รู้ไว้ใช่ว่า
หนีให้ตลอด
"หนี" คือ หนี "คดีอาญา" ซึ่งศาลตัดสินแล้ว กี่ศาลก็ตาม จำเลย คือ "คน" ไม่ใช่หมูหมากาไก่ ต้องเข้า "คุก" หรือ "ประหาร" อยู่ในมือราชทัณฑ์ ถ้ามีเฉพาะโทษ "ปรับ" หรือโทษจำคุก ศาลเปลี่ยนเป็นรอลงอาญา ก็คงไม่มีใครหนี ขวนขวายหาสตางค์จ่ายจนได้
ถามว่าเมืองไทยคนหนีคุกมากไหม ครับเพิ่มตลอด โดยเฉพาะพวกมีประกัน เห็นท่าไม่ดี ตูหนีก่อนละ ศาลต้องอ่านคำตัดสินลับหลัง พอรู้ว่าติดคุกแน่ๆ ก็หนีเตลิด ไปต่างประเทศก็เยอะ ทั้งๆ ที่ทุกประเทศอยากสงบเรียบร้อย ไม่อยากมีโจร แต่ทะลึ่งตีลูกเฉย ไม่ยอมส่งผู้ร้ายข้ามแดนแทบทั้งนั้น
ถ้าพวกที่หลบหนีอยากกลับเข้าบ้าน อยู่กับครอบครัว ก็นั่งนับวัน รอให้ขาดอายุความลงโทษซะก่อน แต่ก่อนทำได้ บ้านเราอย่างยาวอายุความลงโทษ 20 ปี หรือสั้นกว่านั้น ตามอัตราโทษ มีเยอะพวกที่หลบหนี รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่จะหมดอายุความรอมร่อ อ้าว...ดันมีเหตุเล็กบ้างใหญ่บ้าง หัวคะมำ โดนรวบตัวยัดคุก แถมด้วยข้อหาหลบหนีเพิ่มเข้าไปอีก
ตอนนี้ประเทศไทยตื่นตัวเรื่องพรรค์นี้ (ปี 2559) กำลังเขียนกฎหมายอุดรูโหว่ ซึ่งแต่ไหนแต่ไร อาจตั้งใจเปิดช่องไว้ เข้าทำนองใครเขียนกฎหมาย ก็เผื่อๆ ตัวเองและพวกพ้อง จะได้มีทางหนี
อันที่จริงเขียนกฎหมายได้ง่ายๆ ต่อไปนี้พวกหนีคุกคดีอาญา "ไม่มีอายุความ" สูต้องหนีไปจนตาย
ขาดไม่ได้ คือ "ต้องมีผลย้อนหลัง" อ้างว่าตูหนีมาก่อน กฎหมายออกทีหลัง ไม่มีผลบังคับ ยังงี้ไม่ได้
มีลูกเล่นเพิ่มเข้าไปอีก ไอ้พวกที่หนี โดนคดีอาญา ฐานหลบหนีอีกกระทงหนึ่ง นอกเหนือจากปรับนายประกัน
ยังไม่หมด มุกนี้ถือว่าเด็ดสะระตี่ ต้องตีมือชมคนเขียน ตรงจุดที่ว่า การยื่นอุทธรณ์ฎีกา ในคดีที่เอ็งทะลึ่งหลบหนี ทั้งๆ ที่คดียังไม่ถึงที่สุด เอ็งต้องยื่นด้วยตนเองที่ศาล มอบให้ทนายหรือคนอื่นยื่นแทน อย่างแต่ก่อนไม่ได้
กรณีถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีพรรค์นี้ ประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียหายฟ้องเองได้ด้วย
มีการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ได้ไป จากการทุจริตประพฤติมิชอบ มาเป็นของรัฐอีกดอก ครบเครื่อง
คาดว่ากฎหมายอุดรูยาแนว ชนิดไม่เคยมีมาก่อนของไทย ได้ใช้อีกไม่นานเกินรอ คนเราอยู่ในวิสัยทำผิดได้ โดนตัดสินติดคุกได้ ตั้งใจหรือประมาท ถึงเวลาต้องเลือก รับการลงโทษแล้วทำดี เรือนจำลดหย่อนให้ ได้เสรีภาพกลับมา หรือหลบๆ ซ่อนๆ ตัวอยู่ข้างนอก แต่ใจผวา เวลาใครถามหา เหมือนอีกาบินผ่าน เมื่อก่อนยังนั่งนับนิ้ว ตูหลบอีกแค่พักเดียว หายห่วง หมายขังศาลหมดความหมาย ทีนี้ละ ต้องหลบจนสิ้นลมหายใจ...
ตามมาอย่างติดๆ ด้วยคดีความให้เข้าเป้าต่อไป
อีงานนี้ "นายตามนัด" กับ "นายพวกมาก" หนุ่มน้อยวัยเรียน รักพวกพ้อง ผิดถูกไม่สน เดี๋ยวไม่ใจ โดดขึ้นรถประจำทาง มีอีดาบเป็นอาวุธ รุมเตะถีบฟัน "นายเหนียวไก่" นักเรียนต่างสถาบัน เจ็บสาหัส และบังคับให้ถอดชุดฝึกงานออก จะเอาไปเป็นเชิงสัญลักษณ์ เล่นเอาชาวบ้านบนรถอกสั่นขวัญแขวน ทั้งๆ ที่อยู่กลางเมืองหลวง ยังดีที่ไม่ใช้ปืนหรือยำถึงตาย ให้คนอื่นโดนลูกหลง ตำรวจรวบตัวพร้อมหัวคนทั้งสองมาดำเนินคดี ที่เหลือยังหลบหนี อัยการด่านที่ 2 นำไปฟ้องเอาผิด ฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเจ็บสาหัส และกรรโชกทรัพย์ ให้ติดคุก
เมื่อตกเป็นจำเลยก็ตั้งหลักสู้คดี ปฏิเสธเช็ด อ้างนั่นนี่ขอให้ศาลปล่อย
ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก นายตามนัด กับ นายพวกมาก ข้อหาทำร้ายเขาจนเจ็บสาหัส คนละ 3 ปี ข้อหากรรโชกทรัพย์โดยมีอาวุธ คนละ 3 ปี รวมคนละ 6 ปี ลด 1 ใน 3 ไม่ปากแข็งชั้นสอบสวน เหลือจำคุกคนละ 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่าลงมือทำกรรมเดียว ผิดหลายข้อหา แต่ก็ขังคนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา
นายพวกมาก จำเลยที่ 2 ดิ้น ผู้พิพากษาท่านหนึ่งเซ็นอนุญาตให้ยื่นฎีกา ศาลฎีกากัดฟันพิจารณาคดี ซึ่งน่าจะจบแค่ยกสอง แล้วชี้ขาดออกมา
เป็นที่ยุติว่า นายตามนัด ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 กับคณะ ร่วมกันชกต่อย ใช้มีดฟัน นายเหนียวไก่ เจ็บสาหัส ทีนี้มาดูว่า นายพวกมาก คือ จำเลยที่ 2 ผิดไหม งานนี้ตอนเกิดเหตุมีกลุ่มนักเรียนถือมีดเกือบทุกคน ขึ้นไปบนรถประจำทาง ใช้มีดรุมฟัน นายเหนียวไก่ ชื่อน่ากิน ขณะนั้น นายพวกมาก อยู่บนรถด้วย นายเหนียวไก่ ยัน ไม่มีใครร้องห้ามอย่างที่ นายพวกมาก อ้าง เหตุเกิดกลางวัน ข้อต่อสู้ของ นายพวกมาก ไม่อยู่กับร่องกับรอย การที่ นายพวกมาก ถือมีดติดตัวไปด้วย แม้ไม่ได้ความว่า นายพวกมาก ฟัน นายเหนียวไก่ แบบกินโต๊ะ และพูดขู่ให้ส่งมอบเสื้อฝึกงานก็เหอะ เมื่อฟังว่า นายพวกมาก อยู่ร่วมกับ นายตามนัด ตลอด ลักษณะพร้อมช่วย หลังเกิดเหตุ นายพวกมาก เผ่นหนีกับ นายตามนัด ถือว่า นายพวกมาก เป็นตัวการ ร่วมกับ นายตามนัด นั่นแหละ
ข้อที่จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันพูดจาขืนใจ นายเหนียวไก่ ให้ส่งมอบชุดฝึกงาน ไม่งั้นจะฟันอีก แสดงให้เห็นว่า ตอนแรกจำเลยร่วมกันทำร้าย นายเหนียวไก่ ยังไม่มีเจตนาขืนใจให้ส่งมอบเสื้อ พอหยุดทำร้ายจำเลยทั้งฝูงถึงเกิดเจตนาข่มขืนใจ ถือว่าเป็นคนละตอน การกระทำเป็นความผิดมันหลายกรรม ไม่ใช่กรรมเดียว ดังที่ นายพวกมาก อ้าง เพื่อหวังผลให้ลงโทษกระทงเดียว สรุปแล้วศาลฎีกาพิพากษายืน ลงโทษตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้ เข้าคุกคนละ 4 ปี หมดอนาคตไปเลย
ก็งี้แหละครับ นั่งรถประจำทางเมืองกรุง ลำเค็ญทุกเช้าค่ำ จู่ๆ มีนักศึกษาพกอาวุธ พรวดขึ้นรถ แสดงคิวบู๊แบบไม่มีชาร์จ รุมยำพวกต่างถาบัน ผู้โดยสารอื่นที่ไม่เกี่ยว อึ้งทึ่งเสียวละสิ หลบไม่ทัน โดนของแจก ไม่ต้องส่งฝาขวด กระเดือกน้ำตาล เจ็บตายฟรีๆ ออกบ่อย ยังดียุค คสช. เพลาลง เกรงใจตะหาน
อืม...ใจคอจะให้ปลุกพระทุกครั้งที่นั่งรถสาธารณะ คนถึงหนีไปพึ่งรถส่วนตัว รถเลยติดเป็นตังเม แต่ไม่หวาน ดันขมขื่น แล้วไม่พากันออกไปอยู่ต่างจังหวัด ไอ้ที่รถไม่ติดอีกต่างหาก สมัครใจยัดเป็นปลากระป๋องใน กทม. ซะงั้น เวรกรรมๆ
อ้อ อีกไม่นานเราๆ ท่านๆ ต้องมานะพยายาม อย่าให้โดนคดีอาญาเด็ดขาด เช่น ขับรถประมาท เพราะศาลตัดสินเอาเข้าซังเตเมื่อไหร่ ไม่อยากโดนขัง ต้องหนีทั้งชาติ คือ หนีจนตาย อยากกลับเข้าบ้าน ไม่ว่าเวลาจะเนิ่นนานแค่ไหน ตั้งแต่หนุ่มยันหัวหงอก ทางการไม่นับอายุความให้ อย่างที่ผ่านมาในอดีต เจอตัว ตะครุบได้ ขังลูกเดียว เรื่องจริง ขอบอก
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 8076/2557
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า