ธุรกิจ
เลิกอัดเงินหนุนค่ายสามเพชร
ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ถอดใจ
เลิกอัดเงินหนุนค่ายสามเพชร
ผู้ผลิตเมืองโสมก็โดนด้วย
ญี่ปุ่น-ไดมเลร์ ไครสเลอร์ (DAIMLER CHRYSLER) ผู้ผลิตรถยนต์สองสัญชาติ ซึ่ง
ถือหุ้นร้อยละ 37 ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน (MITSUBISHI MOTORS
CORPORATION ) ชอควงการรถยนต์เมืองยุ่น โดยประกาศการตัดสินใจเมื่อปลาย
เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่ยอมอัดฉีดเงินก้อนโตเพื่อช่วยกู้ฐานะของค่ายสามเพชร
ที่กำลังมีอาการร่อแร่ เพราะขาดทุนหนัก
ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ)
ไครสเลอร์ (CHRYSLER) จีพ (JEEP) และ สมาร์ท (SMART) ใช้เงินประมาณ
125,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นร้อยละ 37 ของ มิตซูบิชิ เมื่อเดือนมีนาคม 2000 และส่ง
นาย รอลฟ์ เอครอดท์ (ROLF ECKRODT) คนของตน เข้ารับหน้าที่ ประธานบริษัท
และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นับแต่นั้น
การก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของยักษ์ใหญ่ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ส่งผลให้เกิดโครงการ
ความร่วมมือระหว่างสองค่ายนี้ขึ้นหลายโครงการ รวมทั้งโครงการพัฒนารถ สมาร์ท
ฟอร์โฟร์ (SMART FORFOUR) กับ มิตซูบิชิ โคลท์ (MITSUBISHI COLT) ที่ใช้ชิ้น
ส่วนร่วมกันเป็นจำนวนมาก และโครงการพัฒนารถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) แบบใหม่
เพื่อแทนที่รถ จีพ เชอโรคี (JEEP CHEROKEE) และ มิตซูบิชิ โชกุน (MITSUBISHI
SHOGUN) รุ่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าอาการของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้ ไม่
มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นสักเท่าไร สินค้ารถยนต์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดยังมีปัญหา
ด้านคุณภาพ ถึงขนาดต้องเรียกกลับมาแก้ไขนับล้านคัน ที่แย่กว่านั้นก็คือ การพยายาม
ปกปิดปัญหาและไม่รายงานข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และส่ง
ผลให้มีการจับกุมผู้บริหาร เป็นข่าวแพร่สะพัดและฉาวโฉ่ไปทั่วโลกเมื่อไม่นานมานี้
ฐานะทางการเงินของ มิตซูบิชิ เลวร้ายลงเรื่อยๆ ปี 2546 การเงินก็ปิดบัญชีด้วย
เลขตัวแดง 76,000 ล้านบาท และที่สุดก็จำเป็นต้องร้องขอให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ
ไดมเลร์ ไครสเลอร์ อัดฉีดเงินช่วยเหลือเป็นมูลค่าประมาณ 94,000 ล้านบาท ซึ่ง
ผู้ได้รับการร้องขอใช้เวลาคิดไม่กี่เดือน ก็ประกาศว่า พอกันที ดังกล่าวข้างต้น
คำถามที่ถามกันไปทั่วในวงการรถยนต์ของยุโรปก็คือ นอกจากไม่ยอมอัดฉีดเงินช่วย
เหลือแล้ว ไดมเลร์ ไครสเลอร์ จะตัดสินใจถอนสมอ โดยขายหุ้นที่ถืออยู่ด้วยหรือไม่
หากเป็นอย่างนั้น ก็คงจะขัดกับยุทธศาสตร์ของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่รายนี้ ซึ่งเคยคาด
หวังว่า จะใช้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้เป็นฐานในการทะลุทะลวงเข้าไปในตลาดเอเชีย
โดยเฉพาะตลาดของรถที่ผลิตจำนวนมากๆ ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า MAINSTREAM
VOLUME CAR
อย่างไรก็ตาม ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ประกาศยืนยันว่า โครงการต่างๆ ที่ร่วมมือกับ
ค่าย มิตซูบิชิ จะยังคงดำเนินต่อไป รวมทั้งโครงการผลิตรถ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ และ
มิตซูบิชิ โคลท์ ที่โรงงาน NEDCAR ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่วงการกำลังจับตา
ที่โดนหางเลขไปด้วยก็คือ ฮันเด (HYUNDAI) ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมือง
โสม ซึ่งค่าย ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 10.5 เพราะเพียงสองสัปดาห์
หลังจากกรณีของ มิตซูบิชิ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่สองสัญชาติก็ประกาศว่า ได้ตัดสินใจ
จะขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ และคาดว่าจะทำเงินได้ประมาณ 41,000 ล้านบาท โดยไม่
ยอมเปิดปากอธิบายสาเหตุของการตัดสินใจครั้งนี้ เพียงแต่บอกว่า ถึงแม้จะขายหุ้นทั้ง
หมดไปแล้ว แต่โครงการความร่วมมือต่างๆ ที่กระทำกับ ฮันเด จะยังคงดำเนินต่อไป
ย่อยข่าว
* ฝรั่งเศส-ตามตัวเลขที่ตีพิมพ์ในนิตยสารรถยนต์ชั้นนำฉบับหนึ่งของเมืองน้ำหอม ใน
ช่วงห้าเดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม 2004) ตลาดรถยนต์ในประเทศยุโรป
ตะวันตกสามารถขายรถใหม่ได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 6,422,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 2.8 จากตัวเลขในช่วงเดียวกันเมื่อปีกลาย รถที่ขายได้มากที่สุด คือ เรอโนลต์
เมกาน (RENAULT MEGANE) ซึ่งมียอดขายสูงถึง 308,750 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อย
ละ 26 จากเมื่อปีกลาย โดยมีรถแบบอื่นๆ อีกเก้าแบบทำยอดขายลดหลั่นกันไป ดังนี้
1. เรอโนลต์ เมกาน 308,750 คัน
2. ฟอร์ด โฟคัส 250,550 คัน
3. เปอโฌต์ 206 233,570 คัน
4. โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ 231,500 คัน
5. เปอโฌต์ 307 210,610 คัน
6. เรอโนลต์ กลีโอ 178,100 คัน
7. โอเพล โคร์ซา 160,820 คัน
8. เฟียต ปุนโต 149,700 คัน
9. ซีตรอง เซตรัวส์ 140,500 คัน
10. ฟอร์ด ฟิเอสตา 138,500 คัน
* ฝรั่งเศส-ค่ายสิงห์เผ่น นำรถนาคร เปอโฌต์ 1007 (PEUGEOT 1007) รถแบบ
แรกในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ ที่ใช้รหัสอนุกรมเป็นเลขสี่ตัว ออกจำหน่ายเรียบร้อย
แล้วทั้งแบบพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา ตัวถังซึ่งออกแบบโดยสำนัก ปินินฟารีนา
(PININFARINA) และมีขนาดยาว 3.731 ม. กว้าง 1.686 ม. และสูง 1.610 ม.
มีจุดเด่นที่แปลกไปจากรถประเภทเดียวกันขนาดเดียวกันที่มีจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ คือมี
ประตูข้างทั้งสองด้านเป็นประตูเลื่อน ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า และใช้เวลาในการเปิด
หรือปิดแต่ละครั้งเพียง 4 วินาที สนนราคาค่าตัวของรถแบบนี้ในตลาดอังกฤษ อยู่ที่
ระดับ 10,500-11,500 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 0.79-0.86 ล้านบาทไทย
* ญี่ปุ่น-ในรอบปีการเงินซึ่งสิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โตโยตา ผู้ผลิตรถยนต์
หมายเลขหนึ่งของเมืองปลาดิบ สามารถสร้างสถิติขึ้นใหม่ โดยทำกำไรได้ถึง 1.16
ล้านล้านเยน (ประมาณ 0.43 ล้านล้านบาท) และกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของ
ญี่ปุ่นที่ยอดผลกำไรต่อปีผ่านหลักหนึ่งล้านล้านเยน วิจารณ์กันในยุโรปว่า ยอดผลกำไร
ที่สูงกว่ารอบปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 55 นี้ ส่วนใหญ่เป็นผลลัพธ์จากยอดขายในภูมิภาคนี้
ที่พุ่งสูงถึงระดับ 898,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 122,000 คัน จากรอบปีก่อนหน้านั้น ใน
ตลาดยุโรป ผลผลิตของยักษ์ใหญ่เมืองปลาดิบที่ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก คือ โตโยตา ยาริส
(TOYOTA VARIS) โตโยตา โคโรลลา (TOYOTA COROLLA) และ โตโยตา
อเวนซิส (TOYOTA AVENSIS)
* ยุโรป-นิตยสารรถยนต์ฉบับหนึ่งของเมืองผู้ดีรายงานข่าวว่า รถติดตราดาวสาม
แฉกสองอนุกรม คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล โรดสเตอร์ (MERCEDES-BENZ
SL ROADSTER) ซึ่งผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคม 2002 เป็นต้นมา กับ เมร์เซเดส-เบนซ์
อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) ซึ่งผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคม 2003 เป็นต้น
มา ถูกเรียกกลับจากผู้ใช้รถทั่วยุโรป เพื่อตรวจสอบระบบห้ามล้อ ที่อาจเกิดความขัด
ข้องโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ข่าวเดียวกันนี้ระบุว่า มีรถเพียง
1 ใน 1,000 คันเท่านั้น ที่อาจเกิดอาการนี้ รถแบบเดียวกันนี้ที่ผลิตในบ้านเรา ไม่
ทราบว่าจะมีปัญหาหรือเปล่า ?
* ยุโรป-โพร์เช และ โฟล์คสวาเกน ก็ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน เมื่อจำเป็นต้อง
ร่วมกันเรียกรถกิจกรรมกลางแจ้ง โพร์เช กาเยนน์ (PORSCHE CAYENNE) และ
โฟล์คสวาเกน ตูอเรก (VOLKSWAGEN TOUAREG) มากกว่า 100,000 คัน กลับ
คืนโรงงาน เพื่อตรวจสอบความบกพร่องของระบบเข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะหลัง รถ
สองแบบนี้ออกแบบและพัฒนาร่วมกัน เหตุบกพร่องจึงอาจเกิดขึ้นได้เหมือนๆ กัน
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7767