เทคนิค
-
ในประวัติศาสตร์ของการสร้างรถยนต์ ดูเหมือนจะไม่มียุคไหนที่โรงงานรถยนต์ประดังกันผลิต
รถสปอร์ทรุ่นสุดยอดหรือ "ซูเพอร์คาร์" ออกมา "สูบเงิน" คนชอบรถที่รวยจริง
ต้องรวยก่อนครับถึงจะซื้อไหว แต่ชอบรถจริงหรือเปล่า เป็นเงื่อนไขรองลงมา
เพราะลูกค้าบางคนซื้อทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบ แต่มั่นใจว่าสามารถหากำไรได้ ถ้าเป็นรุ่นที่น่าจะดี
และผลิตจำนวนจำกัด
ทำไมใครๆ ก็อยากสร้างซูเพอร์คาร์ออกมาขาย ? ตอบง่ายมากครับ มันท้าทาย ทำชื่อเสียงให้โรงงาน
และข้อสุดท้ายที่เป็นเหตุผลหลัก ก็คือได้กำไรเยอะดี พอเป็นของพิเศษแล้ว
ลูกค้าก็ไม่รู้จะหาวิธีเปรียบเทียบคุณค่าหรือมูลค่าจริงต่อราคาขายอย่างไร
คราวนี้ก็บวกกำไรกันได้จุใจคนทำซูเพอร์คาร์ยุคใหม่นี้ ทำเอาซูเพอร์คาร์ตัวจริงเดิมอย่าง ลัมโบร์กินี
มูร์ซิเอลาโก/แฟร์รารี มาราเนลโล หรือ โพร์เช เทอร์โบ แทบจะกลายเป็นรถสปอร์ท "ธรรมดา" ไปเลย
เท่าที่พอนึกออกโดยไม่ยืนยันว่าครบถ้วน คือ แมคลาเรน-เมร์เซเดส รุ่น เอสแอลอาร์/โพร์เช คาร์เรรา
จีที/ปากานี ซนดา และ แฟร์รารี เอนโซ โรงงาน โฟล์คสวาเกน ก็กระโดดลงมาร่วมวงกับเขาด้วยเหมือนกัน
โดยซื้อชื่อมาจากตระกูล บูกัตตี ผู้ผลิตยอดรถสปอร์ทตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่แล้วโน่น ตั้งชื่อว่ารุ่น
เวย์รน ใช้เครื่องยนต์ 16 สูบ 1,001 แรงม้า ขนาดสวีเดนที่ทำเป็นแต่รถเก๋ง ยังขอผลิตกับเขาบ้างชื่อ
เคอนิกเซกก์ (KOENIGSEGG) รุ่น ซีซี 8 เป็นชื่อหนุ่มสวีเดน
เรียกยากขนาดชาวอังกฤษบอกว่าเห็นแล้วปวดหัว ไม่รู้อ่านว่าอย่างไรแน่
รายนี้สร้างรุ่นแรกก็เป็นรุ่นที่ไม่แพ้รถทั้งหมดที่ผมกล่าวมาเลย
ผมเพิ่งไปอ่านพบในนิตยสารรถของอังกฤษเข้าเลยนึกได้ว่า ครบสิบปีพอดีที่ แมคลาเรน เอฟ 1
ออกจำหน่าย หรือจะบอกว่าครบสิบปีพอดีที่รถรุ่นนี้ถูกเลิกผลิตก็คงได้ เพราะทำออกมาขายเพียง 65
คันเท่านั้น เฉพาะที่เป็นรถใช้บนถนน ส่วนที่เหลือเป็นรุ่นที่ผลิตเพื่อลงแข่งความเร็ว
และก็เป็นเมื่อสิบปีที่แล้วเหมือนกัน ที่ผมเอารายละเอียดของรถนี้มาลงในคอลัมน์เทคนิคของ
"ฟอร์มูลา" เพราะไม่เคยเห็นรถอะไรที่ถูกสร้างอย่าง "ตรงใจ" ผมเท่านี้เลย จำได้ว่าตอนท้ายคอลัมน์
ผมเขียนไว้ว่า ในอีกสิบปีข้างหน้าก็คงจะยังไม่มีใครสร้างรถสปอร์ทได้ดีเท่านี้อีก
และถึงวันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ผมเล่าให้ฟังเพราะต้องการให้เห็นว่ารถนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด
ไม่ได้หมายความว่าผมเก่งหรือทายแม่นนะครับ มาดูกันว่ามีอะไร ในรถรุ่นนี้
ที่อยู่ในระดับสุดยอดได้ยาวนานขนาดนี้
แมคลาเรน เอฟ 1 ถูกออกแบบโดย กอร์ดอน เมอร์เรย์ (GORDON MURRAY )
วิศวกรออกแบบรถสูตรหนึ่ง หรือ "ฟอร์มูลา วัน" โดยความเห็นชอบของ รอน เดนนิส (RON DENNIS)
เจ้าของทีมแข่ง แมคลาเรน จุดประสงค์ง่ายๆ แต่ปฏิบัติยากยิ่ง
คือสร้างรถสปอร์ทประเภทดีเยี่ยมไร้เทียมทาน ในความเห็นของ กอร์ดอน เมอร์เรย์
โดยไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุนนัก เพราะน่าจะมีคนรวยจริงที่เห็นคุณค่าพอๆ กับรถที่จะผลิต
ถ้าไปให้โอกาสแบบนี้กับนักออกแบบรถเพี้ยนๆ หรือมือไม่ถึง
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ กอร์ดอน เมอร์เรย์
แกเป็นผู้เข้าใจเทคนิคของรถสปอร์ทอย่างแท้จริงระดับอัจฉริยะและรถนิยมก็ดีด้วย
เราก็เลยได้รถรุ่นนี้มาเป็นเพชรชิ้นเอกประดับวงการรถสปอร์ท ไม่ใช่แค่เป็นนักออกแบบรถสูตรหนึ่ง
แล้วจะสร้างรถดีๆ อย่างนี้ได้ทุกคนนะครับ
หลักการสำคัญของ กอร์ดอน เมอร์เรย์ ในการออกแบบรถนี้ คือต้องมีขนาดเล็กและเบาที่สุด
ใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่พอ ตอบสนองอย่างดี ทำงานได้จนถึงรอบสูงไม่มีการใช้เทอร์โบหรือ
ซูเพอร์ชาร์เจอร์ ตัวถังต้องกดรถได้ดีที่ความเร็วสูง โดยไม่ต้องมีปีกหรือครีบอัปลักษณ์ช่วย
ชิ้นส่วนทุกชิ้นของรถ จะถูกพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรใช้วัสดุอะไร ที่เบา และแข็งแรงพอ และต้อง
"ดูดี" มีคุณค่าด้วย รถนี้จึงเต็มไปด้วยวัสดุที่เบาและแพง เช่น ไยคาร์บอน และไททาเนียม กอร์ดอน
เมอร์เรย์ ตั้งเป้าไว้ก่อนลงมือสร้าง ว่าจะทำให้รถนี้หนักไม่เกิน 1,000 กก. แต่ทำได้เพียง 1,140 กก.
ซึ่งก็นับว่าสุดยอดแล้วครับ คาร์เรรา จีที ที่รีดน้ำหนักเต็มที่เหมือนกัน ยังหนัก 1,380 กก.
เครื่องยนต์สั่งผลิตพิเศษจากยอดนักสร้างเครื่องยนต์ตัวจริง คือ บีเอมดับเบิลยู ความจุ 6,064 ซีซี
ทำจากอลูมิเนียมทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ ส่วนฝาครอบวาล์วทำจากแมกนีเซียมซึ่งเบาหวิว ให้กำลังสูงสุด
627 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ
มาดูสมรรถนะกันบ้างครับ อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ (96 กม.)/ชม. ใน 3.2 วินาที 0-100 ไมล์ (161 กม.)/ชม.
6.3 วินาที 0-200 ไมล์ (322 กม.)/ชม. 28 วินาที ความเร็วสูงสุดที่วัดได้จริง 388 กม./ชม.
จนบัดนี้ยังไม่มีซูเพอร์คาร์ที่ผลิตสำหรับขับบนถนนหลวงรายใดทำลายสถิตินี้ได้เลยครับ
ถ้าแข่งเร่งความเร็วกับรถ
สปอร์ทธรรมดาทั่วไป แมคลาเรน เอฟ 1 นี้ต่อให้ใช้เกียร์เดียวก็พอ เพราะคนขับสามารถออกรถในเกียร์
6 แค่ไม่ให้เครื่องดับ พอถอนคลัทช์ได้ รถก็จะมีความเร็วกว่า 40 กม./ ชม.
จากนั้นเหยีบบคันเร่งมิดอย่างเดียว จนทำความเร็วได้ 380 กม./ชม.
รถนี้ไม่มีเอบีเอส ไม่มีระบบผ่อนแรงพวงมาลัย ไม่มีระบบป้องกันล้อฟรีหรือแทรคชันคอนโทล กอร์ดอน
เมอร์เรย์ ต้องการให้น้ำหนักเบาที่สุด และเป็นรถของนักขับมีฝีมือเท่านั้น ถ้าไม่เคร่งครัดแบบนี้
คงไม่สามารถรีดน้ำหนักได้ขนาดนี้แน่ และสมรรถนะก็คงไม่ดีเท่านี้
สรุปแล้วรถนี้ไม่มีระบบอีเลคทรอนิคอยู่เลย ยกเว้นที่ใช้ควบคุมเครื่องยนต์และชุดเล่น "ซีดี" แบบ 10
แผ่น โดยไม่มีวิทยุ ซึ่ง กอร์ดอน เมอร์เรย์ เห็นว่า "งี่เง่า" และทำลายสมาธิขณะขับรถของเขา
ขนาดลำโพงในรถ ยังสั่งให้ใช้แม่เหล็กเบาพิเศษเลยครับ แป้นเบรคคันเร่ง คลัทช์
ทำจากไททาเนียมล้วน ซึ่งแข็งเท่าๆ เหล็ก แต่เบาแบบอลูมิเนียม
ที่ถือเป็นทีเด็ดของรถรุ่นนี้ คือที่นั่งคนขับซึ่งอยู่ตรงกลางพอดี วิธีนี้ดีมากนะครับ
ผมจำได้ว่าตอนหัดขับรถใหม่ๆ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งแย่และฝืนความรู้สึกมาก
ที่ต้องนั่งขับข้างใดข้างหนึ่งของรถ มันทำให้ความรู้สึกดีๆ เป็นธรรมชาติหายไปมากครับ
เพียงแต่พวกเราไม่รู้สึกเพราะชินชากับการนั่งแบบนี้ไปแล้ว
แต่การให้คนขับนั่งกลางแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่นะครับ เพราะนักออกแบบรถเคยออกแบบให้ แฟร์รารี
เมื่อหลายสิบปีก่อน ในรุ่น 365 พี และ ดีโน 206 ซึ่งเป็นได้เพียงรถแสดงในมอเตอร์โชว์
เพราะท่านผู้เฒ่า เอนโซ เจ้าของโรงงาน แฟร์รารี แกรับไม่ได้กับของล้ำสมัย หรือ "นอกคอก" แบบนี้
พวงมาลัยเป็นแบบถอดได้ ซึ่งช่วยกันถูกขโมยรถได้ดีมาก กอร์ดอน เมอร์เรย์
พิถีพิถันกับทุกสิ่งของรถนี้จริงๆ เพราะแม้แต่ด้ามเบรคมือ ยังทำด้วยไม้แท้
ไม่ใช่เพื่อความหรูหรานะครับ เขาบอกว่ามันเป็นฉนวนความร้อนที่ดี และก็เบาด้วยเขาบอกด้วยว่า เอฟ
1 คือ ซูเพอร์คาร์ รุ่นสุดท้าย ที่ยังถูกออกแบบด้วยมือและดินสอจริงๆ
เพราะรุ่นที่ถูกออกแบบหลังจากนั้น ใช้คอมพิวเตอร์กันหมดแล้ว
ผมว่าถ้าจะหาที่ติรถรุ่นนี้ ในความเห็นของผม ก็คือการคลานหรือมุด หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่
ไปยังที่นั่งคนขับตรงกลาง รวมทั้งขาลงด้วย ซึ่งผมว่ามันหาความสง่างาม
สำหรับเจ้าของรถระดับนี้ไม่ได้แน่ แต่ไม่เคยได้ข่าวว่าเจ้าของรถเหล่านี้บ่นกันนะครับ ที่มีก็มักจะเป็น
ค่าแรงซ่อม ที่คงต้องแพงจริงๆ ถ้าคนฐานะระดับนี้ยังบ่น แต่บางรายก็บอกว่าทำใจได้
เพราะเป็นถึงช่างรถสูตรหนึ่ง จะให้ถูกได้อย่างไร
ตอนออกขายเมื่อสิบปีที่แล้ว มีแต่คนบอกว่าราคาของรถรุ่นนี้ (634,500 ปอนด์หรือ 30 กว่าล้านบาท)
แพงเกินไป มาถึงวันนี้ราคาของรถรุ่นนี้ที่ใช้แล้วก็ยังไม่ต่ำกว่านี้ ส่วนใหญ่สูงกว่าด้วย และ
เมื่อเทียบกับรถอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วตอนต้น ก็ยังสมเหตุสมผลอยู่ครับ
ถ้าดูสัดส่วนราคาต่อคุณภาพและสมรรถนะ จะว่า
แมคลาเรน หิวกำไรหรือฉวยโอกาสคงไม่ได้แน่ เพราะสาเหตุที่หยุดผลิตไป ทั้งๆ
ที่ยังมีลูกค้าต้องการซื้ออีกมาก ก็คือต้นทุนมันสูงเกินราคาขายครับ
ไม่ใช่ประเภทมีปัญหาอื่นด้วยนะครับ แต่เป็นเพราะใช้วัสดุและกรรมวิธีผลิตที่แพงจริงๆ ถ้าได้ชื่อเสียง
แต่ยิ่งขายมากก็ยิ่งจนแบบนี้ เป็นเราก็คงต้องเลิกเหมือนกัน
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7403