ทั่วไป
-
ศิลปิน : CELINE DION
อัลบัม : A NEW DAY HAS COME
แนวเพลง : POP
พาดหัว "สวัสดีวันใหม่ของราชินีเพลง POP จากแคนาดา"
บทเพลงสุดคลาสสิคของเธอ ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักเธอเพิ่มมากขึ้นนั้น น่าจะเป็น MY HEART WILL GO ON
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง TITANIC ถึงแม้ก่อนหน้านี้ เธอจะมีผลงานที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเพลง BEAUTY AND THE BEAST และ WHERE DOES MY HEART BEAT NOW จากอัลบัม
UNISON ผลงานชิ้นแรกในภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเพลง LOVE CAN
MOVE MOUNTAINS เป็นต้น
กว่าสิบปีในฐานะศิลปินหญิงเดี่ยว ที่ผ่านหนาวผ่านร้อนมามากมาย ในปี 2000
เธอจึงได้หยุดพักการทำงานเพื่อให้เวลากับครอบครัว โดยเฉพาะลูกชายหัวแก้วหัวแหวน กว่าผลงานชุดใหม่ของเธอ
A NEW DAY HAS COME จะออกมานับเป็นเวลาถึง 2 ปี อัลบัมนี้เป็นอีกบทบาทหนึ่งของเธอที่ต่างไปจากเดิม
แต่น้ำเสียงและพลังยังคงเดิม ถึงจะห่างจากการทำงานเพลง
เธอก็ยังคงอุ่นเครื่องและบริหารน้ำเสียงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พร้อมสำหรับอัลบัมชุดนี้
สีสันดนตรียังคงมีลวดลายของ CELINE DION ไว้เช่นเดิม แต่ก็มีการนำรูปแบบทำนองใหม่ๆ
เข้ามาสร้างเสน่ห์ให้กับดนตรีเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพลง A NEW DAY HAS COME ที่ได้ WALTER AFANASIEFF
และ ALDO NOVA เข้ามาโพรดิวศ์ และเรียบเรียงให้ โดยทำออกมาเป็น 2 เวอร์ชัน คือ แบบ REMIX และ แบบ POP
ต้นฉบับ ก็มีความน่าฟังดี บทเพลงนี้ในส่วนของวีดีโอ ได้ DAVID MEYERS เข้ากำกับให้
สำหรับคนนี้เคยทำงานให้กับศิลปินมีชื่อเสียงอย่าง KID ROCK, AALIYAH, CEED และ BRITNEY SPEARS
มาแล้ว
สำหรับบทเพลงที่แปลกแยกไปจากเพลงอื่น คงจะเป็นเพลง TEN DAYS ที่ได้ศิลปินของ ฝรั่งเศส GERALD DE
PALMAS และ MAXIME LE FORESTIER เป็นผู้สร้างสรรค์ ดนตรีจะออกแนว ROCK ซึ่งเธอก็ใส่เสียงร้องได้ดี
ในอัลบัมนี้เธอได้ศิลปินระดับแถวหน้ามาร่วมงานอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น SHANIA TWAIN ที่มาร่วมร้องในเพลง
GOODBYE S (THE SADDEST WORD) ทั้งยังได้ MUTT LANGE มาโพรดิวศ์ให้ จึงทำให้มีกลิ่นอายของ
COUNTRY หวานๆ อยู่ในอัลบัมนี้ด้วย
ผลงานชิ้นนี้ เป็นสีสันใหม่ที่แฟนๆ เธอเฝ้ารอ เปรียบเสมือนเป็นวันใหม่ของเธอ และเป็นย่างก้าวใหม่ของเธอในปี
2002 ซึ่งในปีนี้เธอคงจะได้รับรางวัลติดไม้ติดมือเหมือนเดิม
ศิลปิน : BEVERLEY KNIGHT
อัลบัม : WHO I AM
แนวเพลง : POP/R&B
พาดหัว "ศิลปินสาวผิวสีจากเกาะอังกฤษ"
เธอเติบโตมาพร้อมกับดนตรี R&B ชนิดที่ว่าติดดนตรีประเภทนี้จนงอมแงม ศิลปินในดวงใจของเธอคือ ANNIE
LENNOX ซึ่งในบ้านเราคงจะไม่คุ้นหูซักเท่าไหร่ แต่ความยิ่งใหญ่ก็ไม่แพ้ ARETHA และ CHAKA ที่คนไทยรู้จักกันดี
จากอัลบัมชุดที่แล้ว ทำให้ศิลปินหน้าใหม่คนนี้โด่งดังตามรอยศิลปินรุ่นพี่ เมื่อบทเพลงของเธอติดชาร์ท
และยังได้รางวัล MOBO ในสาขาอัลบัมยอดเยี่ยม กับสาขานักร้อง R&B ยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ยังได้เป็นศิลปินรับเชิญให้กับ JAMIROQUAI ทั้งตอนตระเวนแสดงคอนเสิร์ทใน ฝรั่งเศส และใน อังกฤษ
อีกด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศิลปินหนุ่มคนนี้แสดงคอนเสิร์ทร่วมกับศิลปินรับเชิญ
อัลบัม WHO I AM เป็นผลงานใหม่ล่าสุดที่เธอได้ร่วมเขียนบทเพลง กับนักแต่งเพลงระดับแถวหน้าของ
อังกฤษไม่ว่าจะเป็น DERRICK JOSHUA, DERRICK MARTIN และ A. CLARK เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ CRAIG
WISEMAN นักแต่งเพลงระดับหัวกะทิจากแนชวิลล์ (NASHVILLE) คนนี้มีรางวัลเป็นเครื่องรับประกันถึงฝีไม้ลายมือ
ส่วนโพรดิวเซอร์ก็ได้ D INFLUENCE, DODGE และโพรดิวเซอร์มือพระกาฬอีกหลายคนเข้ามาร่วมทีม JAMES
POYSER คืออีกคนที่เข้ามาดูแลงานในอัลบัมนี้ด้วย เขาเคยทำงานให้กับศิลปิน LAURYN HILL, JILL SCOTT และ
D ANGELO มาแล้ว
เพลง GET UP ! เป็นซิงเกิลแรกของเธอในแนว R&B สายพันธุ์อังกฤษ มีกลิ่นอายของ HIP HOP และ DANCE
โดยทำนองและการร้องจะมีสำเนียงในแบบชาวจาไมกา ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเพลงนี้
ส่วนเพลง SHOULDA WOULDA COULDA ก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นซิงเกิลที่สอง เพลงนี้จะมีกลิ่นอายของ COUNTRY
อยู่ด้วย เพราะได้ CRAIG WISEMAN เป็นผู้ร่วมเขียนบทเพลง โดยโทนของเพลงจะมีความหวาน
น่าฟัง ตอนนี้ติดชาร์ทไปแล้ว
อัลบัมชุดนี้เป็นงานชุดที่สามของเธอที่น่าจะถูกใจหลายๆ คน เพราะเธอพัฒนาคุณภาพงานโดยตลอด นับจาก
อัลบัมแรก ทั้งด้านดนตรี และการร้องที่มีสีสันใหม่ๆ เข้ามาเสมอ แต่ที่เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือ
ความเป็น R&B
ศิลปิน : DREAM THEATER
อัลบัม : SIX DEGREES OF INNER TURBULENCE
แนวเพลง : PROGRESSIVE METAL
พาดหัว "นี่คือกอดฟาเธอร์ ของวงการ PROGRESSIVE"
จากการรวมตัวกันในปี 1988 ทำให้เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันเป็นอย่างมาก
ถึงการทำดนตรีที่เต็มไปด้วยสีสัน และความแปลกใหม่ พวกเขามีความสนใจดนตรี แทรซ
ทั้งยังได้อิทธิพลของดนตรีในแบบ PROGRESSIVE ROCK
ซึ่งเมื่อพวกเขานำมารวมกันจึงทำให้เกิดเป็นดนตรีในแบบใหม่ ที่เรียกว่า PROGRESSIVE METAL หรือ NEO
PROGRESSIVE
ในวงการเพลงแนว PROGRESSIVE วง PINK FLOYD คือผู้สร้างตำนานให้กับดนตรีแนวนี้ ส่วนวง DREAM
THEATER ถูกยกย่องให้เป็นกอดฟาเธอร์ของเพลงแนว PROGRESSIVE METAL
ซึ่งพวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเพลง METAL ยุคใหม่ในขณะนั้น
อัลบัม SIX DEGREES OF INNER TURBULENCE ผลงานชุดใหม่ที่ MIKE PORTNOY (กลอง) และ JOHN
PETRUCCI (กีตาร์) ทำหน้าที่เป็นโพรดิวเซอร์ งานดนตรีของพวกเขายังคงอัดแน่นไปด้วยดนตรีที่หนักหน่วง
มันเหมือนดินระเบิดที่รอวันปะทุ และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว
บทเพลงในอัลบัมชุดนี้มีความยาวค่อนข้างมาก เพลงๆ หนึ่งกินเวลาเป็น 10 นาทีขึ้นไป จะมีแต่เพลง
MISUNDERSTOOD ที่มีความยาวแค่ 5.14 นาทีเท่านั้น ยิ่งเพลง SIX DEGREES OF INNER TURBULENCE
กินเวลากว่า 42 นาที ซึ่งพวกเขาได้แบ่งบทเพลงนี้ออกเป็น 8 ภาค เปิดภาคแรกกับ OVERTURE
ด้วยซาวน์ดแบบวงออร์เคสตราด้วยฝีมือของ JOR RUDESS มือคีย์บอร์ดของวง แล้วจบลงด้วย LOSING
TIME/GRAND FINALE ภาคที่ 8 ของอัลบัมชุดนี้ ซึ่งพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความมั่นคง
และความตั้งใจซึ่งเหมือนอย่าง
โพรเจคท์ TRANSATLANTIC, PLATYPUS, LIQUID TENSON EXPERIMENT และ MULLMUZ
วง DREAM THEATER เป็นกลุ่มศิลปินที่มีแฟนเพลงเหนียวแน่นตลอด เพราะด้วยซาวน์ดดนตรีที่มีรูปแบบเฉพาะตัว
และสำเนียงกีตาร์ของ PETRUCCI ซึ่งเขาคนนี้ถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มมือกีตาร์ฮีโรของยุค 90 S ด้วย
อัลบัมชุดนี้จะโดนใจกันขนาดไหน ต้องลองฟังกันเอาเอง
สำหรับในวงการนักวิจารณ์ได้ยกย่องให้อัลบัมนี้เป็นผลงานที่ดีมากอัลบัมหนึ่ง
ศิลปิน : GOMEZ
อัลบัม : IN OUR GUN
แนวเพลง : ROCK
พาดหัว "GOMEZ วงพันธุ์ใหม่จากแดนผู้ดี"
ท่ามกลางกระแสดนตรีในแบบ BRIT POP ที่กำลังมาแรงในช่วงกลางยุค 90 S
ที่แทบจะไม่มีช่องว่างให้กับนักดนตรีหน้าใหม่เลย ในช่วงนั้นสไตล์ของดนตรีจะนำซาวน์ดสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแนว
RETRO POP ที่มีวง OASIS เป็นหัวหอก หรืออย่างแนว TRIP HOP ที่มีวง PORTISHEAD เป็นแกนหลัก
แม้กระทั่งแนว SPACE ROCK ที่มีวง THE VERVE และ RADIOHEAD เป็นแกนนำ แต่วง GOMEZ
คืออีกหนึ่งวงที่สามารถเข้ามาแทรกอยู่ได้ ด้วยดนตรี ROCK ในแบบฉบับของพวกเขา
BRING IT ON อัลบัมแรกในปี 1998 ที่ได้รับการชื่มชมอย่างมาก ทั้งยังได้รับรางวัล MERCURY MUSIC PRIZE
ในสาขาอัลบัมแห่งปี ซึ่งพวกเขาสามารถแซงหน้ารุ่นพี่ อย่างวง MASSIVE ATTACK และ THE VERVE ไปได้
ในอัลบัมชุดนี้ นิตยสาร SPIN ได้ตั้งฉายาไว้ว่า "A DAMN BEAUTIFUL ALBUM"
หรือประมาณว่าเป็นอัลบัมแห่งคำสาป ก็คงจะว่าได้ ซึ่งทาง SPIN ก็ให้คะแนนถึง 8 เต็ม 10 แต้มซะด้วย
IN OUR GUN ผลงานชุดที่สามหลังจากที่ได้ห่างหายกันไปถึง 3 ปี ถ้านับจากอัลบัมเต็ม LIQUID SKIN (1999)
อัลบัมชุดล่าสุดนี้ พวกเขากลับมาสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เริ่มแรกด้วยแทรค SHOT SHOT
ที่มีท่วงทำนองต่างออกไปจากเดิม
ซาวน์ดดนตรีที่นำมาใช้ในอัลบัมนี้ ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากพวก ELECTRONICA
และซาวน์ดสมัยใหม่เข้ามาเสริม แต่ที่พวกเขาไม่ทิ้งไปคือ ความเป็นดนตรี ROCK
สำหรับงานในชุดนี้พวกเขาคุมโทนของดนตรีได้ดี นับจากเพลง IN OUR GUN เพลง SOUND OF SOUNDS เพลง
ARMY DUB และปิดท้ายด้วย BALLAD OF NICE & EASY ทำให้อดนึกถึงอัลบัมแรกไม่ได้
ต้องบอกว่างานชุดนี้ยังคงเอกลักษณ์ของพวกเขาไว้เหมือนเดิม คือดนตรีที่ไม่ต้องการสีสันอะไรมากมาย
นำเสนอแบบตรงไปตรงมา อยากจะใส่ซาวน์ดอะไรก็ใส่ แต่ขอโทษนะที่ดันดังได้
ศิลปิน : LO FIDELITY ALLSTARS
อัลบัม : DON T BE AFRAID OF LOVE
แนวเพลง : ELECTRONICA
พาดหัว "งานนี้สำหรับคอเพลง LO FI เท่านั้น"
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังงานในแบบ THE PRODIGY, THE CHEMICAL BROTHERS, FATBOY SLIM และ
DEEJAY PUNK-ROC แล้วละก็ วง FIDELITY ALLSTARS เป็นอีกวงที่มีสีสันทางดนตรีไม่แพ้กันเลย
พวกเขาเป็นวงในแนว BIG BEAT ที่นำเอาดนตรีในแบบ ROCK N ROLL เข้ามาสร้างเสน่ห์ให้กับบทเพลง
การก่อกำเนิดวงนี้เริ่มขึ้นตอนกลางปี 1996 หลังจากนั้นพวกเขาทำเดโมให้กับ DAMIAN HARRIS แห่งค่าย SKINT
ทันทีที่ได้เห็นพวกเขาเล่นสดให้ฟัง เขาก็จับเข้าสังกัดทันที
จากผลงานชุดแรกได้สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ของวงการเพลง
ELECTRONICA ที่น่าจับตาอีกวงของ อังกฤษ ด้วยกลิ่นอายดนตรีแบบ FUNKY BREAKS และ TRIP HOP
จึงทำให้หลายเพลงในอัลบัม HOW TO OPERATE WITH A BLOWN MIND ได้รับความนิยม
ตอนนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับการค้นพบซาวน์ดใหม่ และหนทางของการหลุดพ้นแล้ว
ซึ่งทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในอัลบัมใหม่ DON T BE AFRAID OF LOVE ทันทีที่เพลง FEEL WHAT I FEEL ออกมา
ก็กลายเป็นเพลงเต้นรำยอดนิยมของ IBIZA
เพลงในอัลบัมชุดนี้พวกเขาได้ร่วมงานกับบุคคลระดับแถวหน้าอย่าง JAMIE LIDELL กับเพลง DEEP
ELLUM...HOLD ON ที่มีซาวน์ดน่าสนใจ ส่วน AFGHAN WHIGS GREG DULLI กับเพลง SOMEBODY NEEDS
YOU ดนตรีจังหวะไม่เร็วแต่มีสีสันไม่เบา สำหรับ BOOTSY COLLINS เขาเข้ามาโชว์พลังเสียงในแบบ SOUL
กับเพลง ON THE PIER
ต้องบอกว่าดนตรีของพวกเขาเป็นดนตรีเต้นรำที่มีความทันสมัยที่สุดในขณะนี้
โดยเฉพาะคนที่รักดนตรีในแบบนี้เห็นทีว่าจะมีให้เลือกน้อยหน่อยนะ เพราะเท่าที่ดูเห็นจะมีวงอย่าง PRIMAL
SCREAM และ THE KLF ที่ยังมีผลงานชุดใหม่ ส่วนวงอื่นๆ ต้องรอกันไปก่อน
แต่อย่างไรก็อย่าลืมหยิบอัลบัมนี้ไปฟังบ้างนะ
ศิลปิน : JOSH GROBAN
อัลบัม : JOSH GROBAN
แนวเพลง : CLASSIC/POP
พาดหัว "ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการเพลง CLASSIC"
เด็กหนุ่มจาก ลอสแองเจลิส ผู้พิสมัยการร้องเพลง CLASSIC เข้ามาอยู่ภายใต้สังกัดของ DAVID FOSTER
นักปั้นศิลปินระดับแนวหน้า ผลงานที่ฝากไว้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง I SWEAR ของบอยแบรนด์อย่าง ALL-4-
ONE เพลง UNBREAK MY HEART ของ TONI BRAXTON หรือเพลง GOODBYE ของวงดนตรีรุ่นใหญ่อย่าง AIR
SUPPLY นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับโพรดิวเซอร์ผู้นี้
ด้วยน้ำเสียง BARITONE ของ JOSH GROBAN แทบไม่น่าเชื่อว่าหนุ่มวัย 20 ปี คนนี้จะมีพลังเสียงที่อบอุ่น
ขอเสริมเรื่องเสียงร้องที่วงการเพลง CLASSIC แยกออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ SOPRANO และ ALTO
จะเป็นเสียงร้องของผู้หญิง ส่วน TENOR และ BASS เป็นเสียงร้องของผู้ชาย สำหรับเสียงร้องระดับ BARITONE
จะอยู่ระหว่างกลาง ระหว่างเสียง TENOR (เสียงสูง) และ ALTO (เสียงต่ำ) ซึ่งเสียง BARITONE
เป็นเสียงกลางของผู้ชาย ลักษณะเสียงจะเป็นเสียงต่ำ แต่มีความสดใสมากกว่าเสียงเบสส์
JOSH GROBAN เข้ามาร่วมงานกับ DAVID FOSTER อยู่หลายปี ก่อนที่จะออกอัลบัมเต็มชุดแรก ในชื่อชุดว่า
JOSH GROBAN ซึ่งเป็นงานเปิดตัวด้วยชื่อของเขาเอง ในงานชุดนี้เขาหยิบเอาเพลง THE PRAYER
ซึ่งได้ร่วมร้องกับสาวน้อย CHARLOTTE CHURCH บทเพลงนี้สมัยที่ CELINE DION
ร้องไว้ก็ได้รับรางวัลแกรมมีไปครอง
งานดนตรีของเขาจะไม่ใช่ดนตรี CLASSIC แท้ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างแนว CLASSIC และ POP
เข้าไว้ด้วยกัน อย่างเพลง GIRA CON ME ในภาคภาษาอิตาลี ซึ่งเป็นเพลง BALLAD ช้าๆ โดยที่จะเลี่ยงจาก
MINOR OPERA ด้วยฝีมือของ FOSTER จึงทำให้บทเพลงนี้ออกมาด้วยรูปแบบของการผสานสียงได้จริง
ถ้าคนที่เคยฟังงานของศิลปินอย่าง ANDREA BOCELLI SARAH BRIGHTMAN และ CHARLOTTE CHURCH
แล้วละก็
ผลงานของเขาถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ แต่ก็ยังคงเต็มอิ่มไม่แพ้อย่างศิลปินที่กล่าวมาแล้ว
เรื่องโดย : ศ. ศิลา
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/9102