ทั่วไป
-
ศิลปิน : KORN
อัลบัม : UNTOUCHABLES
แนวเพลง : METAL
พาดหัว "พวกเขาคือผู้ปลุกวิญญาณคนพันธุ์รอค"
จากอัลบัมแรก KORN ในปี 1994
ก็ทำให้พวกเขาพลิกประวัติศาสตร์คนพันธุ์รอคด้วยพลังของเสียงดนตรีที่หนักหน่วงไม่เหมือนใคร กับดนตรีในสไตล์
โพสต์-กรันจ์ (POST-GRUNGE) แรพ เมทัล (RAP METAL) อัลเทอร์เนทีฟ เมทัล (ALTERNATIVE METAL) และ
เฮวี เมทัล (HEAVY METAL) ซึ่งส่วนผสมของดนตรีในสไตล์เหล่านี้ โดนใจคนพันธุ์รอครุ่นใหม่ พวกเขาทั้ง 5
คนถือได้ว่าเป็นผู้ปูทางเดินใหม่ให้กับวงการและสร้างทิศทางใหม่ให้กับศิลปินรุ่นน้องๆ อย่าง LIMP BILKIT และ
LINKIN PARK ซึ่งเป็นวงรอคพันธุ์โหดที่คนไทยรู้จักดี
KORN สร้างเอกลักษณ์ให้ตนเองและตอกย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยอัลบัม LIFE IS PEPCHY ในปี 1996 ตามด้วย อัลบัม
FOLLOW THE LEADER ในปี 1998 และอัลบัม ISSUES ในปี 1999 ซึ่งผลงานในสองชุดหลังนี้ เปิดตัวด้วยอันดับที่
1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท และอันดับที่ 1 ในหลายชาร์ททั่วโลก
ตอนนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบัมใหม่ UNTOUCHABLES หลังจากที่ได้หยุดทำผลงานไปร่วม 3 ปี
การทำงานในครั้งนี้ได้โพรดิวเซอร์มือดีอย่าง MICHAEL BEINHORN ผู้ที่เคยฝากฝีมือให้กับศิลปินมีชื่อเสียง อย่างวง
SOUND GARDEN, RED HOT CHILLI PEPPERS และ OZZY OSBOURNE มาแล้ว
ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ทำงานร่วมกันจึงไม่ธรรมดาแน่
ในอัลบัมชุดนี้ JONATHAN DAVIS (ร้องนำ) ยังคงแสดงพลังเสียงร้องได้อย่างสะใจ
ด้วยน้ำเสียงที่โหยหาในแบบเดทเมทัล แล้วยิ่งได้เสียงกระเดื่องที่เหยียบแบบกระแทกกระทั้นของ DAVID SILVERIA
(กลอง) ยิ่งทำให้เพลงในอัลบัมชุดนี้มีความน่าฟังไม่แพ้อัลบัมก่อนๆ
ศิลปิน : OASIS
อัลบัม : HEATHEN CHEMISTRY
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "กลับมาซ่าอีกครั้งสำหรับหนุ่ม LIAM GALLAGHER"
นี่คือสองพี่น้องร้องเพลงของเกาะอังกฤษที่ก้าวข้ามมาโด่งดังในเมืองไทย กับดนตรีในแนว BRIT POP
เมื่อปีที่แล้วยังอดเสียดายไม่ได้ที่ติดธุระไม่สามารถไปดูพวกเขาที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเล่นคอนเสิร์ทในบ้านเรา
มีน้องๆ ที่สนิทกันหลายคนพลาดโอกาสไม่ได้ไปชมเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ติดธุระนะ
แต่เพราะซื้อบัตรไม่ทันก็เลยมานั่งเสียดายจนถึงทุกวันนี้
วง OASIS ถือว่าเป็นกลุ่มศิลปินของทศวรรษที่ 90 ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูง ด้วยภาพลักษณ์ที่มีแบบฉบับเฉพาะตัว
จนถูกขนานนามให้เป็น THE BEATLES ยุคใหม่
เมื่อต้นปีพวกเขาปล่อยซิงเกิล THE HINDU TIMES ซึ่งบรรจุเพลง THE HINDU TIMES, JUST GETTING OLDER
และ IDLER S DREAM ก็คงจะทำให้แฟนๆ หายความคิดถึงไปได้บ้างเพราะพวกเขาไม่มีผลงานออกมาร่วม 2 ปี
ตอนที่ได้รับซิงเกิลนี้มาใหม่ๆ ว่าจะนำมาแนะนำ แต่พอเชคข้อมูลเกี่ยวกับ
อัลบัมเต็มที่จะออก น่าจะไม่เกินกรกฎาคมแน่ จึงอดใจรอดีกว่า
ตอนนี้อัลบัมเต็ม HEATHEN CHEMISTRY ผลงานใหม่ล่าสุดที่รวมเอาซิงเกิล THE HINDU TIMES เข้าไว้ด้วย
บทเพลงในงานชุดนี้เกิดจากฝีมือการแต่งของ LIAM GALLAGHER และ NOEL GALLAGHER เป็นส่วนใหญ่
จะมีฝีมือของ GEM ARCHER (กีตาร์) และ ANDY BELL (เบสส์) ก็เพียงคนละเพลงเท่านั้น
สำหรับซาวด์ดนตรีที่พวกเขานำมาใช้ในอัลบัมนี้จะหยิบซาวน์ดในช่วงยุคแรกมาใส่เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับงานดนตรีของ
พวกเขา NOEL บอกว่าอัลบัลนี้นับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของวง นับจากอัลบัม (WHAT S THE STORY) MORNING
GLORY ? ซึ่งเป็นผลงานชุดที่ 2 ในปี 1995 ที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง และได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น
สำหรับเพลง STOP CRYING YOUR HEART OUT
เป็นเพลงช้าที่น่าจะกลายเป็นเพลงยอดนิยมอีกเพลงหนึ่งของอัลบัมใหม่นี้
นอกจากนี้ยังมีเพลงในแบบอคูสติคฟังสบายๆ อย่างเพลง SONGBIRD, BORN ON A DIFFERENT CLOUD
และเพลง BETTER MAN ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนๆ
ก็หวังว่าพ่อคุณ LIAM GALLAGHER จะไม่ไปซ่ากับใครเหมือนอย่างในอดีตนะ
เพราะพี่ท่านเป็นคนโผงผางซะด้วยซิ แต่อย่างไรก็ตามอัลบัมชุดนี้ถือว่ามีความสมบูรณ์ในแบบซาวน์ดของอังกฤษ
พวกเขานี้ถือว่าเป็นต้นฉบับจริงๆ
ศิลปิน : DAVID BOWIE
อัลบัม : HEATHEN
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "DAVID BOWIE ผู้ชายสองบุคลิก"
ถ้าพูดถึง DAVID ROBERT JONES คงมีหลายคนสงสัยว่าเป็นใครกัน แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้ก็คือ DAVID BOWIE
แทบทุกคนคงจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี ในฐานะศิลปินระดับตำนานของวงการ กว่า 3 ทศวรรษนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา
เขาได้รับความนิยมอย่างมากในยุค 70 S ซึ่งนับว่าเป็นยุคทองของเขา หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางกระแสดนตรีที่มีความหลากหลาย เขายังคงผสมผสานความหลากหลายเหล่านั้นเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว
สังเกตได้ว่างานดนตรีของเขานั้นมักเต็มไปด้วยสีสันที่ทันสมัยตลอดเวลา
ดังนั้นผลงานที่ออกมามักจะมีซาวน์ดในแบบ PROGRESSIVE ROCK และ ART ROCK
ปะปนอยู่เสมอ แต่ที่โดดเด่นคงเป็นแนว GLAM ROCK
มีศิลปินรุ่นหลังหลายวงที่นำซาวน์ดในแบบของเขามาประยุกต์ใช้กับงานของตนเอง
แล้วก็ถึงเวลาที่ DAVID BOWIE ศิลปินรุ่นใหญ่จากฝั่งอังกฤษ จะประกาศศักดิ์ศรีอีกครั้งกับอัลบัมใหม่เอี่ยมถอดด้าม
HEATHEN หลังจากที่ย้ายมาอยู่ค่ายใหม่ ผลงานชุดนี้เขาได้ทำงานร่วมกับ TONY VISCONTI อีกครั้ง
หลังจากที่ห่างหายไปนานกว่า 20 ปี ถ้าจำไม่ผิดพวกเขาเคยทำงานด้วยกันในอัลบัม ZIGGY STARDUST: THE
MOTION PICTURE ซึ่งเป็นผลงานในช่วงปี 1982
การทำงานร่วมกันในครั้งนี้ของเขาทั้งสองจึงไม่ต้องปรับตัวเข้าหากันมาก เพราะทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน
ทำให้จุดในการทำดนตรีตลอดจนเนื้อหาของงานเพลงสามารถเข้าขากันได้เป็นอย่างดี
ในอัลบัมชุดนี้สิ่งที่ไม่ขาดหายไปคือดนตรีในแบบ PROGRESSIVE ROCK และ ART ROCK
ซึ่งน่าจะโดนใจแฟนเก่าๆ ของพวกเขากันบ้าง แม้ว่าจะเป็นผลงานชุดใหม่
แต่ก็ทำให้ได้บรรยากาศแบบเก่าของเขาได้เป็นอย่างดี คงไม่ต้องพูดมากกับอัลบัมนี้นะ
ตัวเอง
ศิลปิน : WILL SMITH
อัลบัม : BORN TO REIGN
แนวเพลง : R&B/HIP HOP/RAP
พาดหัว "ฉายาของเขาคือ THE FRESH PRINCE"
ความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดของเขาทำให้ WILL SMITH หนุ่มผิวสีผู้นี้มีความโดดเด่นเหนือกว่าใคร
มีผลงานทางด้านการแสดงที่โด่งดังมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง BAD BOY, ID4, MEN IN BLACK, WILD
WILD WEST และ ALI ทุกเรื่องที่กล่าวมาล้วนสร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก
หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเขาคือนักแสดง แต่แท้จริงแล้ว เขาคือนักแรพ ฝีมือฉกาจต่างหาก
เขาเริ่มงานดนตรีมาก่อนงานทางด้านการแสดง โดยมองย้อนกลับไปในช่วงกลางยุค 80S ที่เป็นจุดทำให้คนหนุ่มจาก
ฟิลาเดลเฟีย ตัดสินใจเลือกทางเดินในสายดนตรีในปี 1987 อย่างเต็มตัว โดยเขามีฉายาว่า THE FRESH PRINCE
ความลงตัวเกิดขึ้นเมื่อได้ร่วมงานกับ DJ JAZZY JEFF ในแบบดูโอ ทั้งสองมีความชัดเจนด้วยกันทั้งคู่ WILL SMITH
เก่งทางด้านการแรพ ส่วน JAZZY JEFF มีฝีมือในการเป็น DJ พวกเขามีผลงานในนามของวง DJ JAZZY JEFF &
THE FRESH PRINCE ด้วยกันประมาณ 5 อัลบัม ก่อนที่จะเปลี่ยนมาทำงานในชื่อของ WILL SMITH
เริ่มจากอัลบัมแรก BIG WILLIE STYLE ปี 1997 อัลบัมที่สอง WILLENIUM ปี 1999
ซึ่งทั้งสองอัลบัมได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกัน ถึงจะเป็นการทำงานในนามของ WILL SMITH
แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังคงทำงานร่วมกันเหมือนเดิม
BORN TO REIGN อัลบัมใหม่ล่าสุด ที่เต็มอิ่มไปด้วยเสน่ห์ดนตรีที่มีความหลากหลาย โดยยังคงรากหลักที่ HIP HOP
และ R&B สีสันของอัลบัมนี้คงอยู่ที่ซาวน์ดดนตรีที่เลือกการบันทึกเสียงจากเครื่องดนตรีจริงๆ
มากกว่าการใช้เครื่องแซมพลิง (SAMPLING) เข้ามาช่วย จึงทำให้บทเพลงของเขามีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น
เปิดตัวเป็นซิงเกิลแรก เพลง BLACK SUITS COMIN (NOD YA HEAD)
ที่มีซาวน์ดแบบสนุกสนานด้วยการนำเสน่ห์ของเครื่องเป่า มาผสานกับสำเนียงกีตาร์ และซาวน์ดจากวงออร์เคสตรา
ผนวกกับการร้อง
แรพ ทำให้เพลงนี้มีความโดดเด่น สำหรับเพลงนี้นอกจากจะเป็นซิงเกิลแรกแล้ว
ยังเป็นเพลงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง MEN IN BLACK II อีกด้วย
อย่างที่บอกไว้ว่าอัลบัมนี้จะมีซาวน์ดดนตรีหลายแนว อย่างเพลง I CAN T STOP ก็มีกลิ่นอายดนตรี LATIN
เข้ามาเพิ่มเสน่ห์ให้กับ HIP HOP ได้ดี
ผลงานชุดนี้โดยรวม เป็นอีกหนึ่งอัลบัมที่น่าจะก้าวไปด้วยดี เพราะการรักษาความสม่ำเสมอของหนุ่มคนนี้
น่าจะทำให้เพลงในอัลบัมนี้ขึ้นไปนั่งในชาร์ทต่างๆ ได้อย่างสบาย
ศิลปิน : LOOPER
อัลบัม : THE SNARE
แนวเพลง : POP
พาดหัว "LOOPER พวกเขาทำดนตรี POP ที่ไม่ธรรมดา"
เมื่อได้ฟังงานดนตรีของศิลปินกลุ่ม LOOPER แล้ว ดนตรีของพวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
อาจจะมาจากพื้นฐานทางด้านศิลปะที่พวกเขามีกัน จึงทำให้ผลงานออกมามีเสน่ห์ต่างจากงานทั่วไป
จุดเริ่มต้นของวงนี้คงต้องเริ่มในปี 1997 ที่โรงเรียนสอนศิลปะ GLASGOW โดยมีสมาชิกดังนี้ STUART DAVID
(ร้องนำ), KARN DAVID (ร้องนำ) และ RONNIE BLACK (กีตาร์) ในปี 1999
วงนี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ได้ออกซิงเกิล IMPOSSIBLE THINGS ไปแล้ว
ก็ถึงจุดกำเนิดอัลบัมแรกในนามว่า UP A TREE กับดนตรีในแบบ INDIE POP
โดยที่การสร้างซาวน์ดจะมาจากเครื่องอีเลคทรอนิคส์เป็นหลัก
ด้วยสำเนียงดนตรีในแบบใต้ดินของพวกเขาที่มีความแปลกและน่าฟัง ทำให้ได้รับความนิยม
ส่งผลให้ในปีถัดมาอัลบัม THE GEOMETRID ผลงานชุดที่สองได้รับการต้อนรับอย่างมาก ทั้งจากอังกฤษ
และอเมริกา ทำให้พวกเขาทั้งสามต้องไปเล่นคอนเสิร์ทในอเมริกาอีกครั้ง และทำให้ได้ร่วมงานกับ EVIL BOB
มือแซกโซโฟน
ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์ของพวกเขา ทำให้วงการฮอลลีวูดนำเพลงของพวกเขาไปใช้ประกอบภาพยนตร์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง AMERICAN PIE II, OUT COLD, HAPPY ACCIDENT, DOG PARK และล่าสุดในภาพยนตร์เรื่อง
VANILLA SKY เป็นต้น
หลังจากหายไปถึง 2 ปี อัลบัม THE SNARE ผลงานใหม่ล่าสุดของพวกเขาก็ออกมา
ด้วยซาวน์ดดนตรีที่มีความละเมียดละไมมากขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายของซาวน์ดในแบบ TRIP HOP
ซึ่งจะออกแนวหลอนๆ นิดหน่อย เหมือนว่าอยู่ในแดนสนธยา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามใส่ซาวน์ดกุ๊กกิ๊กๆ เข้ามาบ้าง
แต่ก็ไม่ได้
ทำให้โทนของดนตรีเปลี่ยนไป
เพลง THE SNARE เป็นซิงเกิลที่น่าสนใจ ด้วยน้ำเสียงของ STUART ทำให้เพลงนี้มีความนุ่มลึก
และยิ่งผสมผสานกับดนตรีของพวกเขาก็ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์ไม่เบา
ในอัลบัมนี้อัดแน่นไปด้วยดนตรีจังหวะแปลกๆ ที่พวกเขาน่าจะได้อิทธิพลมาจากแนว R&B และ HIP HOP สมัยใหม่
เป็นการผสมผสานด้านมืดของดนตรี POP ลงในบทเพลง
ทำให้งานชุดนี้น่าจะเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการฉีกตัวเองออกจากเพลง POP แบบเก่า
ศิลปิน : INSOLENCE
อัลบัม : REVOLUTION
แนวเพลง : RAP METAL
พาดหัว "ไม่มีคำบรรยายสำหรับ
ขบถพันธุ์ใหม่"
วง INSOLENCE ขบถทางดนตรีที่จะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับคนฟัง
พวกเขาทำซาวน์ดดนตรีในแบบฉบับของ METAL ผสมผสานกับ RAP และ HIP HOP
งานของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับศิลปินอย่าง STATIC-X, FAITH NO MORE, KID ROCK และ TOOL
คงไม่ต้องบรรยายถึงความเถื่อนของพวกเขาเหล่านี้
สมาชิกของวงประกอบด้วย 6 หนุ่ม เริ่มจาก BILLY MECH 1" ROSENTHAL (ร้องนำ), MARK HERMAN
(ร้องนำ), PAUL PERRY (เบสส์), ARMANDO CARDENAS (กลอง/เทิร์นเทเบิล), JERRY DALALO
(เทิร์นเทเบิล/แซมเพิล) และ MIKE ROWAN (กีตาร์) พวกเขาฟอร์มวงกันในช่วงปี 1995 หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานทัวร์
และได้เรียนรู้ถึงการทำงานในห้องบันทึกเสียง ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ทั้งสองด้าน จึงเกิดซิงเกิล INSOLENCE
ที่มีเพลง HEAD 2 HEAD, NATURAL HIGH และ GET UP
นอกจากนั้นยังมีซิงเกิล UP 2 HEAVEN ออกมาในปี 1999 ก่อนที่จะก้าวมาสู่อัลบัมเต็มในชื่อว่า REVOLUTION
อัลบัมนี้พวกเขาได้ร่วมงานกับโพรดิวเซอร์ฝีมือฉกาจอย่าง SYLVIA MASSY SHIVY ผู้ที่เคยร่วมงานกับศิลปินอย่าง
TOOL, POWERMAN 5000, KYLIE MINOGUE และ THE RED HOT CHILLI PEPPERS เป็นต้น
ดังนั้นความมันในอัลบัมนี้ไม่ต้องพูดกัน นอกจากนี้ยังได้แขกรับเชิญอย่าง SEN DOG เข้ามาสร้างสีสัน
LATIN ให้กับเพลง 1-2, 1-2 ร่วมกับ LOGAN MADER ส่วน ANGELO MOORE และ ROBERT TRUJILLO
ศิลปินแนว PUNK และ ROCK ก็มาร่วมกันทำให้เพลง DETOX มีความหนักหน่วงและน่าฟัง ส่วนศิลปิน D-STYLES
ก็เข้ามาให้เพลง DEATH THREAT เพลง POISON WELL และเพลง SICK ได้
แรพกันแบบไฟแลบ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทีมงานที่เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้
ใครที่บอกว่าตัวเองเป็นคนหัวแข็งละก็ ต้องฟังงานเพลงของพวกเขา เพราะจะทำให้คุณเป็นคนหัวอ่อนไปทันที
ด้วยพลังของดนตรีฮาร์ดคอร์บวกด้วยเสียงแรพที่สุดจะโหด เพิ่มสีสันด้วยเสียงเทิร์นเทเบิล
ดังนั้นนอกจากจะให้ความมันในอัลบัมนี้ ที่ตามมาคืออาการปวดหัวติดมาด้วยเป็นแน่
เรื่องโดย : ส. ศิลา
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/9159