วิลเลียม บอทวิค ประธานกรรมการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น สร้างปัญหาให้คนไทย และทั่วโลก เหตุนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดตลาดรถเชื้อเพลิง 2 ระบบ ที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และแกสธรรมชาติ ซีเอนจี (CNG) ใน เชฟโรเลต์ ออพทรา เพื่อเป็นทางเลือกให้คนไทยได้ใช้รถยนต์ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น เพราะราคาของแกสธรรมชาติ ซีเอนจี ถูกกว่าราคาน้ำมันถึงกว่า 3 เท่า และเป็นการลดปริมาณการใช้ และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาบริษัทมีความพร้อมทางเทคโนโลยีเครื่องยนต์เชื้อเพลิง 2 ระบบ และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน

เชฟโรเลต์ เปิดตลาด ซีเอนจี ออพทรา-โคโลราโด วิลเลียม บอทวิค ประธานกรรมการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น สร้างปัญหาให้คนไทย และทั่วโลก เหตุนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดตลาดรถเชื้อเพลิง 2 ระบบ ที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และแกสธรรมชาติ ซีเอนจี (CNG) ใน เชฟโรเลต์ ออพทรา เพื่อเป็นทางเลือกให้คนไทยได้ใช้รถยนต์ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น เพราะราคาของแกสธรรมชาติ ซีเอนจี ถูกกว่าราคาน้ำมันถึงกว่า 3 เท่า และเป็นการลดปริมาณการใช้ และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาบริษัทมีความพร้อมทางเทคโนโลยีเครื่องยนต์เชื้อเพลิง 2 ระบบ และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน สำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบเชื้อเพลิงแกส ซีเอนจี ในครั้งนี้ จะติดตั้งทั้งในรุ่น ซีดาน และเอสเตท จะเป็นระบบ BI-FUEL ที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และ ซีเอนจี โดยอัตโนมัติ กล่าวคือ เมื่อเชื้อเพลิงแบบใดแบบหนึ่งหมด ระบบก็จะสลับสับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอีกชนิดหนึ่งทันที โดยไม่ต้องกดปุ่มควบคุมใดๆ นอกจากนี้ เชื้อเพลิง 2 ระบบ ในรถ เชฟโรเลต์ โคโลราโด ยังอยู่ระหว่างการสาธิต และทดลองติดตั้ง โดยได้ตกลงให้ ยูเอส เอเนอร์จี คอร์พอเรชัน (US ENERGY) เป็นผู้ผลิตระบบเชื้อเพลิงแบบ DUAL FUEL ป้อนให้บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยระบบ DUAL FUEL เป็นการใช้น้ำมันดีเซล และแกส ซีเอนจี ที่สามารถทำงานพร้อมกันแบบฉีดผสม หรือสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำมันแบบ 100 % ก็ได้ ขณะที่ระบบทำงานแบบฉีดผสมจะเป็นการใช้ในสัดส่วน ซีเอนจี 80 และน้ำมันดีเซล 20 % ส่วนการริเริ่มติดตั้งเชื้อเพลิงทั้ง 2 ระบบในรถพิคอัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกในเมืองไทยของ เชฟโรเลต์ ครั้งนี้ เนื่องจากรถพิคอัพผู้บริโภคนิยมใช้มาก มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประเทศ และเมืองไทยยังเป็นตลาดรถพิคอัพใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ทำให้คาดการณ์ว่าจนถึงสิ้นปี 2549 ยอดการผลิตจะเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคัน ขณะที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ฯ ที่จังหวัดระยอง ได้ลงทุนเพิ่มอีกกว่า 2,700 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานทำสีแห่งใหม่ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตจาก 110,000 เป็น 160,000 คัน/ปี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้รถยนต์ เชฟโรเลต์ ในประเทศไทย และเพื่อการส่งออกในตลาดอีก 100 ประเทศทั่วโลก ด้าน จอห์น ธอมสัน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การติดตั้งอุปกรณ์เชื้อเพลิงทั้ง 2 ระบบ ใน เชฟโรเลต์ ออพทรา และ โคโลราโด ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ในคุณภาพของตัวรถ และอุปกรณ์ที่ติดตั้งว่ามีความแข็งแรง ปลอดภัย เพราะได้ทำการทดสอบระบบที่ติดตั้งตามสภาพการใช้งานจริงกว่า 200,000 กม. ยังไม่พบปัญหาใดๆ และเพื่อเป็นการยืนยันความมั่นใจจึงรับประกันคุณภาพของระบบเชื้อเพลิงแกสธรรมชาติ ซีเอนจี 3 ปีเต็ม หรือ 100,000 กม. ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจ ตัดสินใจหันมาใช้รถยนต์ที่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแกส ซีเอนจี ได้ง่ายขึ้น สำหรับเงื่อนไขการรับประกัน บริษัทจะรับประกันระบบเชื้อเพลิงแกสธรรมชาติ ซีเอนจี ที่ได้รับการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบแกส ซีเอนจี ที่รับรองโดย เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย เท่านั้น โดยระยะรับประกันตลอดระยะเวลา 36 เดือน หรือ 100,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน นับจากวันที่รถยนต์ได้ผ่านการตรวจสอบการติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแกสธรรมชาติเป็นวันเริ่มต้นการรับประกัน ลูกค้าสามารถแสดงความจำนงต่อศูนย์บริการ เชฟโรเลต์ ทั่วประเทศ ในการติดตั้งระบบแกส ซีเอนจี (สำหรับลูกค้าที่ใช้รถยนต์ เชฟโรเลต ออพทรา 1.6 ลิตรอยู่แล้ว) หรือสามารถสั่งจองรถใหม่ที่ติดตั้งระบบแกส ซีเอนจี แล้วเสร็จก่อนรับรถก็ได้ ซึ่งลูกค้าจะได้รับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจาก ปตท. เป็นมูลค่า 10,000 บาท สำหรับการรับประกันคุณภาพอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงแกส ซีเอนจี ปตท. ฯ–ปิโตรนาส ฯ ร่วมมือขยายสถานีบริการ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง ปตท. ฯ กับ ปิโตรนาส ฯ ในการขยายสถานีบริการ เอนจีวี เพิ่มขึ้น ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด นอกเหนือจากความร่วมมือกับ บางจาก ฯ ครั้งนี้ ปตท. ฯ จะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างสถานีบริการ เอนจีวี ส่วน ปิโตรนาส ฯ จะให้การสนับสนุนสถานที่ที่เป็นจุดบริการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้ เอนจีวี มีความมั่นใจ และได้รับความสะดวกในการเข้ารับบริการมากยิ่งขึ้น ทั้ง มีแผนที่จะขยายสถานีบริการ เอนจีวี จากเดิม 66 เป็น 200 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 740 แห่ง ในปี 2553 นอกจาก ปตท. ฯ จะเร่งก่อสร้างสถานีบริการ เอนจีวี ในสถานีบริการน้ำมันของ ปตท แล้ว ยังร่วมกับบริษัทน้ำมัน และ ผู้ค้าแกสหุงต้ม ซึ่งเปิดสถานีบริการจำหน่ายแกส แอลพีจี ในปัจจุบัน ขยายจำนวนสถานีบริการ เอนจีวี ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น เช่น SUSCO/TPI และ SIAM GAS ส่วนความร่วมมือกับบริษัทน้ำมันอื่นๆ เช่น คอนโนโค เชลล์ เอสโซ และ คาลเทกซ์ อยู่ระหว่างการหารือร่วมกัน ทุกบริษัทมีแนวโน้มการตอบรับที่ดี เพราะตระหนักถึงความจำเป็นที่จะร่วมมือกับ ปตท. ฯ ในการขยายสถานี เอนจีวี เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน คาดว่าจะมีการลงนามความร่วมมือกันได้ในเร็วๆ นี้ สำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถโดยสาร รถบรรทุก ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น และต้องการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ เอนจีวี แต่ไม่ได้รับความสะดวกในการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ปตท. ฯ จะบริหารการปล่อยสินเชื่อเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นิติบุคคลที่ไม่ผ่านเกณฑ์ของธนาคารต่างๆ โดยจะเริ่มต้นปล่อยสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2549 เป็นต้นไป ส่วนการแบ่งเบาภาระและเพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชน และผู้ประกอบการขนส่ง หันมาใช้ เอนจีวี ทดแทนการใช้น้ำมันมากยิ่งขึ้น ปตท. ฯ ยังคงตรึงราคา เอนจีวี ไว้ที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท ทุกสถานี จนถึง ธันวาคม 2550 แม้ขณะนี้ราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม และ ปตท. ฯ ขอยืนยันว่า ในอนาคตแม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ ปตท. ฯ จะกำหนดราคา เอนจีวี ไม่เกิน 50 % ของราคาน้ำมันดีเซลด้าน MOHD AIDNIL บิน อับดุล ราซัค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิโตรนาส (รีเทล) ประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์โดยรวมต่อเศรษฐกิจของประเทศ ปิโตรนาส ฯ มีความยินดีที่จะร่วมมือในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานทางเลือกที่ผลิตได้จากวัตถุดิบในประเทศตามนโยบายรัฐ และเป็นการช่วยเพิ่มความสะดวก ลดเวลาในการใช้บริการ โดยเฉพาะรถแทกซี ซึ่งปัจจุบันเป็นลูกค้าหลักที่ใช้แกส เอนจีวี สำหรับแผนการขยายสถานีบริการ เอนจีวี ที่สถานีบริการน้ำมันปิโตรนาส บริษัท ฯ จะเปิดให้บริการนำร่องในเขตกรุงเทพ ฯ และ ปริมณฑล 8 แห่ง ในปี 2549 และเพิ่มเป็น 20 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพ ฯ ปริมณฑล และในต่างจังหวัด ในปี 2550 โดยปี 2551 บริษัทมีเป้าหมายในการขยายสถานีบริการปิโตรนาส เอนจีวี ให้ครบ 30 แห่ง ทั่วประเทศ