ธุรกิจ
โมโตฮิเดะ ซูโดะ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ฮอนดา มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในภูมิภาคนี้มากขึ้น รวมถึงการยกระดับให้ภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนียเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนป้อนตลาดทั่วโลก โดย ฮอนดา ต้องลงทุนเพิ่มอีกในปีหน้ากว่าหมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์
ฮอนดา
ลงทุนเอเชีย 1.3 หมื่นล้าน
ยกไทยศูนย์กลางส่งออกชิ้นส่วน
โมโตฮิเดะ ซูโดะ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ฮอนดา มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในภูมิภาคนี้มากขึ้น รวมถึงการยกระดับให้ภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนียเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนป้อนตลาดทั่วโลก โดย ฮอนดา ต้องลงทุนเพิ่มอีกในปีหน้ากว่าหมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์
หากแยกผลิตภัณฑ์ของ ฮอนดา แต่ละประเภท ในส่วนของรถยนต์ในภูมิภาคนี้ ฮอนดา คาดว่าจะมียอดจำหน่ายอยู่ที่ 3.1 แสนคัน เฉพาะประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 แสนคัน และคาดว่าในปี 2549 ยอดจำหน่ายรถยนต์ ฮอนดา ในภูมิภาคนี้อยู่ที่ประมาณ 3.6 แสนคัน เติบโตจากปี '48 ประมาณ 16 % ขณะที่ไทยตั้งเป้าเติบโตปี '49 ประมาณ 15% เนื่องจากได้มีการเปิดตัวรถยนต์นั่ง ฮอนดา ซีวิค ใหม่ และรถรุ่นนี้จะมีการเปิดตัวอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งน่าจะสามารถทำยอดจำหน่ายรวมได้ทั้งสิ้น 9 หมื่นคันในปีนี้
ทั้งนี้ฐานการผลิตรถยนต์ ฮอนดา ในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย มีอยู่ใน 7 ประเทศ และมีฐานการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่อีก 3 แห่ง ล้วนมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยมีไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์นั่งสำเร็จรูป ซีบียู (CBU) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยกำลังการผลิต 1.2 แสนคัน
"ในขณะที่ด้านการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ฮอนดาได้ลงทุนในไทย และอีก 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จึงทำให้ ฮอนดา ในภูมิภาคนี้กลายเป็นฐานผลิตชิ้นส่วนสำคัญของ ฮอนดา ทั่วโลก เพราะชิ้นส่วนจากฐานผลิตเหล่านี้จะส่งออกไปยังฐานการผลิตแห่งอื่นๆ ของ ฮอนดา ในอีก 15 ประเทศทั่วโลก ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย ยุโรปและสหรัฐอเมริกา"
นอกจากนี้เพื่อสนับสนุนอัตราการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตได้ภายในประเทศ ฮอนดา ยังวางแผนที่จะผลิตชุดควบคุมอีเลคทรอนิคส์ อีซียู (ECU) หรือสมองกลของรถยนต์ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และไทยจะทำหน้าที่เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เพื่อส่งออกให้กับฐานการผลิตของ ฮอนดา 15 แห่ง ใน 14 ประเทศทั่วโลก
ในส่วนของรถจักรยานยนต์ ฮอนดา ปี '48 มียอดจำหน่ายรวมทั่วโลกประมาณ 12.5 ล้านคัน ซึ่งกว่า 70 % เป็นยอดจำหน่ายของตลาดในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย เฉพาะประเทศไทยบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด คาดว่าจะมียอดจำหน่ายประมาณ 1.43 ล้านคัน โดยตลาดรวมของรถจักรยานยนต์ในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 18.5 ล้านคัน และจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคันในปี '49 นี้ ซึ่งในปัจจุบันกำลังการผลิตรถจักรยานยนต์ ฮอนดา ในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย อยู่ที่ประมาณ 8 ล้านคัน คาดว่าจะเพิ่มเป็น 11 ล้านคัน และน่าจะมีกำลังการผลิตที่สูงถึง 14 ล้านคันในปี 2550 เหตุนี้ ฮอนดา จึงวางแผนที่จะลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการผลิต และความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นของตลาดในภูมิภาคนี้
สำหรับการส่งออกของผลิตภัณฑ์ ฮอนดา ทั้งหมดจากไทย ในปีนี้คาดว่าจะส่งออกเป็นมูลค่ารวม 6.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25 % จากปีที่ผ่านมา โดยเป็นการส่งออกรถยนต์นั่งสำเร็จรูป (CBU) จำนวน 4.7 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 % และในปีหน้าคาดว่าจะส่งออกผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ฮอนดา จากไทยมูลค่ารวม 8.5 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30 % โดยเป็นรถยนต์นั่งสำเร็จรูป 5.5 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 17 % จากปีนี้ เพราะมีการส่งออกรถยนต์ไปออสเตรเลียภายใต้กรอบ เอฟทีเอ
กรุงไทยคาร์เรนท์ ฯ
ตั้งเป้าเติบโตกว่า 20 %
ทิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลิส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สาเหตุที่นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้นต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาตลาดรถเช่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15 % รวมถึงในปีนี้บริษัทได้ขยายธุรกิจรถมือสองเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ขยายธุรกิจแบบครบวงจร
ทั้งนี้ธุรกิจรถเช่าแบบเป็น 2 แบบ คือ รายวัน และรายปี ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นองค์กร บริษัทเอกชน โดยบุคคลธรรมดาจะมีประมาณ 5-10 % เท่านั้น โดยสาเหตุที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นองค์กร หรือบริษัทนั้นจะเอื้อประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุน การควบคุมต้นทุน ตัดปัญหาในเรื่องการดูแล การซ่อมบำรุง
สำหรับจุดเด่นของกรุงไทยคาร์เรนท์ ฯ นั้นจะเน้นที่การให้บริการ ที่มีคุณภาพ และครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรถยนต์ให้เช่นทุกประเภท เช่น รถตู้ รถเก๋ง รถพิคอัพ มากมายหลายยี่ห้อตามความต้องการของลูกค้า โดยปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้ากว่า 2,000 ราย
และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 20 % ซึ่งตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10 %
สหเสริมวัฒนา
แนะนำหลอดไฟจักรยานยนต์ ฟิลิปส์
สุชัย เหลือธนะอนันต์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหเสริมวัฒนา ผู้แทนจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายหลอดไฟรถยนต์ ฟิลิปส์ ปรากฏว่ามียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดรถจักรยานยนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัท ฟีลิปส์ออโตโมทีฟไล้ติ้ง จำกัด จึงได้ขยายตลาดหลอดไฟรถจักรยานยนต์ ฟิลิปส์ เอม 5 สู่ตลาดเมืองไทย
ฟิลิปส์ เอม 5 มีให้เลือก 2 รุ่น คือ เอม 5 พีอาร์ และ เอม 5 บลูวิชัน ที่เน้นคุณภาพที่เหนือกว่า ให้ความทนทาน และเพิ่มความปลอดภัยในการมองเห็นได้ไกลกว่า 20 เมตร หรือ สว่างขึ้น 30 % อีกทั้งในรุ่น เอม 5 บลูวิชัน ยังรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการไฟน้าที่มีสีขาวนวล ด้วยค่าความขาวที่ 4,000 เค
นอกจากนี้เพื่อให้สินค้ากระจายด้วยความรวดเร็ว บริษัทมีแผนเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งใน โมเดิร์นเทรด เช่น เทสโก โลตัส เดอะมอลล์ และร้านจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ เช่น ออโต แบคท์/ ออโต คาร์ และคอคพิท เป็นต้น รวมถึงร้านจำหน่ายอะไหล่ และร้านซ่อมจักรยานยนต์ ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด
ออโตเมติค ฯ
เปิดตัวสัญญาณกันขโมย
วิบูลย์ ว่องศิลป์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโตเมติค บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ UP GRADE SECURITY FOR YOUR CAR BY ABT ให้กับรถยนต์ 3 รุ่น คือ รุ่น Z-GPS รุ่น Z-GSM และ รุ่น Z-SUIT ซึ่งทั้งหมดเปิดตัวในงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 22"
สำหรับคุณสมบัติของการทำงานของ รุ่น Z-GPS คือ ระบบการป้องกันการโจรกรรมผ่านสัญญาณดาวเทียม ให้อำนาจในการค้นหาอย่างแม่นยำในทุกสภาพอากาศและภูมิประเทศ ด้วยการระบุตำแหน่งรถผ่านดาวเทียม ควบคุมและสั่งการผ่านรถได้ทางโทรศัพท์มือถือ สะดวก และปลอดภัย
รุ่น Z-GSM เพิ่มช่องสัญญาณจากระบบ GSM ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นการเตือน การนัดหมาย การติดต่อหรือสื่อสารผ่านมือถือไปยังรถ การสั่งการลอครถ คลายลอค ตัดสตาร์ท และดักฟังเสียง มีให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Z900 เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ไม่มีรีโมทกันขโมย แบบ Z938 เหมาะสำหรับรถที่มีรีโมทกันขโมยที่ติดตั้งมากับตัวรถ และแบบ Z938/1 สำหรับรถที่มีรีโมทเซนทรัลลอค
ส่วน Z-SUIT คือ การเพิ่มความคุ้มครองที่สมบูรณ์ โดยไม่ดัดแปลง เปลี่ยนแปลงระบบเดิมหรืออุปกรณ์ที่มากับรถ จึงไม่เป็นการทำลายสภาพรถ อีกทั้งยังสามารถใช้รีโมทตัวเดิมที่ติดมากับรถได้อีกด้วย โดยเพิ่มระบบ UTRASONIC ตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในห้องโดยสารด้วยคลื่นความถี่สูงถึง 100 ล้านโมเลกุล ระบบ SHOCK SENSOR จับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกับตัวรถ ป้องกันการทุบกระจกรถ และระบบเหยียบเบรคลอค โดยทุกรุ่นมีจำหน่ายแล้วที่ร้านตัวแทนจำหน่ายและศูนย์ เอบีจี ชอบ ทั่วประเทศ
ฟิลลอน ฯ
ตั้ง โค้ทติ้ง ดีโพ ฯ
พงศกร อินทรชุมนุม กรรมการผู้จัดการ บริษัท โค้ทติ้ง ดีโพ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับความไว้วางใจ จาก บริษัท ฟิลลอน เทคโนโลยี จากประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการซ่อมสีรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมองเห็นช่องว่างทางการตลาดสีสเปรย์พ่นซ่อมรถยนต์ จึงได้นำเครื่อง FILL SPRAY นวัตกรรมใหม่เครื่องอัดสีสเปรย์ระบบ 1 เค และ 2 เค เพื่อแนะนำแก่กลุ่มร้านค้าสีพ่นซ่อมรถยนต์ อู่และศูนย์บริการ
สำหรับเครื่อง FILL SPRAY นั้นสามารถใช้แม่สีที่ทางร้านมีจำหน่ายอยู่แล้วทั้งระบบสีแห้งเร็วและแห้งช้า อัดลงกระป๋องจำหน่ายภายใต้ชื่อ COLOUR MIXS ซึ่งที่ผ่านมาเครื่อง FILL SPRAY เป็นที่นิยมในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็วสำหรับงานสีพ่นซ่อมขนาดเล็กที่ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
ปัจจุบันตลาดสีสเปรย์ทั่วไปมีมูลค่าประมาณ 1,400-1,500 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจำหน่ายเครื่อง FILL SPRAY ประมาณ 10-15 เครื่อง ซึ่งสีเปรย์พ่นซ่อมรถยนต์ถือเป็นการเปิดตลาดครั้งแรกในเมืองไทย
มีนี
เวอร์ชันพิเศษ
เศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ผู้จัดการทั่วไปมีนี ประเทศไทย เปิดเผยว่า เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรัก มินี ที่ชอบการแต่งรถให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีบุคลิกที่แตกต่าง มีนี จึงแนะนำรถเวอร์ชันพิเศษ 3 สหาย ได้แก่ มีนี เซเวน/มีนี ปาร์กเลน และมีนี เชคเมท
ส่วนเวอร์ชันพิเศษของทั้ง 3 นั้นถูกตกแต่งและตั้งชื่อตามเวอร์ชันพิเศษของ มีนี รุ่น คลาสสิคที่มีมาในอดีต โดยมีนี เซเวน คือ รูปแบบร่วมสมัยของ ปู่ทวด ของ มีนี รุ่นปัจจุบันที่เวลานั้นมีชื่อว่า ออสติน เซเวน มีนี ปาร์กเลน ถูกตั้งชื่อตาม มีนี ปาร์กเลน ที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนจำกัดเพียงแค่ 1,500 คัน ในช่วงปี 1987 ส่วน มีนี เชคเมท ได้รับการตกแต่งแบบสปอร์ท ถูกตั้งชื่อตามรุ่นพิเศษที่ถูกเปิดตัวในช่วงปี 1990 ที่ผลิตเพียง 2,500 คัน
สำหรับรุ่นใหม่ทั้งสามนี้เน้นหนักไปที่ความพิเศษมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยสีพ่นพิเศษ เมทัลลิคทั้งหมด ล้ออัลลอยลายใหม่ วัสดุหุ้มเบาะ และอุปกรณ์ประดับพิเศษที่ตอกย้ำบุคลิกเฉพาะตัวของรุ่นเหล่านี้
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2549
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8343