MEET THE MASTER (formula)
THAI AUTOMOTIVE DESIGNERS MEET THE MASTERS EPISODE I
“อิตาเลียนดีไซจ์น” คืออะไร ? มันคือ ความเก๋ไก๋ ความล้ำหน้า หรือความโก้หรูกันแน่ ? แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สิ่งที่เห็นตรงกันก็คือ “อิตาเลียนดีไซจ์น” เป็นงานออกแบบที่ “ไม่ธรรมดา” และการที่ได้ไปเรียนรู้จากเหล่า “มาสเตอร์” ที่คนทั่วโลกยอมรับว่าเป็น “อิตาเลียนดีไซจ์น” ขนานแท้น่าจะทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่า มันคืออะไร ? ดังนั้น เมื่อผู้เขียนได้รับเชิญจาก บริษัท สื่อสากล จำกัด ให้เข้าร่วมกิจกรรม “MEET THE MASTERS OF ITALIAN CAR DESIGN” หรือการเสวนากับเหล่ากูรูตัวจริง ผู้สร้างสรรค์รถยนต์จากอิตาลี ที่จัดโดย QUATTRORUOTE ACADEMY ของนิตยสารรถยนต์อันทรงอิทธิพลของประเทศอิตาลี “QUATTRORUOTE” ผู้เขียนก็ตื่นเต้นราวกับเด็กสาวจะได้ไปเจอเหล่า “โอปปา” สุดหล่อจากเกาหลีก็ไม่ผิดนัก ต่อไปนี้เป็นบันทึกเรื่องราวตลอด 7 วันที่ได้ไปกระทบไหล่เทพ !วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2558 คณะของเราเดินทางถึงเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี กิจกรรมแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าโรงแรมอาบน้ำอาบท่า และเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ คุณชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองกรรมการผู้จัดการของ “สื่อสากล ฯ” พาเราไปชมงาน EICMA งานแสดงรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ซึ่งมหึมากว่างานแสดงรถยนต์ในบ้านเรามากทีเดียว มีบแรนด์แปลกๆ มากมายจากทุกมุมโลกเข้าร่วมแสดง สิ่งที่ได้รับรู้จากงานนี้ คือ จักรยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง กำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะแล้ว จักรยานยนต์เสียงดังสั่นประสาท กำลังจะกลายเป็นอดีต เพราะมีรถ 2 ล้อพลังไฟฟ้าที่น่าเกรงขามจัดแสดงอยู่ไม่น้อย อีกเรื่อง คือ คนอิตาเลียนใช้จักรยานยนต์กันเยอะจริงๆ และไม่ได้มีแต่เพียง เวสปา แต่จักรยานยนต์ 3 ล้อสไตล์ ยามาฮา ทไรซิที ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และไม่ได้เป็นของแปลกของคนที่นี่ ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะขี่ง่ายและปลอดภัยกว่าแบบ 2 ล้อ เพราะถนนในเขตเมืองของอิตาลี สร้างจากก้อนหินแข็งก้อนย่อมๆ วางเรียงราย คิดว่าน่าจะลื่นไม่น้อย คนขับ 2 ล้อ คงได้มีโอกาสนอนวัดพื้นกันอยู่บ่อยๆ [table] , [/table] วันต่อมาเป็นวันเปิดคลาสส์เรียนวันแรก เราเข้ามาเรียนกันในย่านเมืองใหม่ของมิลาน ชื่อว่าย่านการิบัลดี (GARIBALDI) ระหว่างทางที่เราเดินทางไปยังสถานที่เรียน ผู้เขียนสังเกตรูปแบบการใช้รถยนต์ของคนอิตาลี พบว่าเมืองมิลานยังเป็นเมืองที่หลงใหลในรถยนต์ เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในยุโรป เพราะแม้จะเป็นวันอาทิตย์เรายังเห็นรถวิ่งกันขวักไขว่ สองข้างทางยังมีรถจอดเต็มไปหมด และจอดกันอย่างไม่ปรานีปราศรัย ชนิดที่ว่า กันชนแตะกันชน และรถบุบเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องสไตล์การขับนั้นสมเป็นดินแดนที่ผลิตรถแรง เพราะดูเหมือนคนขับทุกคนจะตะบี้ตะบันไปให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุดเสมอ ซึ่งได้รับคำยืนยันจากชาวอิตาเลียนว่า ในขณะขับรถพวกเขาจะมีสมาธิ และไม่คิดถึงเรื่องอื่น การขับชิลล์ๆ เงอะๆ งะๆ ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์คนแถวนี้ เราเปิดชั้นเรียนกันด้วยการบรรยายจากนักออกแบบ และนักคิดผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค คริส เบงเกิล (CHRIS BANGLE) จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นคนอเมริกันโดยกำเนิด แต่ได้เคยร่วมงานกับ เฟียต ก่อนที่จะไปสร้างตำนานกับ บีเอมดับเบิลยู และปัจจุบันก็ได้มาลงหลักปักฐานอยู่ที่ เปียดมอนต์ (PIEDMONT) เมืองในภูเขาทางตะวันตกของมิลาน และเขาพอใจที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นคนเปียดมอนต์ มากกว่าคนอเมริกัน แน่นอนว่า คริส เบงเกิล ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่หาใครเลียนแบบได้ยาก ในการเป็นนักคิด และนักพูดที่เจนจัด เขาได้กระตุกและท้าทายกรอบความคิด ด้วยการชี้ให้เราเห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากวิธีการที่ทำงานที่พวกเราใช้ความเคยชิน และติดอยู่กับวิธีคิดเดิมๆ มากเกินไป จนทำให้รถในปัจจุบันนั้นดูคล้ายกันไปหมด รวมถึงชี้ให้เราเห็นถึงวัฒนธรรมใหม่ที่คนในยุคต่อไป จะไม่มองรถยนต์เหมือนที่คนในยุคที่ผ่านมามองอีกแล้ว พวกเขามองหาอะไร และพวกเราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคม ที่รถยนต์จะมีส่วนร่วม และเติมเต็มให้ชีวิตในยุคต่อไป รถยนต์จะไม่เป็นเพียงแค่รูปทรงที่สวยงาม แต่จะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้อย่างไร พร้อมกับให้เราย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า “มันจะดีกว่าไหม ถ้ามันกลับทางกัน ?” เพื่อที่จะเตือนสติเราว่า คำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว [table] ,,,,, [/table] ส่วนช่วงบ่ายทีมผู้จัดงานได้พาเราพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มาจาก เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย เข้าชมพิพิธภัณฑ์หนึ่งในบแรนด์รถยนต์อิตาเลียนที่มีผู้หลงใหลมากมาย นั่นคือ อัลฟา โรเมโอ รถที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวมิลาโน ด้วยสัญลักลักษณ์รูป “งูกินเด็ก” อันเป็นตราเดียวกับตราประจำเมืองมิลาน เราได้สัมผัสกับรถในตำนานหลายๆ รุ่น ไม่ว่าจะเป็น มอนทริอัล, คาราโบ และสุดคลาสสิคอย่าง “เจ้าจานบิน” ดิสโก โวลันเต เรียกว่าวันนั้นใครเป็นแฟน อัลฟา โรเมโอ รับรองว่าหลับฝันดี ส่วนใครที่ยังไม่เป็นแฟนก็แทบจะกรอกใบสมัครเข้าแฟนคลับกันเดี๋ยวนั้นเลย [table] , , [/table] วันต่อมา เราย้ายห้องเรียนมาที่ โรงพิมพ์ของ สำนักพิมพ์โดมุส เจ้าของนิตยสารด้านสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลทางความคิดของโลก และเป็นเจ้าของเดียวกับนิตยสาร QUATTRORUOTE เราได้พบกับ ดร. วัลแตร์ เด ซิลวา (DR. WALTER DE SILVA) อดีตผู้คุมบังเหียนด้านการออกแบบของ โฟล์คสวาเกน กรุพ ในยุคที่ผ่านมา ท่านบรรยายถึงการเข้ามาของวิถีดิจิทอลในรถยนต์ ที่ประสานโลกเสมือนเข้ากับโลกแห่งความจริงได้อย่างลงตัว ผ่านเทคโนโลยี โลกเสมือนซ้อน (AUGMENTED REALITY) พร้อมยกตัวอย่าง ให้เราได้เห็นถึงการแบ่งรถยนต์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รถเพื่อการแข่งขัน ที่ออกแบบมาเพื่อความเร้าใจ ที่คนขับยังต้องใช้ทักษะเต็มรูปแบบ อีกประเภท คือ รถที่ออกแบบมาเพื่อความสนุกในการขับขี่ ที่มาพร้อมกับระบบช่วยในการขับขี่ให้คนขับสามารถควบคุมรถได้อย่างสนุกสนาน และปลอดภัย และปิดท้ายด้วยรถที่ออกแบบมาเพื่อความรื่นรมย์ของการเดินทางที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพื่อให้ผู้เดินทางสามารถใช้เวลาภายในรถได้อย่างมีความสุข เขาเชื่อว่าทั้ง 3 รูปแบบนี้จะอยู่ร่วมกันได้ รวมถึงยังกล่าวถึงเรื่องราวของ โฟล์คสวาเกน ที่เป็นข่าวอื้อฉาวไว้ว่า นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ให้กับการออกแบบของ โฟล์คสวาเกน เหมือนเป็นนัยว่านี่จะเป็นจุดจบของยุคเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยของรถพลังงานไฟฟ้า เปรียบได้กับวิหคไฟ (FIREBIRD) ในตำนานที่ฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้า [table] ,, [/table] ช่วงบ่ายเราได้ฟังบรรยายจาก ฟิลิปโป เปรินี (FILIPPO PERINI) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ลัมโบร์กินี เจ้าของผลงาน กระทิงดุ อเวนตาโดร์ เขาได้เล่าให้ฟังถึงกระบวนการออกแบบที่เกิดจากทีมงานเล็กๆ แต่มีประสิทธิภาพสูงเพียง 13 คน ทำการออกแบบทั้งภายนอก และภายใน ด้วยกระบวนการดิจิทอลล้วนๆ แม้จะเริ่มสเกทช์ด้วยมือ แต่หลังจากนั้นจะดำเนินการด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้ซอฟท์แวร์ ALIAS ทำให้สามารถส่งแบบให้พิจารณาได้ทุกเวลา แล้วหากต้องการจะแก้ไขใดๆ ก็สามารถทำได้ในทันทีด้วยคอมพิวเตอร์พกพาของเขา ส่วน อูรากัน นั้นเป็นรถคันแรกของพวกเขาที่ออกแบบภายในแบบดิจิทอลล้วนๆ ทำให้เขาสามารถทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก และแน่นอนว่าเมื่อเลือกที่จะใช้การออกแบบด้วยกระบวนการดิจิทอลแล้ว จึงต้องมีวิธีการตรวจและนำเสนองานที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็น จอภาพที่ทีมนักออกแบบของเขาใช้นั้นมีขนาดใหญ่ถึง 24 นิ้วเพื่อให้เห็นภาพรวม และรายละเอียดได้ลึกซึ้ง มีการใช้แว่น 3 มิติ ร่วมกับจอฉายขนาดใหญ่ถึง 5 เมตร เพื่อจะพิจารณารายละเอียดของการออกแบบ เรียกได้ว่า ทีมออกแบบของ ลัมโบร์กินี เป็นแนวหน้าด้านวิธีการออกแบบยุคดิจิทอล ด้านภาษาการออกแบบ (DESIGN LANGUAGE) ของ ลัมโบร์กินี เขากล่าวว่าทุกคันต้องเป็นดั่งประติมากรรมที่แสดงออกถึงการเคลื่อนที่ และทุกรุ่นถือเป็นบแรนด์ของตัวเองซ้อนอยู่ภายในบแรนด์ ลัมโบร์กินี อีกที (A BRAND WITHIN A BRAND) รถทุกคันต้องมีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยรูปทรงนั้นเกิดจากองค์ประกอบของมวลที่สอดประสานกัน (INTERSECT VOLUMES) รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ (SYMBOLIC FORM) และพื้นผิวที่เป็นเหลี่ยมตัดกัน (FACETES SURFACE) อย่างไรก็ตาม แม้ ลัมโบร์กินี จะมีรูปร่างหวือหวา ทว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นผลลัพธ์จากการแก้ปัญหาเรื่องการใช้งาน เพียงแต่เป็นการแก้ปัญหาที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อีกทั้ง ลัมโบร์กินี ยังมุ่งมันในเรื่องของการคิดค้น และใช้วัสดุล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นท่อไอเสียที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่เบากว่าท่อไอเสียสเตนเลสส์ โดยทุกชิ้นส่วนนั้นต้องออกแบบอย่างพิถีพิถัน เมื่อถามถึงความยากง่ายของการออกแบบซูเพอร์คาร์อย่าง ลัมโบร์กินี เขากล่าวว่า งานของพวกเขานั้นไม่ยาก เพราะการจะสร้างซูเพอร์คาร์นั้น ยิ่งฝันใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่แม้จะมีความหลงใหลในงานของตัวเอง ก็ต้องไม่ลืมว่า นี่คือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำแล้วมีกำไร และลูกค้าของพวกเขานั้นหลายๆ คนร่ำรวยเกินจินตนาการ คนเหล่านั้นซื้อรถด้วยหัวใจ ดังนั้นรถของพวกเขาต้องตะครุบหัวใจเจ้าของรถ และทำให้ผู้ที่มองเห็นรถ ต้องอิจฉา ที่สำคัญเขาได้แอบเผยภาพ ลัมโบร์กินี รุ่นต่อไปให้เราได้เห็น แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ เพียงเสี้ยววินาทีเดียว และไม่มีใครสามารถจดจำรายละเอียดใดๆ ได้ แต่บอกได้เลยว่าทุกคนในห้องนั้น “ตะลึง” กับดีไซจ์นที่ร้อนแรง และสดใหม่ของค่ายรถกระทิงดุ รุ่นที่ยังไม่เปิดเผยชื่อของเขา ผู้เขียนฟังบรรยายเสร็จถึงกับอยากเป็นเจ้าของ ลัมโบร์กินี ขึ้นมาตะหงิดๆ เสียอย่างเดียวเงินในบัญชียังขาดไปหลายหลัก ในฉบับหน้า เราจะมาคุยกันต่อถึงนักออกแบบท่านอื่นๆ ก่อนที่จะหาบทสรุปว่า “อิตาเลียนดีไซจ์น” คืออะไร ?
ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2559
คอลัมน์ Online : MEET THE MASTER (formula)