ทั่วไป
"แมน ดีไซจ์น" เป็นนามปากกาของ ทัศไนย ไรวา ซึ่งจบการศึกษาจากสถาบันด้านการออกแบบรถยนต์ ที่ดีที่สุดในโลก "ART CENTER COLLEGE OF DESIGN USA" นอกจากนี้เขายังเป็นนักออกแบบรถยนต์มืออาชีพคนแรกของเมืองไทย ที่มีผลงานการดีไซจ์น และผลิตรถสปอร์ทต้นแบบของตนเองในชื่อ "RAIVA" การมองรถยนต์แต่ละคันในมุมมองของเขา จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
"แมน ดีไซจ์น" เป็นนามปากกาของ ทัศไนย ไรวา ซึ่งจบการศึกษาจากสถาบันด้านการออกแบบรถยนต์ ที่ดีที่สุดในโลก "ART CENTER COLLEGE OF DESIGN USA" นอกจากนี้เขายังเป็นนักออกแบบรถยนต์มืออาชีพคนแรกของเมืองไทย ที่มีผลงานการดีไซจ์น และผลิตรถสปอร์ทต้นแบบของตนเองในชื่อ "RAIVA" การมองรถยนต์แต่ละคันในมุมมองของเขา จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ถ้าเอ่ยถึง รถยนต์ระดับหรูหราที่ได้รับความนิยมสูงสุด คงจะหนีไม่พ้น เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ และบีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ต่างก็เป็นคู่กัดกันมานานหลาย 10 ปี เพราะทั้ง 2 บริษัทจะใส่เทคโนโลยีล่าสุดของตนเอง เข้าไปในรถอย่างเต็มที่ ซึ่งรถทั้ง 2 รุ่นนี้จึงเปรียบเสมือนพรีเซนเตอร์ของบริษัทนั่นเอง
และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ถึงคิวของการเปลี่ยนโฉมใหม่ล่าสุดของ เอส-คลาสส์ ที่ใช้งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท 2005 เป็นเวทีอวดโฉมต่อสายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ซึ่งนับวันการเปลี่ยนโฉม (MODEL CHANGE) จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในสมัยก่อนจากการใช้เวลาพัฒนานานนับ 10 ปี ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 4 ปี เทียบเท่ารถญี่ปุ่นแล้ว
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ ถือว่าเป็นรถยนต์ระดับหรูหราที่มียอดขายมากที่สุดกว่า 2.7 ล้านคัน ตั้งแต่ปี 1965 รวมทั้งสามารถสร้าง BRAND ROYALTY หรือ ทำให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของวงการรถยนต์ และนับได้ว่าเป็นรถยนต์ที่กำหนด TREND หรือ แนวทางของวงการรถยนต์ของโลก เพราะมักจะเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมใหม่ๆ เฉพาะด้านความปลอดภัยมาโดยตลอด ตั้งแต่ระบบเบรค เอบีเอส (ABS) ในปี 1978 ถุงลมนิรภัย (AIR BAG) ในปี 1981 จนกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์เกือบทุกคันในปัจจุบัน
รูปทรงของรถทั้ง 2 รุ่นในสมัยก่อนนั้น ถูกออกแบบในสไตล์อนุรักษนิยมมาโดยตลอด จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างรุ่นต่อรุ่นมากนัก เท่าที่จำความได้เริ่มตั้งแต่ปี 1992 เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ ดับเบิลยู 140 เปิดตัวด้วยตัวถังที่ใหญ่โต หรูหรา สง่างาม แต่ฟุ่มเฟือยอัตราการสิ้นเปลืองสูง เพราะมีน้ำหนักมาก ต่อมาในปี 1994 บีเอมดับเบิลยู ก็เปิดตัว ซีรีส์ 7 อี 28 มีคอนเซพท์ที่แตกต่างกันคือ จะมีขนาดที่ดูผอมเพรียวกว่า เบนซ์ อย่างเห็นได้ชัด แต่รูปทรงก็ยังคงสไตล์อนุรักษนิยมกันทั้ง 2 ฝ่าย
ในปี 2000 ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงด้านการออกแบบครั้งยิ่งใหญ่ของ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ ด้วยการเปิดตัว ดับเบิลยู 220 ที่ปฏิวัติรูปทรงเดิมๆ ทิ้งไปเกือบหมด กลายเป็นรถที่มีความปราดเปรียว ด้านหน้าเอียงลู่ลม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รถระดับหรูหรา กล้าออกแบบรถลักษณะนี้ ทำให้ เอส-คลาสส์ ดับเบิลยู 220 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จน บีเอมดับเบิลยู ต้องกลับไปทำการบ้านอย่างหนัก
ถ้าจะแข่งกันในด้านนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในยุคนี้ ถือว่าทั้ง 2 บริษัท ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เบนซ์ ใช้กลยุทธ์ด้านการออกแบบให้มีความแตกต่าง แต่ก็ยังคงความอนุรักษนิยมไว้ด้วยเส้นสายที่คุ้นตา ซึ่งนับว่าเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับ บีเอมดับเบิลยู มีทางเดียวก็คือพัฒนาทีมออกแบบ โดยว่าจ้าง คริส เบงเกิล นักออกแบบชาวอเมริกันชื่อดังผู้มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกหลายบริษัท และหลายทวีป ทำให้เขาทราบถึงรสนิยมของคนเกือบทั่วโลก
ในปี 2002 ผลงานชิ้นแรกโดยการนำทีมออกแบบของ คริส เบงเกิล ก็ออกสู่สายตาชาวโลกด้วย บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 รุ่น อี 65/66 ซึ่งถือว่าชอคชาวโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของ บีเอมดับเบิลยู ที่ส่วนใหญ่มักจะชอบแบบอนุรักษนิยม ถ้าจะลองวิเคราะห์กันดู การแก้เกมของ บีเอมดับเบิลยู น่าจะเหลือทางนี้เพียงทางเดียวนั่นคือ รูปทรงจะต้องแตกต่างแบบที่เรียกว่า ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และจะไม่ใช้สไตล์อนุรักษนิยมเลย เพราะ เบนซ์ ใช้ไปแล้วในรุ่น ดับเบิลยู 220 ซึ่งถือว่าเป็นความกล้าของทั้งคนออกแบบ และผู้บริหารของ บีเอมดับเบิลยู เพราะตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์ บอกไว้ว่า "มนุษย์กลัวการเปลี่ยนแปลง" มีการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งทาง บีเอมดับเบิลยู น่าจะรู้และเตรียมการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไว้แล้ว
เมื่อ ซีรีส์ 7 ใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ด้วยรูปทรง และเส้นสายที่ไม่คุ้นตา ขนาดตัวถังรถกลับมามีความใหญ่โตอีกครั้ง (สลับกับ เบนซ์ ที่เพรียวลม) ทำให้แฟนพันธุ์แท้ของ บีเอมดับเบิลยู เกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรง เพราะรูปทรงและเส้นสายที่ดูแล้วชอค ไม่เหลือเค้าความเป็นอนุรักษนิยมอยู่เลย ซึ่งงานนี้คนที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักแต่เพียงผู้เดียวคือ คริส เบงเกิล ผู้รับผิดชอบด้านการออกแบบโดยตรง แต่ทาง บีเอมดับเบิลยู ก็เตรียมแผนด้านประชาสัมพันธ์ไว้แก้เกมได้เป็นอย่างดี โดยการเดินสายให้ความรู้ด้านการออกแบบไปทั่วโลก ซึ่ง เบิงเกิล ได้อธิบายประเด็นด้านการออกแบบไว้ว่า รถยนต์ คือ ประติมากรรมที่วิ่งได้ รถแต่ละรุ่นควรจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และรถแต่ละรุ่นในยี่ห้อเดียวกันไม่ควรจะออกแบบเป็นลักษณะ "ไส้กรอก" คือรุ่น เล็ก กลาง และใหญ่ หน้าตาจะเหมือนกันหมด ต่างแค่ขนาดที่สั้น/ยาวไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น สมัยก่อน บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3/5 และ 7 หน้าตาคล้ายกันหมด และ เอาดี เอ 4/6 และ 8 ก็เหมือนกันหมด
ดังนั้นสำหรับการออกแบบยุคใหม่ของ บีเอมดับเบิลยู รถแต่ละรุ่นจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จะไม่มีแบบเดิมอีกต่อไป การออกแบบด้วยเส้นสายใหม่ๆ ที่ไม่ชินตาในวันนี้ เมื่อมองไปนานๆ ก็จะชินตาขึ้นในอนาคต ซึ่งเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี เจ้า ซีรีส์ 7 ใหม่นี้ก็ดูลงตัวมากขึ้น แต่จุดที่โดนวิจารณ์หนักสุดก็คือ ด้านท้ายรถ ครั้งเมื่อเปิดตัวออกมาใหม่ๆ มองแล้วเหมือนกับมีก้อนอะไรสักอย่างมาแปะไว้ที่ท้ายรถ จะดูไม่กลมกลืนกับตัวรถเอาเสียเลย เมื่อรุ่นไมเนอร์เชนจ์ออกมา จึงมีการปรับปรุงใหม่ มีส่วนไฟท้ายที่ยาวขึ้นมาถึงฝาท้ายด้วย ซึ่งจะทำให้ท้ายรถดูเป็นส่วนเดียวกับตัวถัง ทำให้โดยรวมดูกลมกลืนขึ้น ด้วยรูปทรงบั้นท้ายที่มีเอกลักษณ์ ทั้งที่เคยถูกวิจารณ์กันอย่างหนัก กลับกลายเป็นต้นแบบของรถอีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อในตลาดปัจจุบัน เช่นบั้นท้ายของ นิสสัน เทอานา/โตโยตา มาร์ค เอกซ์ และล่าสุดคู่แข่งรายสำคัญ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ ดับเบิลยู 221 ที่เพิ่งเปิดตัว กลับมีบั้นท้ายที่มาในแนวทางนี้เช่นเดียวกัน ถ้าวิเคราะห์กันลึกๆ น่าจะเป็นเหตุผลทางหลักอากาศพลศาสตร์มากกว่า ที่บังคับให้รูปทรงเป็นเช่นนั้น
มาดูรูปทรงของเจ้า เอส-คลาสส์ ดับเบิลยู 221 ล่าสุดกันบ้าง เมื่อเห็นครั้งแรกก็ทราบได้ทันทีว่าใช้สไตล์การออกแบบของรถรุ่นสูงสุดนั่นคือ มายบัค มาเป็นจุดขาย เพื่อที่จะดึงคุณค่าของสินค้าให้สูงขึ้นไปได้อีกชั้นหนึ่ง และที่เห็นได้ชัดก็คือ ซุ้มล้อ ที่มีลักษณะโค้งกลม เหมือนรถย้อนยุคในอดีต และไฟท้ายที่คล้าย มายบัค รูปทรงโดยรวมยังคงความเพรียวลมเอาไว้คล้ายรุ่นเดิม แต่เสริมมัดกล้ามเข้าไปเพื่อเพิ่มความหรูหราอลังการอย่างเห็นได้ชัด ภายในถูกปรับปรุงให้มีความหรูหราแบบสุดๆ มีระบบคอมพิวเตอร์คล้ายๆ กับ ไอดไรฟ ของ บีเอมดับเบิลยู เกิดขึ้นเหมือนกัน
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และในอนาคต รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นก็จะยังคงเป็นคู่กัดกันไปตลอดกาลอย่างแน่นอน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การออกแบบทั้ง 2 บริษัท ที่จะนำมาใช้ต่อสู้กัน เพื่อให้ลูกค้าเพิ่มความจงรักภักดีต่อสินค้าของตนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรื่องโดย : แมน ดีไซจ์น
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8245