ชีวิตคือความรื่นรมย์
กระทงอธิษฐาน
กาลเวลาช่างเดินทางได้รวดเร็ว-ตามความรู้สึกของผู้สูงอายุ ตรงกันข้ามกับตอนที่ยังเป็นเด็ก เราต่างกระหายว่าทำไมวันเวลาช่างชักช้านัก ต้องบ่นว่าเอาไว้ขอเป็นผู้ใหญ่ก่อนเถอะ...แล้วก็เฝ้านับวันนับคืน ที่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะในวัยเยาว์ เรามีความสุขมากโดยไม่รู้ว่าเวลาเดินไปอย่างไร
มาบัดนี้ เมื่อถึงท้ายปีเมื่อไร ก็รู้สึกว่าทำไมปีหนึ่งๆ มันเร็วจัง เผลอเดี๋ยวเดียวก็ถึงคริสต์มาส และปีใหม่อีกแล้ว ตอนทำงานก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ จนไม่มีวันลาหยุดปลายปีอย่างคนอื่น เพราะหน้าที่ "สื่อมวลชนสัมพันธ์" นั้น ตอนท้ายเดือนธันวาคมต้องหอบของขวัญ และปฏิทินไปแจกตามสำนักงานหนังสือพิมพ์ต่างๆ ไปร่วมงานส่งท้ายปีเก่า-รับปีใหม่ของสื่อสำนักต่างๆ ให้เสร็จสิ้น
ระลึกถึงตอนวันเก่าๆ ที่เพื่อนฝูงอยู่พร้อมหน้า จำได้ว่าเมื่อสถานีโทรทัศน์แห่งแรกของไทย คือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหมเกิดขึ้น พวกนักกลอนหนุ่มสาวได้รับการชักชวนไปออกรายการที่เรียก ลับแลกลอนสด เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เรารวมกันตั้งชมรมนักกลอน เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2502 ซึ่งกลายมาเป็นสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย จากนั้นจึงเกิดแรงบันดาลใจให้มีการก่อตั้งชุมนุมวรรณศิลป์มากมาย โดยเกิดที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแรก และในเวลาใกล้กันก็เกิดชุมนุมวรรณศิลป์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นก็มีในสถานศึกษาอื่นๆ และกลุ่มกวีอิสระ ร่วมประชันกาพย์กลอนทางตามวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ต่อมา มีการฟื้นฟูการแสดงสักวาตามสถาบันการศึกษาต่างๆ
งานสำคัญของชมรมนักกลอน นอกจากนัดพบปะเสวนากันแล้ว มีการนัดแนะชุมนุมเรียกว่า "ลอยลำไปกับเรือเพลง" บางครั้งไปกันถึงสุพรรณบุรี บางปีไปถึงพระนครศรีอยุธยา การลอยเรือ และการนัดแนะชุมนุมนั้น ที่สำคัญทำให้เราได้บุคลากรทางวรรณศิลป์ที่มีคุณภาพมาเสริมสร้างวงการมากมาย เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นิภา บางยี่ขัน ทวีสุข ทองถาวร ดวงใจ รวิปรีชา ศิริพงษ์ จันทน์หอม วรา จันทกูล ฯลฯ มี "ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์" จัดพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือเชิญผู้มีประสบการณ์มาปาฐกถา หรือเสวนา
มีผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ หนังสือรวมกลอน ชื่อ นิราศกรุงเก่า ซึ่งรวมบทกลอนจากการรวมตัวกันไปทัศนาจรที่กรุงศรีอยุธยา แล้วนักกลอน 48 คน 52 นามปากกา ได้ร่วมกันเขียนกลอนนิราศในนิราศต่อกันเป็นเรื่องเดียว ซึ่งเสมือนอนุสรณ์แห่งกวีร่วมสมัยในช่วง 2 ทศวรรษปี 2500-2520 ที่ไม่เคยมีมาก่อน และหลังจากนั้นก็ไม่มีการรวมกันได้เช่นนั้น เพราะคนที่เป็นศูนย์กลางอย่าง สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร
หรือผลงานที่เป็นรูปธรรมอีกอย่าง คือ บทกลอนที่เราจัดประกวดในปีหนึ่ง กลายมาเป็นบทเพลงอมตะนาม เพลง หยดน้ำเจ้าพระยา (บทกลอนที่ชนะการประกวดสำนวน ศิริพงษ์ จันทน์หอม ที่ครู เอื้อ สุนทรสนาน นำไปใส่ทำนอง) ให้นักร้องนักดนตรีคณะสุนทราภรณ์ขับร้องและบรรเลง โด่งดังเป็นเพลงที่คุ้นหูจับใจคนทั้งหลายมานาน
ในวาระเช่นนี้ ในยามที่เพลงลอยกระทงก้องไปทั่วบ้านเมือง และทุกห้วงน้ำ ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เขียนอดคิดถึงกิจกรรมสำคัญในวันเพ็ญเดือนสิบสองไม่ได้ แม้ไม่ได้ไปลอยกระทงที่ใด ก็ขออธิษฐานด้วยความรู้สึกทั้งหลายดังนี้
“ลอยกระทงลงน้ำค่ำวันนี้ ตั้งจิตพลีอธิษฐานแด่ธารใส ขอขมาแม่น้ำก้ำเกินไป บูชาชัยรอยบาทพระศาสดา ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ถวายชัยวงศ์กษัตริย์–ศาสนา อวยพรชัยไทยทั้งชาติ-ราษฎร์ประชา ชื่นชีวาไกลโศกไร้โรคภัย
“ลอยเหล่านัก “โกงเมือง” เรืองอำนาจ ใครฉ้อราษฎร์บังหลวงจงกษัย ใครโกงวัดสัตว์นรกฉกตัวไป มีดวงไฟเผาชีวิตนิจนิรันดร์ ใครโกงหุ้น-ให้ทุนหายไปชั่วโคตร โกงโฉนด-ไร้แผ่นดินสิ้นสุขสันต์ ใครคิดแยกแดนดินถิ่นสัมพันธ์ ให้ไร้ที่ซุกชีวันนับวันวาย ใครโกงข้าวขอให้ข้าวจงขาดหม้อ ชีวิตรอแต่วันดับลับสลาย โกงรถไฟ-ให้สิ้นทางตราบวางวาย ทำงานหนักจมปลักตายยิ่งควายวัว ใครโกงสายการบินกินเงินชาติ ให้ชีพขาดไร้เงินทองได้ของชั่ว ใครโกงเงินผู้ชราพาพันพัว เงินทองตัวต้องใช้หนี้อย่ามีรวย
“ ใครโกงชาติเชิงนโยบายเฉกขายชาติ อย่าแคล้วคลาดจงจมทุกข์จุกเจ็บป่วย ใครชักศึกเข้าบ้านพาลมอดม้วย ให้ชีพ “ซวย” อย่าสมหวังใดทั้งมวล ใครกินนมเด็กนักเรียนชีพเหียนหัน ทุกคืนวันโรครุมเร้าเข้าปั่นป่วน ใครโยงใยข่ายกินเมืองเรืองร่วมก๊วน จงแล้วล้วนลอยกระทงลงนรก
“ตรงกันข้ามใครทำดีมีศีลสัตย์ จงวิวัฒน์ด้วยความดีที่ป้องปก ชีวิตรอดปลอดภัยไม่เวียนวก ตลอดศกสุขสันต์นิรันดร์เทอญ @
ABOUT THE AUTHOR
ป
ประยอม ซองทอง
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์