เทคนิค
ต้องถึงตอนที่สามนะครับถึงจะจบลง เรื่องของแบทเตอรีแบบตะกั่ว-น้ำกรด (LEAD-ACID) มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายครับ
ต้องถึงตอนที่สามนะครับถึงจะจบลง เรื่องของแบทเตอรีแบบตะกั่ว-น้ำกรด (LEAD-ACID) มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายครับ
ตอนอยู่ในรถแบทเตอรีจะถูกประจุหรือชาร์จไฟฟ้าเข้าตลอดเวลา โดยอัลเทอร์เนเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องปั่นไฟประจำรถ ทำนองเดียวกับการป้อนน้ำหรือถ่ายน้ำจากถังหนึ่งไปสู่อีกถังหนึ่ง ระดับน้ำของถังที่ "จ่าย" จะต้องสูงกว่าระดับน้ำของถังที่ "รับ" เสมอ แรงเคลื่อนไฟฟ้าของอัลเทอร์เนเตอร์จึงต้องสูงกว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าของแบทเตอรีเสมอ แต่ไม่ใช่ยิ่งสูงยิ่งดีนะครับ เพราะถ้าสูงเกินควรจะเกิดปฏิกิริยาเร็วเกินไป ระหว่างแผ่นตะกั่วและน้ำกรด เกิดฟองแกสมาก และทำให้แบทเตอรีอายุสั้นลงกว่าที่ควร แต่ถ้าแรงเคลื่อนไฟฟ้านี้สูงกว่าแบทเตอรีไม่มาก กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าแบทเตอรีก็น้อยเกินไป และกินเวลานานมาก กว่าประจุของแบทเตอรีจะเต็มหรือเกือบเต็ม แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่สูงเพียงพอและไม่ทำให้แบทเตอรีอายุสั้นลง คือ ค่าระหว่าง 13.8 ถึง 14.4 โวลท์ และแรงเคลื่อนไฟฟ้าค่านี้ ก็เป็นค่าของอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดในรถ ตั้งแต่หลอดไฟ มอเตอร์ต่างๆ เครื่องเสียง ฯลฯ หลอดไฟฟ้าสำหรับรถยนต์นั่ง ที่เราเรียกกันว่าหลอด 12 โวลท์
ที่จริงแล้วเป็นหลอดแบบ 14 โวลท์ครับ ต้องออกแบบและผลิตมาสำหรับแรงเคลื่อน 14 โวลท์ เพื่อให้ใช้งานได้ดี ตอนที่เราขับรถ ซึ่งก็คือตอนที่เครื่องยนต์และอัลเทอร์เนเตอร์ทำงานนั่นเอง ถ้าเปิดไฟตอนดับเครื่องยนต์ ก็จะเป็นแรงเคลื่อนไฟฟ้าของแบทเตอรีล้วนๆ มีค่าประมาณ 12.5 โวลท์ ไส้หลอดไฟจะร้อนน้อยกว่าตอนติดเครื่องยนต์เล็กน้อย ความสว่างก็จะลดลงด้วย รถที่ระบบชาร์จไฟมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าต่ำ เช่นราวๆ 13 โวลท์ (ซึ่งถือว่าต่ำเกินควร) นั้น มักมีหลอดไฟที่อายุยืนมาก เพราะไส้หลอดอุณหภูมิต่ำ เนื้อโลหะของไส้หลอดจึงกลายเป็นไอช้ากว่า ทำให้ขาดยากครับ มอเตอร์ต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องเสียงจะต้องถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีกับแรงเคลื่อนไฟฟ้าตั้งแต่ 12 โวลท์ ไปจนถึงเกือบ 15 โวลท์ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องทางเทคนิค เราจะต้องบอกว่าระบบไฟฟ้าของรถยนต์นั่งของพวกเรา เป็นแบบ 14 โวลท์ครับ ไม่ใช่ 12
ส่วนการประจุหรืออัดไฟ โดยไม่ใช้อัลเทอร์เนเตอร์ของรถ แต่ใช้เครื่องประจุไฟฟ้าหรือเรียกกันง่ายๆ ตามความนิยมว่าเครื่องอัดไฟ ซึ่งมีทั้งแบบกระแสคงที่ กับแบบปรับกระแสอัตโนมัติ คือลดกระแสไฟฟ้าให้น้อยลง เมื่อแบทเตอรีมีประจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า เครื่องอัดไฟแบบอัตโนมัติ แบบนี้เราไม่ต้องทำอะไรครับ นอกจากต่อสายไฟเข้ากับขั้วแบทเตอรี แล้วเสียบปลั๊ก กะเวลาที่จะใช้ในการประจุ แบบนี้ถึงลืมก็ไม่มีโทษหรืออันตรายใดๆ เพราะวงจรของเครื่องอัดไฟ จะลดกระแสลงเหลือน้อยมาก เมื่อแบทเตอรีเต็ม
ส่วนเครื่องอัดไฟแบบที่ตั้งค่ากระแสไฟฟ้าคงที่ได้ เป็นแบบเก่าหรือแบบราคาถูกกว่า ซึ่งถ้าผู้ใช้มีความรู้และความเข้าใจเพียงพอ ก็จะกลับมีข้อได้เปรียบเครื่องไฟแบบอัตโนมัติได้เหมือนกัน เพราะใช้เวลาในการอัดไฟน้อยกว่า เพียงแต่ต้องเลือกค่ากระแสให้เหมาะสม และเฝ้าระวัง จำกัดเวลาในการอัดให้ถูกต้อง
การอัดไฟเข้ากับแบทเตอรี ให้เน้นใช้กระแสไฟฟ้าน้อย และเวลามากครับ โดยคำนวณจากความจุของแบทเตอรี ถ้ามีเวลาเพียงพอ ให้ใช้ค่ากระแสไฟฟ้าเพียง 5 % ของค่าความจุของแบทเตอรีที่มีหน่วยเป็นแอมแปร์ชั่วโมง เช่น แบทเตอรีมีความจุ 50 AH 5 % ของ 50 ก็คือ 2.5 ตั้งค่ากระแสไฟฟ้าที่เครื่องอัด 2.5 แอมแปร์ แล้วใช้เวลาอัด 20 ชม. ถ้าจะให้ดีเพิ่มอีกสัก 10 % ของเวลา คือ 2 ชั่วโมง เป็น 22 ชั่วโมง เมื่อแบทเตอรีใกล้เต็ม จะมีฟองแกสผุดขึ้นมาสม่ำเสมอ วิธีนี้กินเวลานานมากครับ ส่วนใหญ่เรามักต้องการใช้รถ และไม่มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น ก็ต้อง "เดินสายกลาง" โดยใช้กระแส 10 % ของความจุ จากตัวอย่างเดิม 50 AH ก็ใช้ค่า 5 แอมแปร์ ใช้เวลาอัด 10 ชม. (5X10 = 50) บวกอีก 1 ชม. ลดเวลาที่ต้องรอลงเหลือครึ่งหนึ่ง และไม่ให้โทษต่อแบทเตอรีด้วย คราวนี้ถ้าค่อนข้างรีบ ใช้กระแส 20 % ของค่าความจุ ในเวลาเพียง 5 ชั่วโมงเศษๆ ก็ยังไม่ถึงกับบั่นทอนอายุใช้งานของแบทเตอรีนัก และถ้าจำเป็นจริงๆ เช่น ต้องไปให้ทันนัดสำคัญ สามารถทารุณแบทเตอรี โดยใช้กระแส 40 % หรือ ถึง 50 % ครับ
แต่อย่ารอจนแบทเตอรีเกือบเต็ม ในเวลาสองถึงสองชั่วโมงครึ่ง อัดกระแสสูงสักชั่วโมงเดียว แล้วค่อยลดกระแสลงมา หรือไม่ก็ใส่รถพอสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ แล้วให้อัลเทอร์เนเตอร์อัดไฟไปเรื่อยๆขณะใช้รถก็ยังได้
ค่าทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างมานี้ ใช้กับแบทเตอรีที่ไฟหมดเกลี้ยงนะครับ เช่น เปิดไฟทิ้งไว้ หรือบิดกุญแจไว้ในตำแหน่ง ON ถ้าแบทเตอรีมีประจุเหลืออยู่ ก็ต้องลดเวลาที่ใช้อัดไฟลงไปตามที่เราประมาณ ถ้าไม่มีไฮโดรมิเตอร์ เพื่อวัดความถ่วงจำเพาะ (แบทเตอรีเต็ม เมื่อน้ำกรดมีค่าความถ่วงจำเพาะประมาณ 1.24 กรัมต่อซีซี) ให้คอยสังเกตฟองแกสของทุกเซลล์ครับ (6 เซลล์ สำหรับแบทเตอรี 12 โวลท์) เปิดฝาดูว่ามีฟองแกสผุดขึ้นมาค่อนข้างมากสม่ำเสมอทุกช่อง ก็คือว่าเกือบเต็มแล้วครับ ใช้งานได้เหลือเฟือ อย่าเสี่ยงอัดด้วยกระแสสูงจนเต็มจริงๆ
ความจุพลังงานไฟฟ้าของแบทเตอรี ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิด้วยครับ เพราะเราแปลงมาจากพลังงานทางเคมี ยกตัวอย่าง เช่น แบทเตอรีความจุ 60 AH แล้วอัดไฟจนเต็ม มีความจุ 60 AH ที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส มันมีความจุเพียง 43 AH หรือ 87 % ของความจุมาตรฐานเท่านั้น ที่ -10 องศาเซลเซียส เหลือแค่ 57 % เท่านั้นครับ ในทางตรงกันข้าม ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ความจุจะเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 9 %
รถที่จะติดเครื่องยนต์ได้ตอนเช้าหลังจากจอดทิ้งไว้ทั้งคืน ในหน้าหนาวของประเทศแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรมากๆ จึงต้องมีแบทเตอรีที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์จริงๆ เช่น ที่อุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส นอกจากความจุจะเหลือเพียงครึ่งเดียวแล้ว กระแสที่แบทเตอรีจ่ายให้กับมอเตอร์สตาร์ท ก็น้อยกว่าปกติด้วย แล้วยังต้องเผชิญกับความหนืดของน้ำมัน เครื่องข้นหนืดตอนเย็นเฉียบ ที่ทำให้ต้องใช้แรงบิดสูงขึ้นในการหมุนเครื่องยนต์ สมมติว่าวันนี้อากาศของเมืองไทยมีอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส จะเหลือจำนวนรถที่สามารถติดเครื่องยนต์ได้ไม่ถึงครึ่งแน่นอนครับ เพราะส่วนใหญ่แบทเตอรีของพวกเราไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พอ
การเก็บแบทเตอรีที่ไม่ใช้เป็นเวลานาน เช่นเกินหนึ่งเดือนจนถึงหลายเดือน ไม่ควรทิ้งไว้โดยต่อขั้วทั้งสองกับสายไฟของรถ เพราะอาจมีตำแหน่งของระบบไฟฟ้าที่กระแสรั่วไหลอยู่ ปลดสายไฟออกจากขั้ว แล้วเช็ดส่วนบนของแบทเตอรี รวมทั้งโคนขั้วให้สะอาด เพื่อป้องกันกระแสไฟรั่วผ่านความชื้นของเปลือกแบทเตอรี ถ้าที่จอดรถถูกแดดหรืออุณหภูมิรอบข้างสูง ยกแบทเตอรีออกมาเก็บไว้ในที่เย็นที่สุดเท่าที่จะหาได้ครับ ความร้อนทำให้ประจุของแบทเตอรีลดลงอย่างเร็ว แม้จะไม่ได้ใช้ ถ้าอยู่ในที่ไม่ร้อนนัก เช่น ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ประจุไฟฟ้าจะลดลงราวๆ วันละเกือบ 1 % ไม่ได้หมายความว่า หมดเกลี้ยงภายใน 100 วันนะครับ แต่หมายถึงความจุในวันรุ่งขึ้นจะเหลือราว 99 % ของวันนี้
สมมติอยากรู้ว่าหลังจาก 15 วัน จะเหลือความจุกี่เปอร์เซนต์ของวันนี้ ก็เอา 0.99 คูณกัน 15 ครั้ง หรือยกกำลัง 16 แล้วคูณด้วย 100 ก็จะได้ราวๆ 0.85 คูณด้วย 100 เป็น 85 % ถ้าเก็บในที่ร้อนกว่า ชื้นกว่า ก็จะเหลือน้อยกว่านี้ เพราะฉะนั้นที่ๆ เหมาะสำหรับเก็บแบทเตอรีที่ไม่ใช้เป็นเวลานาน คือ ที่เย็น แห้ง และสะอาด คือไม่มีฝุ่นครับ และที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามปล่อยแบทเตอรีไว้ในสภาพที่ไม่มีประจุไฟฟ้า หรือมีน้อยมาก เพราะจะเกิดซัลเฟทจับแน่นที่แผ่นตะกั่ว แบทเตอรีที่ถูกใช้ จนหมดเกลี้ยงหรือเกือบหมด เช่น ลืมปิดไฟส่องสว่าง หรือวิทยุ หรือเครื่องยนต์มีปัญหา สตาร์ทจนประประจุเกือบหมด ถ้าไม่มีเครื่องอัดไฟเอง ก็ต้องรีบถอดส่งร้านแบทเตอรี เพื่ออัดไฟโดยเร็วที่สุดครับ
สิ่งที่ต้องระวังถัดมาคือ ระดับน้ำกรดในแบทเตอรี ต้องให้ท่วมส่วนบนของแผ่นตะกั่วอย่างน้อย 1 เซนติเมตร เติมตามระดับที่บอกไว้ด้านข้าง หรือให้ระดับน้ำถึงปลายล่างของช่องเติมจะดีที่สุด เพราะถึงจะท่วมแผ่นตะกั่ว แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ หมายความว่า น้ำกรดเข้มข้นเกินไป ทำให้แผ่นตะกั่วเสื่อมเร็วขึ้น เพราะระดับน้ำกรดที่ลดลง เป็นเพราะน้ำกลั่นเปลี่ยนสภาพเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน กับอีกส่วนที่ระเหยแบบธรรมดาที่ผิวบน แต่ส่วนที่เป็นกรดกำมะถันยังคงอยู่เท่าเดิม น้ำกรดจึงเข้มข้นขึ้น เพราะฉะนั้นรักษาระดับน้ำกรด ไว้ที่ตำแหน่งสูงสุด โดยการเติมน้ำกลั่นสม่ำเสมอครับ
ถ้าขั้วสายไฟที่ขั้วแบทเตอรี รวมทั้งนัทที่ขันยึด มีคราบขาวที่ช่างเรียกกันว่า "ขี้เกลือ" พอกอยู่ ถอดขั้วสายไฟไม่ออกอย่างัดหรือทุบนะครับ เอาน้ำอุ่นราดแล้วรอให้ละลายสักครู่ค่อยถอด ถ้าไม่มีใช้น้ำประปาก็ได้เหมือนกัน
ก่อนจบผมอยากจะฝากไว้ว่า พวกเราผู้ใช้รถ ซึ่งก็คือผู้บริโภคสินค้า ย่อมมีสิทธิที่จะได้สินค้าคุณภาพสูงพอ แลกกับเงินที่พวกเราจ่ายไป การเอาแบทเตอรี "ห่วยๆ" (ผมว่าคงสุภาพกว่าคำว่า เฮงซวย) มาขายพวกเรา โดยรับประกันคุณภาพแค่ 6 เดือนนั้น เอาเปรียบเกินไป ทำไมพวกเราต้องเสียเงินซื้อแบทเตอรีใหม่ เพราะมันเสียหลังจากใช้งาน และดูแลอย่างถูกต้องแค่ 9 หรือ 10 เดือน ระยะประกันคุณภาพที่ยุติธรรม ต้องไม่ต่ำกว่า 10 ถึง 12 เดือนครับ ยังโชคดีที่มีผู้ผลิตบางราย รับประกันคุณภาพเป็นเวลาถึง 18 เดือน หรือหนึ่งปีครึ่ง ถึงจะเป็นรุ่นพิเศษหน่อย ก็ไม่ได้ขายในราคาสูงนัก
ผมลองใช้อยู่ในขณะนี้ ด้วยความรู้สึกที่ดี กว่าเดิมมาก ของเพื่อนที่ผมแนะนำให้ใช้ เสียก่อนเวลา 18 เดือน ก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ให้ แต่ต้องรอนานถึงหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นก็ต้องยืมแบทเตอรีโกโรโกโสของร้านที่ขายแบทเตอรีใช้ไปพลาง โดยใม่รู้ว่ามันจะ "พยศ" ขึ้นมากลางทางหรือเปล่า และถ้าร้านหารุ่นที่ใช้กับรถของเราให้ยืมไม่ได้ จะทำอย่างไร ซื้อลูกใหม่ใช้ก่อนก็ไม่คุ้ม เพราะแบทเตอรีนั้นเอามาเก็บไว้โดยไม่เสื่อมขายไม่ได้ ร้านที่ขายก็บอกว่าถ้าซื้อลูกใหม่แบบเดียวกันให้เรา พอได้ลูกใหม่ที่โรงงานชดใช้ให้
เขาก็จะหาคนซื้อไม่ได้ เพราะเป็นรุ่นที่ขายยาก เพื่อนผมใช้ลูกที่ร้านให้ยืมได้ 5 วัน ก็สตาร์ทไม่ติด ร้านก็เอาลูกที่สองมาให้ยืมอีก สภาพโทรมพอๆ กัน ใช้เอาตัวรอดมาได้อีกเดือน จนได้ลูกใหม่จริงที่โรงงานชดใช้มาให้ ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าระยะรับประกันคุณภาพของลูกใหม่ จะนับกันอย่างไร นับตั้งแต่วันที่ซื้อลูกแรก หรือนับตั้งแต่วันที่ได้รับลูกที่สอง ? เขาบอกว่ายังไม่อยากถามร้านขาย กลัวถูกหลอก
ใครทราบเรื่องนี้ ช่วยอนุเคราะห์ด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8303