พิเศษ
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกับทีมงานนิตยสาร "ฟอร์มูลา" ที่เดินทางไปทำข่าว งานมหกรรมยานยนต์โตเกียว 2005 ญี่ปุ่นในความรู้สึกของผมเป็นประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ และน่าอยู่มาก ผู้คนก็มีวินัยเป็นเยี่ยม เพียงแค่การใช้บันไดเลื่อน ทุกคนจะต้องยืนชิดซ้าย เพื่อให้คนที่รีบเร่งวิ่งขึ้นวิ่งลงกันทางด้านขวา ซึ่งแตกต่างจากเมืองไทยที่ต้องหลบกันแล้วหลบกันอีก สภาพบ้านเมืองส่วนใหญ่ก็สะอาดกว่าบ้านเราเยอะ ตามพื้นถนนแทบไม่มีขยะให้เห็นเลย
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกับทีมงานนิตยสาร "ฟอร์มูลา" ที่เดินทางไปทำข่าว งานมหกรรมยานยนต์โตเกียว 2005 ญี่ปุ่นในความรู้สึกของผมเป็นประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ และน่าอยู่มาก ผู้คนก็มีวินัยเป็นเยี่ยม เพียงแค่การใช้บันไดเลื่อน ทุกคนจะต้องยืนชิดซ้าย เพื่อให้คนที่รีบเร่งวิ่งขึ้นวิ่งลงกันทางด้านขวา ซึ่งแตกต่างจากเมืองไทยที่ต้องหลบกันแล้วหลบกันอีก สภาพบ้านเมืองส่วนใหญ่ก็สะอาดกว่าบ้านเราเยอะ ตามพื้นถนนแทบไม่มีขยะให้เห็นเลย
คนญี่ปุ่นก็ดูจะช่างพูดช่างจากว่าคนไทย สังเกตได้ง่ายๆ จากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าตามร้านขายของต่างๆ เวลาผมเข้าไปหาซื้อของ พวกเขาจะพูดคุย หัวเราะ กับผมตลอดเวลาที่ผมอยู่ในร้าน พลอยทำให้ผมสนุก และหัวเราะตามเขาไปด้วย แม้ว่าผมจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็ตาม
พูดถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ผมเชื่อว่า ทุกคนที่เคยไปเยือนญี่ปุ่น คงเคยไปท่องเที่ยวในย่านที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในกรุงโตเกียวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ชินจุกุ ฮาราจุกุ อากิฮาบาร่า อุเอโนะ ฯลฯ
ผมเองก็เช่นกัน
แต่จะมีสักกี่คน ที่เคยไปชม "พิพิธภัณฑ์บันได" (BUNDAI MUSEUM)
โดยเฉพาะคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับบริษัททัวร์ คงไม่มีอยู่ในโพรแกรมหรอกครับ เนื่องจาก พิพิธภัณฑ์ บันได เปิดขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่ที่ที่ทุกๆ คนจะอยากไปกันหมดนะครับ เพราะมันเป็นพิพิธภัณฑ์ของบรรดาเหล่าฮีโร ทั้งหลายแหล่ในญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบัน แล้วก็ไม่ใช่ ฮีโร ที่มีตัวตนอยู่จริงนะครับ แต่เป็นเพียง "ฮีโรในหนังการ์ตูน" เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น อุลทราแมน ไอ้มดแดง กันดัม ตลอดจนถึงนักรบขบวนการ 5 สีรุ่นใหม่ๆ ที่เด็กๆ ยุคนี้ติดกันงอมแงม รวมอยู่ในสถานที่แห่งนี้หมดครับ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของวัยละอ่อนโดยแท้ ส่วนพ่อแม่ก็มารำลึกความหลังกันได้ไม่รู้จักเบื่อ ดังนั้นจริงๆ แล้วผมว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของครอบครัวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
เจาะเวลาหาอดีตที่บันได
บริษัทบันได หรือ บันไดยา (BANDAI-YA) บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่น และอันดับ 3 ของโลกแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1950 โดย เนาฮารุ ยามาชินา โดยเอาชื่อบริษัทมาจากหนังสือเรื่อง THE SIXTH SHEATH: BANDAI FUEKI ซึ่งมีความหมายว่า "ไม่มีวันสิ้นสุด" ตรงกับความตั้งใจของเขาที่จะผลิตสินค้า (ของเล่น) สำหรับคนทุกรุ่น ปัจจุบันประธานบริษัทคือ คาซุโนริ อุเอโนะ เพิ่งตกลงรวมกิจการ กับบริษัท NAMCO ผู้ผลิตเกมชื่อดัง เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของวงการธุรกิจญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
สำหรับ พิพิธภัณฑ์บันได นั้นเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 19 กรกฎาคม 2003 และหลังจากเปิดได้เพียง 1 ปี 4 เดือนเท่านั้น ก็มีผู้สนใจเข้าชมครบ 1,000,000 คน ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากทีเดียว
ตั้งแต่ผมทราบว่าจะไปญี่ปุ่น ที่นี่เป็นที่แรกครับ ที่ผมตั้งใจจะไป ทำไมน่ะเหรอ ? เพราะสมัยเล็กๆ ผมก็บ้าไอ้ตัวพวกนี้เหมือนกัน แหะ แหะ...แปลงร่าง !
เช้าวันเดินทาง อากาศสดใส ผมทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม LE MERIDIEN PACIFIC ซึ่งเป็นที่พักในย่านชินากาวา หลังอาหาร ผมออกจากโรงแรมประมาณ 9โมง ด้วยความฟิทสุดขีด เดินข้ามถนนไปยัง สถานีรถไฟ ชินากาว่า ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมพอดี จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟไปสถานี มัตสึโดะ (MATSUDO) ราคา 450 เยน
จากชินากาวา เดินทางโดยรถไฟเจอาร์ สายยามาโนเตะ (YAMANOTE LINE) ไปลงที่สถานีอุเอโนะ ก่อนนะครับ แล้วถึงจะต่อรถไฟเจอาร์ สายโจบัน (JOBAN LINE) ไปยัง มัตสึโดะ ได้ ขั้นตอนนี้ออกจะยุ่งยากนิดหน่อยนะครับ ต้องสังเกตป้ายบอกทางที่สถานีรถไฟให้ดี ไม่งั้นคนที่ไม่คุ้นเคยเส้นทางอาจหลงทางได้ง่ายๆ ผมเองก็เกือบแย่เหมือนกันครับ แต่หลังจากขึ้นรถไฟได้แล้ว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นทันทีครับ แค่นั่งอย่างเดียวจนถึง มัตสึโดะ พอถึงแล้วในสถานีจะมีป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ ชัดเจน ผมไปถึงที่นั่นประมาณ 9 โมง 50 นาที รวมเวลาเดินทางประมาณ 45 นาที เพราะข้อมูลในหนังสือท่องเที่ยวบอกว่าที่นี่เปิดตอน 10 โมงเช้า
ผมรีบเดินดุ่ยๆ เข้าไปจนเห็นป้ายบอกเวลาเปิด/ปิด เวรกรรม ! วันธรรมดาเปิดตั้ง 11 โมงรึเนี่ย ไหนในหนังสือบอก 10 โมงไง ! เฮ้อ สงสัยคนเขียนคงจะมาในวันหยุดกระมังครับ เพราะป้ายมันบอกว่าวันหยุดเปิด 10 โมง เซ็งเลย....
ผมเหวอไปครู่หนึ่งครับ พอดีเหลือบไปเห็นห้างสรรพสินค้า PLARE ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ จึงตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในนั้นก่อน เพื่อฆ่าเวลา
คืนสู่วัยเยาว์กับยอดมนุษย์อุลทราแมน
แหม ! ตื่นเต้น...นึกถึงตอนเด็กๆ จริงๆ ครับ
ผมเชื่อว่า สมัยยังเด็กเราคงเคยมี ฮีโร ในดวงใจกันทุกคนนะครับ ลองนึกดูสิครับ ใครกันที่เราจะต้องจับจองทีวีทุกครั้งเพื่อติดตามวีรกรรมของพวกเขา โดยไม่สนใจโลกภายนอก สามารถเลียนแบบท่าแปลงกาย หรือท่อง สโลแกนประจำตัว ของพวกเขาได้แม่นยำ
และหลับหูหลับตาเชื่อว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง
ผมเองก็มีเช่นกัน จำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผมติด "ฮีโร" พวกนี้อย่างหนัก สายๆ วันอาทิตย์ทีไรผมจะไม่เคยห่างจากจอทีวีเลย เนื่องจากจะมีภาพยนตร์ขบวนการ 5 สีพิทักษ์โลก มาออกอากาศให้เด็กๆ ดูกันทุกสัปดาห์ ซึ่งผมติดทุกขบวนการ ไม่ว่าจะเป็น จูเรนเจอร์ ไดเรนเจอร์ หรือเทอร์โบเรนเจอร์ ล้วนแต่ผ่านตาผมมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ถ้ายังนึกไม่ออก มาที่นี่สิครับ แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนได้กลับไปสู่โลกแห่งวัยเยาว์ของคุณอีกครั้ง ถ้าไม่เชื่อ ผมจะเล่าให้ฟังครับ...
การจะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ในส่วนที่เรียกว่า คาแรคเตอร์ เวิร์ลด์ ต้องเสียค่าผ่านประตู คนละ 300 เยนครับ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 100 กว่าบาท ถือว่าไม่แพงเลยนะครับ ถ้าเทียบกับสิ่งที่รอเราอยู่ภายใน
ผมเข้าไปในโซนแรก เป็นโซนของ ยอดมนุษย์ผู้มาจากดาว M 78 ตั้งแต่เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 เพื่อปกป้องโลกให้พ้นภัยจากเหล่าเอเลียนที่ชั่วร้าย ใช่แล้วครับ ยอดมนุษย์ผู้นี้คือ อุลทราแมน (ULTRAMAN) หรือที่ญี่ปุ่นออกเสียงว่า "อุลุโทระมัน" นั่นแหละครับ
ภายในโซนแรกนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนแรกจะเป็น ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง ยอดมนุษย์ อุลทราแมน ภาคแรก ก็จะมีหุ่น อุลทราแมน และหุ่น เอเลียน กำลังฟัดกันอยู่ บนฉากธรรมชาติที่ถูกจำลองให้เล็กลง เพื่อทำให้ภาพ อุลทราแมน ที่ปรากฏออกมา ดูตัวใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญ อย่างเราๆ ด้านข้างก็จะมี สตอรีบอร์ด แสดงเรื่องราว และภาพประกอบการถ่ายทำ ภาพยนตร์เรื่อง อุลทราแมน ตอนที่นำมาจำลองโชว์ไว้ ส่วนที่ผนังก็ประดับประดาไปด้วย ใบหน้าของ อุลทราแมน ซีรีส์ต่างๆ นอกจากนี้ ในส่วนแรกยังเต็มไปด้วยตู้คอลเลคชัน ของสะสมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาอุลทราแมน สัตว์ประหลาดคู่ต่อกรของ อุลทราแมน หรืออุปกรณ์แปลงร่างดังๆ อย่าง "เบทาแคพซูล" พี่แกมีโชว์หมด เรียกว่ามาแล้วไม่ผิดหวังจริงๆ
ต่อมาในส่วนที่ 2 นั้น พอผ่านทางเข้าๆ ไปคุณจะพบกับโลกแห่ง อุลทราแมน โดยแท้ เต็มไปด้วยคอลเลคชันต่างๆ ของ อุลทราแมน มากมาย รวมถึง ประวัติพร้อมภาพประกอบของ อุลทราแมน ทั้งในภาคมนุษย์ และหลังจากแปลงร่างแล้ว ตั้งแต่รุ่นแรกๆ อย่าง อุลทราแมน อุลทราเซเวน อุลทราเลโอ อุลทราแมนเอ ฯลฯ เรื่อยไปจนถึงรุ่นหลังๆ อย่าง อุลทราแมน 80 อุลทราแมน คอสมอส เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีตู้โชว์อีกแหละครับ เต็มไปด้วยของน่าสนใจมากมายจนสาธยายได้ไม่หมด ทั้งโมเดล
และอุปกรณ์แปลงร่าง ละลานตา เหล่าแฟนพันธุ์แท้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ส่วนคนที่เป็น แฟนขั้นธรรมดาอย่างผม ก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง
สู้ต่อไปไอ้มดแดง
"เส่บาดือ ชอคกา" ผมคิดว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยกับท่อนแรกของเพลงนี้กันทุกคนนะครับ แต่ท่อนต่อไปจะร้องให้ถูกต้องยังไงนั้น ยังเป็นปริศนาสำหรับผมอยู่ครับ ก็ได้แต่ดำน้ำไป "ดื้อดื้อดื้อดือดื่อดือดา..." แล้วก็ไปจบเอาที่ท่อน "คาเมนไรดา คาเมนไรดา ไรดา ไรดา"
หลายคนคงเป็นแบบผมใช่ไหมละครับ...แต่ถึงเราจะร้องผิดร้องถูกอย่างไร เพลงนี้ได้กลายเป็นบทเพลงอมตะเพลงหนึ่งของโลกไปแล้ว ทั้งที่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า มันชื่อเพลงอะไร ?
ผมเองก็ไม่รู้ครับ ! ผมรู้เพียงแต่ว่า ทุกๆ ครั้งที่ผมได้ยินเพลงนี้ ผมจะนึกถึงคนๆ หนึ่ง...
ใช่แล้วครับ ! ชื่อของเขาคือ ฮงโง ทาเคชิ (รับบทโดย ฟูจิโอกะ ฮิโรชิ) ไอ้มดแดงหมายเลข 1 ต้นตระกูลของ คาเมนไรเดอร์ สีสดใสอย่าง อากิโตะ หรือ ริวคิ ที่เด็กๆ สมัยนี้ติดกันแหละครับ
โซนที่สองของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยกให้เป็นของเหล่า ไอ้มดแดง หรือ คาเมน ไรเดอร์ ภายในโซนนี้ประกอบไปด้วย หุ่น คาเมน ไรเดอร์ ตัวต่างๆ ขนาดเท่าตัวจริง รวมทั้งรถคู่ใจ อย่าง ไซโคลน พร้อมประวัติและภาพประกอบทั้งตอนที่เป็นมนุษย์ และตอนที่แปลงเป็นคาเมน ไรเดอร์ ตั้งแต่รุ่นแรกๆ อย่าง ทาเคชิ, ฮายาโตะ, วี 3 มดเอกซ์, อเมซอน, สตรองเกอร์ เรื่อยไปจนถึงตัวล่าสุดอย่าง มาส์คไรเดอร์ริวคิ (ไอ้ตัวแดงๆ ที่ใช้การ์ดในการต่อสู้น่ะครับ) แถมยังมีภาพต้นแบบของ คาเมน ไรเดอร์ ให้ดูกันอีกด้วย เพลงประจำตัวมดแดงตัวต่างๆ ก็ถูกเปิดคลอบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความทรงจำเก่าๆ
กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีภาพ และเสียงของเหล่าวายร้าย องค์กรต่างๆ ให้เราได้ศึกษากัน ไม่ว่าจะเป็น ชอคเกอร์ เดสตรอน กอด กลันดา ฯลฯ มีให้ชมให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่ม และในโซนเดียวกันนี้ยังมีประวัติของผู้สร้าง ซีรีส์ คาเมน ไรเดอร์ ให้ศึกษากันอีกด้วย สำหรับแฟนไอ้มดแดงที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกนะครับ
ถัดไปอีกนิดท่านจะพบกับ ตู้คอลเลคชันไอ้มดแดงครับ มีทั้งหุ่นโมเดลมดแดง รวมถึง คาเมน ไรเดอร์ ตัวอื่นๆ ด้วย ทั้งอาวุธประจำตัว และเข็มขัดแปลงร่าง ถูกตั้งโชว์ไว้ในนี้อย่างครบถ้วนครับ
ถ้ากลับไปเป็นเด็กได้ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะที่สุดในโลกเลยล่ะครับท่านผู้ชม...
เปิดโลกแห่งจินตนาการ ไปกับขบวนการ 5 สี
เมื่อดูตู้คอลเลคชันของไรเดอร์ เสร็จแล้ว ก็เชิญเดินมาพบโซนถัดไปเลยครับ...
โซนนี้จะเป็นโซนของนักรบขบวนการ 5 สี มีโชว์อยู่ประมาณ 20 กว่าขบวนการครับ พร้อมกับหุ่นยนต์รบและอาวุธของพวกเขา แถมยังมีตัวอย่างหนังให้ชมกันอีกด้วย ครบเครื่องจริงๆ
เริ่มตั้งแต่ขบวนการแรกที่เริ่มออกอากาศในปี 1975 (ซึ่งผมเกิดไม่ทัน) "ขบวนการอะคาเรนเจอร์" เรื่อยไปจนถึงขบวนการล่าสุด "เดกะเรนเจอร์" ที่ออกอากาศในปี 2004
โซนนี้สำหรับผมแล้วเรียกได้ว่าเป็น โซนที่น่าสนใจที่สุด เพราะสมัยเล็กๆ ผมชื่นชอบขบวนการ 5 สีพวกนี้มาก ถึงขนาดว่าอาทิตย์ไหนไม่ได้ดู อาทิตย์นั้นผมอยู่ไม่สุข ช่างโชคดีจริงๆ ครับที่วันนี้ได้มีโอกาสมาเห็นถึงความเป็นมา และย้อนวันคืนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ผมจำได้ว่าเรื่องแรกที่ผมติดคือเรื่อง นักรบไดโนเสาร์ จูเรนเจอร์ ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 1992 ประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว แล้วก็ต่อด้วยขบวนการพลัง ไดเรนเจอร์ (1993) ขบวนการนินจา คาคุเรนเจอร์ (1994) และเรื่องสุดท้ายคือ ขบวนการพลังมหัศจรรย์ โอเรนเจอร์ (1995)
ผมคิดว่าจุดสนใจของขบวนการนักสู้เหล่านี้คงอยู่ที่เทคโนโลยีที่ทันสมัย และอลังการงานสร้าง มากขึ้นกว่า ภาพยนตร์ฮีโรยุคก่อนๆ อย่าง อุลทราแมน หรือไอ้มดแดง ยกตัวอย่างเช่น อุลทราแมน ไม่ได้ใช้ปืนเลเซอร์ หรือ เหล่า ไรเดอร์ ไม่ได้ใช้หุ่นยนต์ขนาดยักษ์ในการต่อสู้กับปีศาจร้ายที่ขยายร่างได้ เป็นต้น
พาหนะของพวกเขาก็คงจะเป็น "ส่วนจำเป็น" อีกส่วนหนึ่งของเหล่าฮีโรพวกนี้ละครับ ทั้งยาน ทั้งเรือ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ รถ หรือ มอเตอร์ไซค์ ของพวกเขาครับ เห็นได้ชัดว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นอัจฉริยะทางด้านยานยนต์อย่างแท้จริง สามารถออกแบบได้โดดเด่นสะดุดตามาก และดูแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อมีฮีโรขบวนการใหม่ขึ้นมาทีไร รถของพวกเขาก็จะดูเท่ และทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่รถของขบวนการก่อนหน้านี้มันก็ดูเพอร์เฟคท์อยู่แล้ว
วันเวลาผ่านไป ผมก็เติบโตขึ้นตามวัย เรื่องราวเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากใจของผม แต่ลึกๆ แล้ว มันก็ยังอยู่แหละครับ เห็นได้ชัดจากวันนี้ วันที่ผมรู้ตัวว่า ยังจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ชัดเจน...
ถัดจากตรงนี้เราจะเจอกับโซนย่อยๆ อีกหลายโซน เช่น โซนเซลเลอร์มูน โซนโดเรมี ซึ่งก็เต็มไปด้วยของกุ๊กกิ๊กน่ารัก แล้วก็ต่อด้วยโซนของ กอดซิลา สัตว์ประหลาดยักษ์อย่าง บัลทัน ศัตรูตัวฉกาจของ อุลทราแมนก็มาร่วมแจมในโซนนี้ด้วยครับ
มาถึงตรงนี้ถ้าเรายอมเสียทรัพย์เพิ่มอีก 300 เยน เราก็จะได้เข้าไปชม GUNDAM WORLD โลกแห่งหุ่นยนต์รบ กันดัม แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชื่นชอบกันดัมเหมือนผม ก็สามารถไปเพลิดเพลินกับร้านขายของที่ระลึกได้ครับ ที่นั่นจะมีทุกอย่างที่คุณต้องการเกี่ยวกับเหล่าฮีโร ไม่ว่าจะเป็น วีซีดี ตุ๊กตา โมเดล เครื่องแปลงร่าง ฯลฯ รวมถึงของใช้ต่างๆ ที่มีลวดลายเป็นฮีโรในดวงใจ เช่น จานรองแก้วรูปไอ้มดแดง เป็นต้น
และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องจบบทความรำลึกความหลังของผมแล้วละครับ สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า
พิพิธภัณฑ์บันได เป็นสถานที่แห่งความสุข ที่จะทำให้ความเพ้อฝันในวัยเยาว์ของคุณกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสไม่ควรพลาดนะครับ
เรื่องโดย : สืบยศ สุวรรณหงษ์
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8293