า
เป็นไปตามคาดหมายมาหลายเดือน สรุปยอดขายรถยนต์ ปี 2557 ไม่เข้าตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ แม้ว่าจะมีการลดเป้าลงมา จาก ล้านสอง เหลือเพียง เก้าแสน แต่ตัวเลขการขายจริง ขายได้เพียง 859,830 คัน ตกต่ำจากปี 56 ไปถึง 34.4% โดยเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายของปี ทำการขายได้ 86,076 คัน ลดลง 22.7% ถือเป็นการปรับตัวเข้าสู่สภาพความเป็นจริงของตลาด หลังจากสร้างกระแสความต้องการเทียมมาก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นยอดขายสถิติสูงสุดภายในรอบ 12 เดือน
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ มองว่า ยอดขายรถยนต์ที่หดตัวลงก็เพราะ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว การลงทุนของรัฐที่ล่าช้า การเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังไม่มากพอ ราคาสินค้าเกษตรลดลง รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ดีขึ้น
ลองดูตัวเลขของรถจักรยานยนต์ ทั้งปี 2557 ขายได้ 1,701,535 คัน ลดลง 15.11 % เป็นไปในแนวเดียวกับรถยนต์
ทางด้านการส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ ทั้งปี ส่งออกทั้งปี 1,128,102 คัน ไม่มีการเจริญเติบโต เพราะได้เกือบเท่ากับปี 2556 เนื่องจากเศรษฐกิจในตลาดออสเตรเลีย และตลาดเอเชียชะลอตัวลง ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมาก จึงนำเข้ารถยนต์จากประเทศไทยลดลง แต่ก็มีมูลค่าการส่งออก 527,423.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.97 %
ขณะเดียวกัน สภาอุตสาหกรรมก็เปิดเผยตัวเลข ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย THAI INDUSTRIES SENTIMENT INDEX TISI ในเดือนธันวาคม 2557 จำนวน 1,153 ราย ครอบคลุม 42 กลุ่มอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นระดับ 92.7 จากระดับ 89.7 ในเดือนพฤศจิกายน มีค่าสูงสุดในรอบ 14 เดือน เกิดจากยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ประมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเทศกาลปีใหม่ และการจัดงาน MOTOR EXPO ส่งผลดีต่อยอดขายในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมทั้งราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ต้นทุนการผลิต และค่าขนส่งลดลงด้วย
นั่นเป็นความเห็นของหน่วยงานด้านอุตสาหกรรม ที่ยอมรับเช่นกัน ว่างาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ที่เพิ่งผ่านไป แม้ว่ายอดจองภายในงาน 12 วัน ได้เพียง 44,972 คัน ไม่ถึงตามเป้าหมาย 50,000 คัน ก็ตามที แต่ก็แอบเป็นปลื้มเล็กๆ ไม่ได้ ที่ยังมีคนที่เห็นความสำคัญกับงานของเรา ขอบคุณนะครับ
หันมาดูประมาณการยอดการขายรถยนต์ ที่บรรดาท่านผู้รู้ได้พิจารณาสภาวะเศรษฐกิจต่างๆ กันแล้ว ประเมินกันว่า ยอดขายปี 2558 น่าจะได้ไม่ถึง 1 ล้านคัน โดยฟากทางลีสซิ่งกสิกรไทย ประเมินว่า จะมียอดขายราว 900,000 ถึง 950,000 คัน ขยายตัว 4-9 % เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ ซึ่งอาจทำให้มีการอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ยากขึ้น อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวและยางพารา ที่ยังตกต่ำต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในบางภูมิภาคที่เป็นแหล่งเพาะปลูก อาจต้องเผชิญกับภาวะตลาดที่ซบเซา โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ และภาคกลาง และสภาพเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังน่ากังวล ซึ่งอาจทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวฟื้นตัวในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด รวมถึงจำนวนรถมือสองใหม่ๆ ที่หลุดไฟแนนศ์เข้ามาแข่งขันในตลาดจำนวนมาก จะเป็นแรงกดดันสำคัญในปี 2558 เช่นกัน
ส่วนพี่เอื้อยแห่งวงการ โตโยตา ประเมินไปในทิศทางเดียวกัน ว่า แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2558 จะเป็นช่วงปรับฐานเพื่อกลับเข้าสู่สภาวะปกติของตลาด ควบคู่ไปกับสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้นคาดว่าจะมียอดขายรวมทั้งหมด 920,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 4.3 %
ก็คาดกันไปตามสภาพเศรษฐกิจ และความเป็นไปของสภาวะตลาดในปัจจุบัน ที่ทุกค่ายมองไปในทิศทางเดียวกัน ว่าการลงทุนภาครัฐยังไม่เดินหน้าไปไหนมากนัก การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่ออัดฉีดเข้าสู่กลไกต่างๆ ยังไม่เดินไปถึงไหน โดยคาดตรงกันว่า ช่วงครึ่งปีแรกนี้ ตลาดจะยังคงทรงตัวอีกต่อไป จนล่วงเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังนั่นแหละ ถึงจะมีข่าวดีเพิ่มขึ้นบ้าง
รวมทั้งแจ้งข่าวดีมายังท่านที่คาดหวังว่า ค่ายรถยนต์ ยังจะมีแคมเปญเด็ดๆ ออกมาอีกหรือเปล่า ก็แจ้งมาเพื่อทราบตรงนี้เลย ว่าภาครัฐวางเป้าการปรับภาษีรถยนต์เอาไว้ วันที่ 1 มกราคม 2559 หลังจากนั้น รถบางรุ่น ก็จะได้ลดภาษีเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถปรับราคาขายลงได้อีก ดังนั้น สิ่งที่ค่ายรถยนต์ต้องวางแผนงานตอนนี้ ก็คือ ทำอย่างไร ให้สตอคที่บวมเป่งอยู่ พยายามทำให้สตอคลดลง ด้วยวิธีลดกำลังการผลิต เพราะมีคำสั่งผู้บริหารมาแล้ว ว่าบรรดา แคมเปญต่างๆ ต้องพยายามให้เหลือน้อยลง เพราะเดี๋ยวเจอภาษีใหม่ ต้องปรับราคาขายกันใหม่อีก มันจะทำให้ผู้บริโภคสับสน แต่ละบริษัท ก็จะต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นแทน ดังนั้น แคมเปญที่เราท่านเห็นอยู่ในปัจจุบัน ประเมินว่าจะสามารถยืนโรงกันอยู่ได้แค่ครึ่งปีแรกนี้เท่านั้น ครึ่งปีหลัง ค่ายรถยนต์ต้องพยายามทำให้มีรายการเจ็บตัวน้อยที่สุด ก่อนปรับอัตราภาษีกันใหม่ในปีหน้า
ผู้บริโภค ก็น่าจะตัดสินใจได้แล้ว ว่าจำเป็นต้องใช้รถประเภทไหน อย่างไร เลือกหาพร้อมตัดสินใจได้เลย ไม่น่าจะรอกันต่อไปอีกแล้ว
นี่เป็นคำเตือนจากพี่เอื้อยแห่งวงการนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอก
แว่บไปเรื่องน่ายินดีปรีดากันสักเรื่อง เป็นเรื่องที่เมื่อภาคการเมืองนิ่ง ภาคการลงทุนก็ขยับ ไม่เพียงแต่ค่ายรถยนต์โดยเฉพาะเท่านั้น กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ขยับตัวกันด้วย เป็นข่าวมาจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงสถิติการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในปี 2557 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยื่นขอรับส่งเสริมสูงสุดอันดับ 1 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค มีจำนวน 799 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 822,162 ล้านบาท อันดับ 2 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ พลาสติค จำนวน 503 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 430,091 ล้านบาท อันดับ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์โลหะ จำนวน 734 โครงการ เงินลงทุนรวม 325,864 ล้านบาท มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 3,469 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2,192,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 49 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็เพื่อให้ทันกับการขอรับสิทธิประโยชน์แบบเดิม เพราะ บีโอไอ ได้ปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558
การส่งเสริมการลงทุนในปี 2558 ว่า บีโอไอ จะมุ่งเน้นส่งเสริมโครงการที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย หรือมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศทั้งด้านวิจัยพัฒนา และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ดังนั้นเป้าหมายของ บีโอไอ จะอยู่ที่คุณค่าทางโครงการ ไม่ตั้งเป้าจำนวนโครงการ หรือเม็ดเงินลงทุน
นั่นคือความเป็นไปในปี 2557 ที่ผ่านมา และความคาดหมายปี 2558 ที่กำลังก้าวย่างอยู่ขณะนี้ แต่สิ่งที่ประเมินกันในปี 2559 เป็นต้นไป ยอดขายรถยนต์น่าจะอยู่ในแนวเส้นกราฟที่เพิ่มขึ้น และจะกลับมาอยู่ในระดับเกิน 1 ล้านคันแน่นอน
และยอดจองในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งต่อๆ ไป ก็น่าจะเกิน 5 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นทุกปีแน่นอน อันนี้โหรหลังสถานทูตจีน แกบอกมา ฟังแกไว้หน่อยก็ดีนะครับ อิอิ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย