ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จีดีพี ของประเภทโตไม่เกิน 3.5 - 4.5 % เงินเฟ้อสูงระดับเฉลี่ย 4-5 % ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากขยับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 1.75-3.00 % แต่คนที่มีเงินฝากธนาคารหวังกินดอกเบี้ยก็ยังขาดทุนอยู่มากเมื่อเทียบค่าเงินกับเงินเฟ้อที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกันคนที่กู้เงินก็จะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นกลไกลสำคัญที่รัฐบาลโดยธนาคารประเทศไทยใช้ในการสกัดไม่ให้เงินเฟ้อสูงมากเกินกว่าการควบคุม

ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จีดีพี ของประเภทโตไม่เกิน 3.5 - 4.5 % เงินเฟ้อสูงระดับเฉลี่ย 4-5 % ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากขยับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 1.75-3.00 % แต่คนที่มีเงินฝากธนาคารหวังกินดอกเบี้ยก็ยังขาดทุนอยู่มากเมื่อเทียบค่าเงินกับเงินเฟ้อที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกันคนที่กู้เงินก็จะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นกลไกลสำคัญที่รัฐบาลโดยธนาคารประเทศไทยใช้ในการสกัดไม่ให้เงินเฟ้อสูงมากเกินกว่าการควบคุม ดังนั้นทุกวันนี้ ราคาข้าวของจึงถีบตัวแแพงขึ้นตามปัจจัยของเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวเป็นขาขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากวิกฤติราคาน้ำมันโลกที่แพงมาก ภัยจากโรคร้ายอย่างไข้หวัดนกที่กำลังระบาดทั้งในประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ภัยจากการก่อการร้ายในหลายประเทศ โดยของไทยเองก็มีปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังมีภัยตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ตัวอย่างของไทยก็มีภัยจากคลื่นยักษ์ "สึนามิ" ที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงเมื่อปลายปีที่แล้วและยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ ภัยจากน้ำท่วมในหลายๆ จังหวัดเนื่องจากเกิดพายุดีเพรสชันกระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้ค่าครองชีพของคนไทยแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ จะเรียกว่า "เป็นยุคข้าวยากหมากแพง" อย่างที่เคยเกิดสมัยโบราณก็ไม่น่าจะผิดนัก เพราะทุกวันนี้นอกจากราคาสินค้าแพง ทุกอย่างราคาแพงไปหมดทั้งค่ารถ ค่าขนส่ง ค่าเดินทาง ต้นทุนชีวิตของคนไทยก็เลยสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ค่าแรงทำงานที่ได้มากลับไม่พอที่จะใช้ทำให้หลายๆ คนต้องกู้หนี้ดิ้นรนกันไปให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ประหยัดแล้วประหยัดอีกก็ยังไม่รู้จะประหยัดอย่างไร สิ่งที่ทำได้ตอนนี้เห็นทีจะมีแต่ทำใจ ข้อแนะนำที่ดีที่สุดของคนไทยทุกชีวิตตอนนี้คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ตามแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงมีพระราชอัจฉริยะมองการณ์ไกล ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกๆ คนใช้ในการดำเนินชีวิตได้ตลอดไป ฉบับนี้เราพูดคุยกันเรื่องซีเรียสหน่อยนะครับ เพราะสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจบ้านเมืองเรา มันกำลังบังคับให้คนไทยต้องเอาใจใส่กับคำว่า "ประหยัด" มากขึ้น ว่าแล้วเราก็มาเข้าเรื่องของเราดีกว่านะครับ เราจะประหยัดค่าเบี้ยประกันกันอย่างไร ? เมื่อกรมการประกันภัยกระทรวงพาณิชย์เองก็ประกาศปรับพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยขึ้นมาใหม่เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2548 เพราะมีหลายบริษัทประกันภัยกำลังใกล้จะล้มละลาย นอกจากบริษัทพาณิชย์การประกันภัยที่ล้มละลายสั่งปิดเป็นทางการไปแล้ว เหตุจากปัจจัยค่าเบี้ยประกันภัยที่รับมามันไม่พอจ่ายเคลมค่าสินไหมทดแทน ทำให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ค้างจ่าย ค่าซ่อมให้อู่ซ่อมรถจำนวนมาก บริษัทประกันเริ่มอ่อนแอไม่แข็งแรงพอที่จะแข็งขันกันได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ก็เลยประกาศขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยให้บริษัทประกันภัยเสียเลย ซึ่งก็ทำให้ภาระไปตกแก่ประชาชนที่จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราที่แพงขึ้น ท่านอธิบดีกรมการประกันภัยนางสาวพจนีย์ ธนวรานิช ท่านก็เลยแนะนำถึงวิธีการจะประหยัดเบี้ยประกันภัยว่า เพื่อให้ผู้เอาประกันภัย ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชน ผู้ใช้รถให้ความสนใจทำประกันภัยรถภาคสมัครใจเพิ่มมากขึ้น กรมการประกันภัย จึงได้พิจารณากำหนดส่วนลดกลุ่มในกรณีที่ ผู้เอาประกันภัยเป็นพนักงาน ลูกจ้าง ของหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนหน่วยงานเดียวกัน และมีการ ทำประกันภัยรถยนต์กับบริษัทประกันภัยพร้อมกันตั้งแต่ 20 คันขึ้นไป และในกรณีที่เป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน (คู่สมรส บิดา มารดา บุตร หรือพี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน) ที่มีการทำประกันภัยรถยนต์กับบริษัทประกันภัยตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป ให้ได้รับส่วนลดจำนวน 10 % ของเบี้ยประกันภัยในรถแต่ละคัน ซึ่งเดิมส่วนลดกลุ่มดังกล่าวจะใช้สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลเดียวกันและมีการประกันภัยรถกับบริษัทประกันภัยตั้งแต่ 3 คันขึ้นไปเท่านั้น แต่ทั้งนี้ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ประการ ดังนี้ 1. รถจักรยานยนต์ให้ส่วนลดกลุ่มได้ตามจำนวนคันของรถจักรยานยนต์เท่านั้น ห้ามนับรถจักรยานยนต์รวมกับรถยนต์อื่นๆ 2. การต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยจะแยกพิจารณาตามประวัติรถแต่ละคัน การกำหนดส่วนลดกลุ่มดังกล่าว จะทำให้ประชาชน ผู้เอาประกันภัย รวมถึงข้าราชการ ลูกจ้างหน่วยงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานหน่วยงานเอกชนทั่วไป ที่รวมตัวจัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้ในคราวเดียวกันจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันภัยลดลง และขอเชิญชวนให้ประชาชน ผู้ใช้รถทุกคนมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเพิ่มเติม เพราะนอกจากจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดได้ โดยการใช้ประโยชน์จากโครงการ "ชนแล้วแยก แลกใบเคลม" ในกรณีรถที่มีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ไม่ว่าจะเป็นการประกันภัยประเภท 1 ประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 เฉี่ยวชนกันเล็กน้อย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต และคู่กรณีสามารถตกลงกันได้ ให้สามารถแยกรถออกจากกันได้ทันที โดยไม่ต้องรอพนักงานของบริษัทประกันภัยมายังที่เกิดเหตุ เพียงแต่แลกเอกสาร "ใบยืนยันการเกิดเหตุ" ที่แนบมากับกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจทุกประเภท และแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัทประกันภัยในภายหลัง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยประเทศชาติประหยัดน้ำมันได้อีกทางหนึ่งด้วย และตามที่ กรมการขนส่งทางบกได้รับจดทะเบียนรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เป็นประเภทรถหนึ่งที่สามารถนำมาใช้บนถนนสาธารณะได้นั้น กรมการประกันภัยจึงได้พิจารณากำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี 2535 (ภาคบังคับ) สำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ และรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน เพื่อให้ผู้ใช้รถประเภทดังกล่าว สามารถทำประกันภัยรถภาคบังคับตามกฎหมายได้ โดยอัตราเบี้ยประกันภัย (อัตราเบี้ยประกันภัยคงที่ไม่รวมภาษีอากร) กำหนดไว้ดังนี้ 1. รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนบุคคล 300 บาท/ปี 2. รถสามล้อไฟฟ้า ส่วนบุคคล 500 บาท/ปี ถ้าใช้รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ 1,440 บาท/ปี 3. รถยนต์นั่งไฟฟ้า (ไม่เกิน 7 คน) ส่วนบุคคล 600 บาท/ปี ถ้าใช้รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ 1,900 บาท/ปี ทั้งนี้อัตราเบี้ยประกันภัยดังกล่าวส่วนใหญ่จะใช้อัตราเดียวกับอัตราที่ใช้กับรถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ซึ่งมีอยู่เดิม ยกเว้นรถส่วนบุคคล 2 ประเภท คือ รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) และรถสามล้อ ซึ่งได้กำหนดให้มีอัตราต่ำกว่าเพื่อสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานของประเทศ โดยรถ 3 ล้อไฟฟ้าส่วนบุคคลจะกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยไว้ 500 บาท/ปี ในขณะที่รถ 3 ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์กำหนดไว้ที่ 720 บาท/ปี และรถเก๋งไฟฟ้ากำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยไว้ 600 บาท/ปี ในขณะที่รถเก๋งที่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์กำหนดไว้ที่ 700 บาท/ปี หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัยรถ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมการประกันภัย โทร.0-2547-4524 หรือสายด่วนประกันภัย 1186