ทั่วไป
-
ศิลปิน : SILVERCHAIR
อัลบัม : DIORAMA
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "คุณยังชอบดนตรีในแบบกรันจ์หรือเปล่า ?"
การรวมตัวของ 3 หนุ่ม จากออสเตรเลีย ซึ่งประกอบไปด้วย DANIEL JOHNS (ร้องนำ/กีตาร์), BEN GILLIES
(กลอง) และ CHRIS JOANNOU (เบสส์) ด้วยหัวใจที่ลุ่มหลงดนตรีทำให้พวกเขาเริ่มก่อตั้งวงในปี 1992 ในชื่อ THE
INNOCENT CRIMMINALS สองปีต่อมาเพลงเดโมที่ส่งเข้าประกวดได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะ
จากผลงานทั้งหมดกว่า 800 ชุด โดยมีเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่าวัยรุ่นอย่างพวกเขาจะได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศในครั้งนี้
จึงทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปิน
ก่อนจะปล่อยซิงเกิลเพลง TOMORROW ในช่วงกลางปี 1990 พวกเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อวงใหม่ในนาม SILVERCHAIR
ชื่อนี้คงคุ้นหูนักฟังเพลงในบ้านเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกคอดนตรีแนวกรันจ์ทั้งหลาย
น่าจะชื่นชอบกับเสียงร้องของ DANIEL JOHNS ที่แสดงพลังเสียงได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เพลง TOMORROW
ของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเกิด โดยเฉพาะกลุ่มนักฟังเพลงรุ่นใหม่
ด้วยสีสันในการนำเสนอดนตรีชนิดถึงลูกถึงคน
จึงไม่น่าแปลกใจที่เพลงนี้โด่งดังชนิดข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของเพลงแนวกรันจ์
(GRUNGE) ดนตรีที่มีส่วนผสมระหว่างเฮวีเมทัล
กับพังค์
อัลบัม DIORAMA ผลงานชุดที่สี่ของพวกเขา เป็นการทำงานร่วมกับ DAVID BOTTRILL
โพรดิวเซอร์ฝีมือฉกาจอีกคนหนึ่งของวงการ เขาเคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น PETER GABRIEL
(GENESIS), TOOL, KID ROCK และ DEEP FOREST เป็นต้น
จะว่าไปแล้วเขาคนนี้มีความชำนาญอย่างมากทางการผสมเสียง
จึงทำให้ซาวน์ดในอัลบัมนี้มีความแปลกไปบ้างจากผลงานในชุดก่อนๆ
เสน่ห์ของดนตรีในอัลบัมนี้คงจะอยู่ที่เสียงจากวงออร์เคสตรา ที่มาช่วยเสริมมิติทางดนตรีให้มีความลึกซึ้งมากขึ้น
ซึ่งได้ VAN DYKE PARKS เข้ามาเป็นผู้เรียบเรียงให้ในส่วนของออร์เคสตรา เขาคนนี้เคยสร้างผลงานร่วมกับ THE
BEACH BOYS และ US มาแล้ว
THE GREATEST VIEW ซิงเกิลแรกจากอัลบัมนี้อาจจะโดนใจกันบ้าง แต่อยากให้ลองฟังเพลง ACROSS THE
NIGHT และเพลง TUNA IN THE BRINE ที่พวกเขาพยายามสร้างสรรค์ซาวน์ดใหม่ลงไป
ก็ถือว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นของพวกเขา
ศิลปิน : DIRTY VEGAS
อัลบัม : DIRTY VEGAS
แนวเพลง : ELECTRONICA
พาดหัว "ชีวิตยุคใหม่
เริงร่าไปกับดนตรียุคใหม่"
DIRTY VEGAS วงแดนศ์ทรีโอยุคใหม่บนเกาะอังกฤษ ผู้สร้างนิยามใหม่ให้กับเพลงเต้นรำในยุโรป
ด้วยการนำดนตรีเฮาส์ซึ่งเป็นแนวดนตรีที่เติบโตมาจากดนตรี โพสต์-ดิสโก แดนศ์ และคลับ
เข้ามาผสมผสานกับดนตรีรอค โดยเอาลักษณะการร้อง และการริพเสียงกีตาร์ของดนตรีรอคมาใช้
พวกเขามีใครกันบ้าง คนแรก PAUL HARRIS คนนี้เป็นรุ่นใหญ่ของวงการ เขาเป็นอดีตสมาชิกวง MANASSAS ในปี
1970 มีความชำนาญในการเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด แต่ที่โดดเด่นสุดคงจะเป็น
เพียโนและคีย์บอร์ด ในอัลบัมชุดนี้รับหน้าที่เป็นดีเจ และโพรดิวเซอร์ คนที่สอง BEN HARRIS
เป็นเอนจิเนียร์ฝีมือระดับแนวหน้าเคยร่วมงานกับศิลปินมีชื่อเสียงอย่าง KENNY ROGER, RANDY TRAVIS และ
ROONIE MILSAP ซึ่งเป็นศิลปินในแนวคันทรี ส่วนคนที่สาม STEVE SMITH คนนี้ข้อมูลน้อยไปหน่อย
ที่พอรู้มาเขาเคยร่วมงานกับกลุ่มดนตรีอิสระแนวรอค โดยเฉพาะพวกอินดี ซึ่งอัลบัมนี้เขารับหน้าที่ร้องนำ
และเล่นกีตาร์
การรวมตัวของทั้ง 3 คน ดูแล้วน่าปวดหัวดีจัง เพราะแต่ละคนมีฐานแนวดนตรีที่ต่างกัน แต่มาจับเพลงเต้นรำได้ก็งงๆ
เหมือนกัน ทำให้งานดนตรีของพวกเขาออกมาแตกต่างจากดนตรีเต้นรำทั่วไป
การทำงานในอัลบัมชุดนี้พวกเขาประสานฝีมือกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการทำงาน
พวกเขาต่างทุ่มเทให้อย่างเต็มๆ รวมทั้งร่วมกันโพรดิวศ์ผลงาน
ถ้ามองลักษณะการทำดนตรีของพวกเขาจะมีความคล้ายคลึงกับวง UNDER WORLD ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นพี่แห่งวงการ
ถ้านับอายุสำหรับผลงานในแนวนี้
ถึงแม้ว่าวง DIRTY VEGAS จะมีความเก๋ากันมาก่อน แต่พวกเขาเพิ่งออกอัลบัมชุดนี้เป็นชุดแรก
ตอนนี้เพลงที่ได้รับความนิยม คงหนีไม่พ้น DAYS GO BY ซึ่งนอกจากจะติดชาร์ทในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาแล้ว
เพลงนี้ยังถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณารถยนต์ มิตซูบิชิ รุ่นเอคลิพส์ อีกด้วย
สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ต้องบอกก่อนว่าในเมืองไทยยังไม่มีขายนะ
สำหรับคนที่ชอบความทันสมัย และต้องการหาสิ่งใหม่ๆ อัลบัม DIRTY VEGAS คืออีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจ
ศิลปิน : PAULINA RUBIO
อัลบัม : BORDER GIRL
แนวเพลง : LATIN
พาดหัว "กลิ่นอายลาติน จากสาวเมกซิกัน"
สาวลาตินคนนี้สืบสายเลือดจาก SUSANA DOSAMANTES นักแสดงหญิงผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในเมกซิโก,
ลอสแองเจลิส และสเปน เธอมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากกว่าเด็กคนอื่น
อีกทั้งด้วยสายเลือดนักแสดงที่เข้มข้น จึงทำให้เธอเลือกที่จะเดินบนเส้นทางเดียวกับผู้เป็นแม่
ด้วยการเข้าอบรมในหลักสูตรการร้องเพลงและเต้นรำ ซึ่งเธอก็สร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันของเธอด้วยวัยเพียงแค่ 8 ปี
PAULINA RUBIO เริ่มอาชีพการแสดงในปี 1988 ในขณะนั้นเธอยังทำงานด้านดนตรีไปด้วย
แล้วเธอก็ได้ปล่อยผลงานเพลงชุดแรกในฐานะศิลปินหญิงเดี่ยว กับอัลบั้ม LA CHICA DORADA (THE GOLDEN
GIRL) ประมาณปี 1992 ขณะเดียวกันเธอก็มีงานแสดงและการร้องโอเพราอยู่ด้วย จากกิจกรรมที่ทำเหล่านี้
ทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างมากในเมกซิโก รวมถึงประเทศในกลุ่มลาติน
ผลงานของเธอที่ออกมาได้รับรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลจากนิตยสารบิลล์บอร์ด จาก PREMIOS OL
NUESTRO UNIVISION AWARD ในสาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม และสาขาอัลบัมยอดเยี่ยม
ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันถึงความสามารถของเธอได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เธอมาพร้อมอัลบัม BORDER GIRL ผลงานใหม่ล่าสุดชุดแรกที่ทำในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ
เพื่อให้เข้าสู่ตลาดโลก แนวดนตรีของเธอจึงมีความหลากหลาย มีการผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวฮิพฮอพ รอค
บัลลาด แดนศ์ หรือพอพ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของลาตินไว้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าบางเพลงจะฟังแล้วเป็น
ฮิพฮอพ แต่ด้วยการร้องของเธอก็ไม่ได้หลุดไปจากซาวน์ดของลาติน
เพลง DON T SAY GOODBYE มีซาวน์ดลาตินติดหูน่าฟัง และน่าจะถูกใจคนไทย ในอัลบัมนี้
เธอหยิบเพลงสุดคลาสสิค I WAS MADE FOR LOVIN YOU ของวง KISS
มาทำในเวอร์ชันลาตินที่มีกลิ่นอายของดนตรีรอคแบบวง KISS เข้าผสม ฟังแล้วแปลกหูดีเหมือนกัน
ฟังดูแล้วอัลบัมนี้น่าจะมาเป็นคู่แข่งของ JENNIFER LOPEZ และ SHAKIRA
ศิลปิน : THE VINES
อัลบัม : HIGHLY EVOLVED
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "หลีกทางหน่อย...น้องใหม่กำลังมา"
คลื่นลูกใหม่ในวงการเพลงแนวโพสต์ กรันจ์ ของออสเตรเลียที่น่าจับตามอง คงต้องหมายถึงวง THE VINES 4
หนุ่มจากเมืองซิดนีย์ ที่มีฝีไม้ลายมือเข้าตากรรมการ ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องหรือแนวดนตรี
ผลงานนี้เป็นชุดแรกของพวกเขาในชื่อว่า HIGHLY EVOLVED ซึ่งได้ ROB SCHNAPF มาเป็นโพรดิวเซอร์
สำหรับคนนี้เคยทำงานร่วมกับศิลปินอย่าง BEAU, GUIDED BY VOICE, FOO FIGHTERS และ ELLIOTT SMITH
มาแล้ว
ดังนั้นกลิ่นอายของดนตรีจะมีส่วนผสมของซาวน์ดในแบบอังกฤษ และกรันจ์ในแบบสหรัฐอเมริกา
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับศิลปินรุ่นพี่อย่าง SILVERCHAIR จะเห็นได้ว่ามีซาวน์ดในแบบของสหรัฐอเมริกามากกว่า
ซึ่งก็เป็นเสน่ห์กันคนละแบบ
ในอัลบั้มใหม่นี้ พวกเขาได้ร่วมกันแต่งเพลงไว้กว่า 30 เพลง แล้วนำมาตัดเหลือ 12 เพลง
พวกเขาเริ่มต้นการทำงานมาตั้งแต่ปี 2001 ฝึกซ้อมกันจนได้ที่จึงเริ่มทำการบันทึกเสียงจริง
ซึ่งในการบันทึกเสียงบทเพลงในอัลบั้มนี้ พวกเขาได้ใช้ห้องนอนของ CRAIG NICHOLLS (ร้องนำ/กีตาร์)
เป็นส่วนในการบันทึกเสียงด้วย
THE VINES มีแนวดนตรีที่ผสมกันระหว่างซาวน์ดในแบบวง THE STROKES ซึ่งจะมีความเป็นพังค์รอค หรือคล้ายๆ
กับซาวน์ดดนตรีในแบบวง NIRVANA ผสมกับ THE BEATLES คือมีทั้งความดิบและความอ่อนโยนอยู่ในตัวเอง
แนวดนตรีของพวกเขาจะเน้นท่อนฮุคในแบบรอคแอนด์โรล แต่ร้องในแบบพังค์
จะมีบางเพลงที่อาจจะมีกลิ่นอายดนตรีในแบบพอพติดอยู่บ้าง
เพลงที่มีความโดดเด่นในอัลบัมนี้ก็มี HIGHLY EVOLVED มีซาวน์ดดนตรีรอคดิบผสมกลิ่นอายของไซคีเดลิก
เพลงนี้เองที่หลายๆ คนวิจารณ์ว่าเป็นส่วนผสมดนตรีในแบบ NIRVANA กับ THE BEATLES ซึ่งวง THE VINES
ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ มันคือสไตล์ของพวกเขาเองต่างหาก นอกจากเพลงนี้แล้วก็มีเพลงเด่นอื่นๆ อีก อย่างเพลง GET
FREE ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกของอัลบัมนี้ ด้วยเสียงร้องที่มีการประสมประสานกับเสียงของกีตาร์ ฟังแล้วมีเสน่ห์ดี
ส่วนอีกเพลงที่น่าสนใจเหมือนกันคงจะเป็นเพลง FACTORY
ในอังกฤษ วงนี้ได้รับการชื่นชมจากนิตยสารชั้นนำ
จนทำให้พวกเขาสามารถครองหัวใจคนอังกฤษได้มากจากศิลปินหน้าใหม่ที่ไม่มีคนรู้จัก
เพราะด้วยความสามารถของพวกเขาโดยแท้ ดูแล้วอัลบัมนี้น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับรุ่นพี่อย่าง SILVERCHAIR
ได้เหมือนกัน
ศิลปิน : AQUANOTE
อัลบัม : THE PEARL
แนวเพลง : ELECTRONICA
พาดหัว "ดนตรีแบบนี้มีมาให้ฟังไม่บ่อยนัก"
ผลงานโซโลโพรเจคท์ จากฝีมือนักแต่งเพลงระดับยอดเยี่ยม GABRIEL RENE เขาเป็นลูกชายของนักดนตรีแนวแจซซ์
ต้องบอกว่าครอบครัวของเขา คือครอบครัวนักดนตรี เริ่มจากรุ่นปู่ที่เป็นศิลปินแนว
แจซซ์ในแบบนิวออร์ลีน ในช่วงเด็กนั้นเขามักมีโอกาสออกทัวร์ร่วมกับปู่อยู่เสมอ ส่งต่อถึงรุ่นพ่อ
ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญแห่งยุค 50 S และยุค 60 S ซึ่งเป็นช่วงที่ดนตรีในแบบเวสต์ เดสต์ คอมโบ แจซซ์
ได้รับความนิยมอย่างมาก จากการคลุกคลีและผูกพันต่อดนตรีแนวนี้ ทำให้เขาซึมซับ
และได้รับแรงดลใจจากดนตรีแนวคลาสสิค โซล และแจซซ์
เขาเติบโตมาท่ามกลางกระแสดนตรี แจซซ์ พังค์ และโซล เริ่มฉายแววบนถนนสายดนตรีครั้งแรกประมาณปี 1995
เมื่อจับมือกับ ANDY CALDWELL ก่อตั้งวงดนตรีที่ชื่อว่า SOULSTICE ซึ่งเป็นวงจากซานฟรานซิสโก
ที่ยึดแนวดนตรีในแบบเฮาส์ กับเอสิค แจซซ์
THE PEARL อัลบัมไข่มุกแห่งท้องทะเล รูปแบบและแนวทางเน้นซาวน์ดที่ให้ความรู้สึกดีๆ
โดยตั้งเป้าหมายว่างานเพลงที่ออกมาจะต้องเต็มไปด้วยความสนุก ผลงานชุดนี้มีเสน่ห์ตรงที่มีเสียงร้องของ ELLIS
นักร้องสาวที่มีน้ำเสียงกลมกลืนกับซาวน์ดของดนตรีในอัลบัมนี้
ภาคดนตรี งานชุดนี้เป็นการสร้างสรรค์เมโลดีสวยใส ตามแบบฉบับดนตรีเฮาส์ ซึ่งเป็นดนตรีเต้นรำประเภทหนึ่ง
แต่เดิมเป็นที่ชื่นชอบกันในหมู่ชาวรักร่วมเพศ มักหาฟังได้ตามคลับต่างๆ แต่ต่อมาดนตรีแนวนี้ได้รับความนิยมมาก
เป็นที่สนใจของนักฟังรุ่นใหม่
เพลงในอัลบัมชุดนี้ ที่น่าจะติดหูคงจะเป็น TRUE LOVE, ALL OVER YOU, THE PEARL และ NOWHERE
ซึ่งตอนนี้ถูกตัดเป็นซิงเกิลไปแล้ว ก็หวังว่าอัลบัมชุดนี้คงจะเป็นสีสันทางดนตรีที่ดีอีกชุดหนึ่งให้กับกลุ่มคนฟังรุ่นใหม่
ศิลปิน : DUNCAN SHEIK
อัลบัม : DAYLIGHT
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "เพลงฟังสบาย สไตล์วัยทำงาน"
ทางเลือกใหม่ของผู้ชายเก่ง DUNCAN SHEIK นอกจากจะเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงแล้ว
เขายังมีความสามารถทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นเพียโน หรือกีตาร์ อีกทั้งยังรับหน้าที่เป็นโพรดิวเซอร์อีกด้วย
ศิลปินที่เขาฝากฝีมือไว้ก็อย่างเช่น HOWARD JONES, CUSTOM และ SIMON HALE เป็นต้น
เขาเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากขึ้น เมื่อผลงานได้ถูกนำไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ทางสถานีโทรทัศน์เรื่อง
ER ซึ่งบ้านเราคงคุ้นเคยกันดี ช่วงนั้นจะเป็นอัลบัมชุดแรก DUNCAN SHEIK (1996)
ผลงานชุดนี้เองที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า
หลังจากนั้น อัลบัม PHANTOM MOON (2001) ก็ได้รับความนิยม ตอนนี้เขากลับมาพร้อมผลงานชุดใหม่
DAYLIGHT ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ PATRICK LEONARD ซึ่งเหมือนเมื่อครั้งที่ RUPERT HINE
เคยทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว
อัลบัมชุดที่สี่นี้มีโครงสร้างของเพลงที่ต่างไปจากเดิม บทเพลงมีความโรมานศ์ และผสมผสานมิติทางดนตรีมากขึ้น
โดยจะมีซาวน์ดในแบบพอพเสริมเข้ามา ช่วยสร้างความละมุนละไม เพลง ON A HIGH
คือซิงเกิลแรกที่สามารถพิสูจน์ถึงความนิยมได้ เพราะเพลงนี้สร้างปรากฏการณ์ของความยิ่งใหญ่ให้กับเขาได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีเพลงอื่นๆ ในอัลบัมที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน อย่างเพลง ON HER MIND เพลงนี้เขาเขียนร่วมกับ MICK
JONES แห่ง FOREIGNER ซึ่งเป็นความสวยงามของดนตรีในยุค 70 S มีอิทธิพลของดนตรีโฟล์ครอค ส่วนเพลง
MAGAZINES ก็เป็นอีกเพลงที่น่าฟังเมือนกัน
ผลงานชุดนี้ของเขา น่าจะไปได้ดี แต่อาจได้ผู้ฟังที่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน เพราะเพลงไม่เน้น
ซาวน์ดประเภทกระแทกกระทั้น อย่างที่วัยรุ่นชื่นชอบกัน
เรื่องโดย : ส. ศิลา
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/9231