พิเศษ
สู่เป้าหมาย "ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย"
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบันนับว่ากำลังเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ซบเซามานานตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทรถยนต์ต่างๆ
ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จนผู้เชี่ยวชาญเริ่มคาดหวังว่า
ไทยจะเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
เพื่อโฟกัสภาพเส้นทาง และเป้าหมาย ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย ให้คมชัดขึ้น ประกอบด้วย
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
ในสภาอุตสากรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
และสถาบันยานยนต์ หน่วยงานอิสระในความดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม
อัจฉรินทร์ สารสาส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โปรย
"คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาตินั้นจะต้องเกิด ถ้าจะให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็น
1 ใน 4 ของอุตสาหกรรมหลักของประเทศ"
ฟอร์มูลา : นโยบายและเป้าหมายของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คืออะไร ?
อัจฉรินทร์ : กลุ่มยานยนต์อยู่ภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
การทำงานจะเดินตามกฎหมายที่ระบุในพระราชบัญญัติ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ปัจจุบันมีสมาชิกสามัญที่เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมยานยนต์ 35 บริษัท และบริษัทสมทบอีก 7 แห่ง
โดยวางนโยบายที่สำคัญ คือ แนวทางการดำเนินงานอย่างชัดเจน มีจรรยาบรรณ ทำงานเพื่อสังคม
เป็นตัวกลางภาคเอกชน ไม่ได้มีอิทธิพลหรือมีอำนาจ การดำเนินการต้องชัดเจน คือ
1. มีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ไม่เน้นเฉพาะธุรกิจของตนเองมากเกินไป
2. มีความรับผิดชอบต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการรักษาสิ่งแวดล้อม
จะเห็นได้ว่ามีการเดินตามนโยบายสิ่งแวดล้อมในเรื่องมลภาวะ ยูโร 2 และ 3 ตลอด
หรือปฏิบัติตามกฎที่กระทรวงออกมา ให้พร้อมมูลอย่างเต็มที่
3. มีความรับผิดชอบประสานงานกับหน่วยราชการ
4. มีรับความผิดชอบในการแข่งขันธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่งกันและกัน
5. มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สินค้าต้องคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
6. มีความรับผิดชอบต่อการใช้แรงงาน และ
7. มีความรับผิดชอบต่อสังคม
โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางและที่พึ่งของกลุ่ม
เวลามีปัญหาในบางเรื่องที่พอจะประสานงานให้ได้ ไม่ได้ต้องการมีอำนาจ มีอิทธิพล
เป็นการรวมตัวให้ได้รับความเชื่อถือในการถ่ายทอดปัญหาและความต้องการไปสู่หน่วยงานราชการ
และสื่อมวลชน
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีความสำคัญมาก
ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมยานยนต์แข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดให้มองที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
เพราะถ้าผู้ผลิตชิ้นส่วนแข็งแกร่ง หมายถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ก็แข็งแกร่ง
ดูได้จากมูลค่าเพิ่มของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น
เพราะถ้าผู้ประกอบยานยนต์เข้ามาลงทุนในประเทศมาก แต่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศน้อย ถือว่าไม่แข็งแรง
เพียงแต่มาใช้แรงงานไทยเท่านั้น หรืออีกส่วนหนึ่งมาประกอบแต่ไม่ใช่ชิ้นส่วนในประเทศไทยเลย
ฟอร์มูลา : การเข้ามาของบริษัทผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน จะมีรูปแบบการแข่งขันกันอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : การแข่งขันแบ่งเป็นเรื่องของคุณภาพและต้นทุน
เรื่องคุณภาพไม่ต้องพูดถึงเพราะเจ้าของแบรนด์เข้ามาลงทุนทำเอง
เมืองไทยเราไม่เหมือนบางประเทศที่ออกแบบรถเอง ฉะนั้นเจ้าของ
แบรนด์ไม่ยอมให้คุณภาพงานตกต่ำ เพราะคุณภาพต้องอยู่ในระดับเจ้าของแบรนด์
ไม่ว่าจะยี่ห้อใดประกอบที่ประเทศไหนก็เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือต้นทุน รถยนต์คันหนึ่งต้องใช้ชิ้นส่วน
ถ้าชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งไม่สามารถผลิตได้ภายในต้นทุนที่แข่งขันได้ รถยนต์ทั้งคันก็แข่งขันไม่ได้
ดังนั้นความสำคัญทั้งหมดต้องหมุนไปหาผู้ผลิตชิ้นส่วน
ฟอร์มูลา : ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือหรือพัฒนาผู้ผลิตชินส่วนอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : โรงงานประกอบทุกบริษัทมีชมรมที่เรียกว่า ชมรมความร่วมมือ
ประกอบด้วยผู้ผลิตชิ้นส่วนที่รวมตัวกันและร่วมกันพัฒนา กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ฯ ไม่ได้มีทุนมาก
ที่ผ่านมาได้เสนอแผนพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วน โดยขณะนี้สภาพัฒน์เป็นแกนกลาง
อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนให้มีความแข็งแกร่ง
เพื่อส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศสามารถต่อสู้กับที่อื่นๆ ได้
ฟอร์มูลา : จำนวนสมาชิก 35 บริษัท ได้จัดประชุมเพื่อร่วมการพัฒนาอย่างไรบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ จัดให้สมาชิกเป็นกรรมการทุกบริษัท
โดยแบ่งกลุ่มการทำงานเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มดูแลด้านภาษีอากรและระเบียบปฏิบัติ
เพื่อเชื่อมโยงกับทางราชการ 2. กลุ่มข้อมูลและตัวเลข ประเทศไทยยังมีจุดอ่อนในเรื่องของข้อมูลตัวเลข
แต่หลังจากนี้จะมีความชัดเจน ทันเหตุการณ์ เช่น ยอดการผลิตรถยนต์ จักรยานยนต์ การส่งออก
ทั้งหมดต้องสรุปได้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
และเมื่อทราบยอดแล้วก็ต้องมีการประมาณการของเดือนนั้น และล่วงหน้า 3 เดือน 3.
ดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น WTO อาฟตา และ 4. คณะทำงานด้านวิชาการ
สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการทำงานนั้น ประกอบด้วย
การตอบสนองนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม สนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนแข็งแรงขึ้น
ประสานงานกับสมาชิกและหน่วยงานราชการ
และพัฒนาคนด้วยการให้การสนับสนุนสถาบันยานยนต์เต็มที่ เพื่อให้มีผลรูปธรรม
ฟอร์มูลา : ปัจจุบันบทบาทและหน้าที่ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีอะไรบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : การทำงานของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำงานเป็นทีม ส่วนผมในฐานะประธานกลุ่ม
จะเป็นคนคุมเกมและรับผิดชอบงานทั้งหมด หากกลุ่มใดมีปัญหาก็จะเข้าไปช่วยแก้ไข เช่น
ปัญหาเรื่องภาษี ก็เข้าไปช่วยให้ความคิดเห็น เพราะมีการแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจนแล้ว
การบริหารที่ผมเรียนมาก็นำมาใช้ในการบริหารงาน คือ 1. นโยบายต้องแม่น 2. องค์กรต้องชัดเจน 3.
ข่าวสารถูกต้องและทันเหตุการณ์ตลอดเวลา เมื่อเรามีการวิเคราะห์งานแล้ว งานก็จะไม่ผิดพลาด
ฟอร์มูลา : ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะไปในทิศทางไหน
หลังจากที่เจ้าของยี่ห้อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหมดแล้ว ?
อัจฉรินทร์ : มันหนีไม่พ้นแล้ว เพราะว่าอุตสาหกรรมเป็นอย่างนี้มา 30 ปีแล้ว
จะตัดกลับไปให้มีรถยนต์แห่งชาติอย่างมาเลเซีย เป็นไปไม่ได้
การเดินทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็ต้องเดินทางต่อไปอย่างนี้
แต่ถ้าให้มองตอนนี้ประเทศไทยเป็นดีทรอยท์ตะวันออกไปแล้ว หากแบ่งโลกออกเป็น 4 ซีก
สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะนี้เกือบทุกบริษัทก็ย้ายฐานการผลิตมาไทยกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อีซูซุ มิตซูบิชิ โตโยตา
ฮอนดา ฟอร์ด และมาซดา ภาระของประเทศ ก็คือต้องพยายามให้บริษัทเหล่านี้อยู่ที่นี่ตลอดไป
ดังนั้นเพื่อให้บริษัทแม่ที่เข้ามาลงทุนอยู่กับประเทศไทยตลอดไป เราจะต้องมีการดูแลใน 3 ประเด็น คือ
1. ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน น้ำ ไฟ ต้องมีความพร้อม
และสามารถให้บริการได้ทันต่อการขยายตัว 2. กฎข้อบังคับต่างๆ ต้องมีความรัดกุม ง่าย สะดวก
เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนอยู่นานๆ 3. บุคลากร จุดนี้เป็นสิ่งที่จะต้องดูแลอย่างมาก
เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่จะไม่เคยชินกับวินัยในโรงงานอุตสาหกรรม
จึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เพื่อให้นักลงทุนเกิดความไว้วางใจ มั่นใจในการเข้ามาลงทุน
วิสัยทัศน์ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น
มุ่งมั่นใช้การผลิตและประกอบยานยนต์ในไทยให้ทั่วโลกยอมรับว่าอยู่ในมาตรฐานระดับโลก
ซึ่งตอนนี้เราก็เป็นอยู่แล้ว แต่จะต้องรักษามาตรฐานนั้นไว้ ซึ่งหากมองให้ลึกลงไป
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นตัวเชื่อมโยงธุรกิจยานยนต์กับอีกหลายธุรกิจร่วมกัน
ผมอยากให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในเรื่องรถยนต์
ทำอย่างไรให้เจ้าของแบรนด์รักประเทศไทยและไม่ไปลงทุนที่อื่น
แต่ในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้เพราะมีเรื่องของการเมือง และเรื่องอื่นๆ อีกมาก
หรือถ้าเป็นไปได้ก็มาตั้งโรงงานเล็กๆ แต่ศูนย์กลางให้อยู่ในประเทศไทย
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็พูดได้อย่างมั่นใจว่าประเทศไทยเป็นดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย
ฟอร์มูลา : จะทำอย่างไรให้เจ้าของยี่ห้อเกิดความมั่นใจในประเทศไทย ?
อัจฉรินทร์ : ต้องทำให้นักลงทุนมีความสุขในการที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
มีสิ่งรองรับในอุตสาหกรรมเหล่านั้น เช่น สาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา การคมนาคม ขนส่ง
หรือแม้แต่นักวิชาการที่มีความรู้ ความสามารถ รองรับการขยายงานหรือการลงทุน
เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเข้ามา ตัวอย่าง นักลงทุนจะขยายโรงงานก็ห้าม ทั้งที่เมี่อ 20 ปีที่แล้ว
อย่างที่สมุทรปราการ ทีแรกบอกว่าให้เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม อยู่ๆ ก็มาบอกว่าเป็นเขตสีเขียว
ต้องย้ายโรงงานไปอยู่ระยอง อย่างนี้เสียหายต่อผู้ประกอบการ ควรมีบทสรุปที่ชัดเจน
ให้นักลงทุนมีความสุขกับการทำอุตสาหกรรมดีกว่า เพราะเราเป็นคนชี้ให้เขาเข้ามาลงทุน
ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ก็เหมือนกัน ให้เขามีความสุขไม่ใช่ว่าเขาประกอบรถไปเรื่อยๆ ทุกปี
วันดีคืนดีมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งเข้ามาขอยึดเอกสารเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
เอาไปตรวจแล้วก็กลับมาบอกว่าคุณผิดตรงนั้นตรงนี้ต้องเสียภาษีเพิ่มเท่านั้นเท่านี้
บัญชีก็ปิดงบดุลไปแล้ว ไม่สามารถตามหาได้ ก็ต้องมาถูกจับตรงจุดนี้ที่ทำให้เขาเกิดปัญหา
ถ้าจะทำก็ให้หมดกันเป็นปีๆ ไปเลย ถ้าผิดก็ทำกันปีนั้น ไม่ใช่ปล่อยมาเรียกกันย้อนหลัง
เพราะหากนักลงทุนเข้ามาลงทุนก็จะเป็นผลดีกับประเทศชาติ คนมีงานทำ เงินสะพัด มีใช้จ่ายในชุมชน
ฟอร์มูลา : อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนหรือช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ?
อัจฉรินทร์: อยากให้มีองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่เป็นตัวเชื่อมอยู่ตรงกลางระหว่างภาครัฐกับผู้ประกอบการ
โดยมีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาการอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาติ หรืออะไรก็ได้
ที่จะเป็นศูนย์รวมเวลามีปัญหาอะไรจะได้ประสานกับกระทรวง ทบวง กรมได้
ไม่ใช่ว่าให้ผู้ประกอบการต้องไปวิ่งเต้นกันเอง ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการนำเสนอไปแล้ว
ขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะตัดสินใจอย่างไร
เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมาก
อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องผู้ผลิตชิ้นส่วน ซึ่งจัดเป็นหลายประเภท เช่น
ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มาจากเจ้าของแบรนด์เอง หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาตั้งสาขาในประเทศ
ส่วนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าไร เพราะมีเทคโนโลยี โนว์ฮาว แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยที่อยู่มานาน
พวกนี้ภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือ หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนในต่างประเทศด้วย
เนื่องจากเมืองไทยยังมีตลาดไม่ใหญ่มากนัก เครื่องมือที่มีราคาแพง จึงไม่สามารถนำเข้ามาได้
ส่วนนี้น่าจะมีศูนย์ทดสอบชิ้นส่วน โดยรัฐบาลน่าจะเข้ามาช่วยเหลือ
เพราะหากมองแล้วในปัจจุบันการผลิตรถของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก รถจักรยานยนต์
อันดับ 6 ของโลก สำหรับตลาดภายในประเทศอันดับที่ 25 ของโลก ประเทศที่เจริญแล้วอย่าง อิตาลี
เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือสหรัฐ ฯ มีปริมาณอัตราการใช้รถประมาณ 1.5-3 คน/รถ 1 คัน
ของประเทศไทยยังอยู่ที่ 14 คน/1 คัน สัดส่วนของเรายังสามารถเพิ่มการผลิตขึ้นไปได้อีกมาก
และมองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยมีโอกาสที่จะเติบโตและพัฒนาไปได้อีกมาก
และหากมองที่ประเทศ พม่า ลาว เขมร อิรัก อิหร่าน หรือประเทศต่างๆ เหล่านี้
ถ้าไทยสามารถดึงประเทศแถบนี้มา แล้วให้ไทยเป็นศูนย์กลางก็จะทำให้ประเทศไทยเติบโตได้อีกมาก
ฟอร์มูลา : คู่แข่งในการเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย ของประเทศไทยมีใครบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : มีหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย พวกนี้น่ากลัวทั้งนั้น
เพราะประเทศเหล่านี้มีตลาดใหญ่ แม้ว่าประเทศจะยังด้อยพัฒนาอยู่ก็ตาม
ฟอร์มูลา : สิ่งสำคัญที่สุดในการผลักดันให้ไทยเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย คือส่วนใด ?
อัจฉรินทร์ : นโยบายทางภาครัฐ การเมือง และความชัดเจน และขณะนี้การเมืองก็มีผลต่อราคาน้ำมัน
ซึ่งครอบคลุมธุรกิจทั้งหมด ตอนนี้การเมืองเราก็เริ่มแน่นแล้ว เหลือแต่นโยบายที่ต้องชัดเจน เช่น
เรื่องรถยนต์ ขณะนี้ไทยเป็นผู้นำรถพิคอัพ 1 ตัน มียอดขายถึง 60 % ของยอดขายรถทั้งหมดในประเทศ
ก็ควรจะสนับสนุน นอกจากนั้นเรื่องของชิ้นส่วนมีการใช้ถึง 80 % ก็ควรที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่
และให้มีการใช้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงควรที่จะมุ่งไปที่รถพิคอัพ
และอีกส่วนหนึ่งคือรถจักรยานยนต์ที่เห็นได้ว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ฟอร์มูลา : เมื่อประเทศไทยเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย แล้ว จะรักษาสถานภาพไว้ได้อย่างไร ?
อัจรินทร์ : เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบด้วย
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสมาคมผู้ผลิตชิ้นสวนยานยนต์ ได้เข้าพบท่านนายกรัฐมนตรี
และได้เสนอแนวทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในเรื่องต่างๆ เช่น วิสัยทัศน์ และเป้าหมาย
ศักยภาพการแข่งขัน ยุทธศาสตร์ ข้อเสนอ ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ
โดยคาดการณ์ว่าในปี 2549 จะมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 420,000 ล้านบาท
มูลค่าเพิ่มของการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ 456,000 ล้านบาท การจ้างงานในประเทศ 310,000 คน
และรถยนต์จะมียอดผลิต 1 ล้านคัน แบ่งเป็นพิคอัพ 1 ตัน 7 แสนคัน และรถยนต์นั่ง 3 แสนคัน และใน
1 ล้านคันนี้ จะแบ่งเป็นการส่งออก 4 แสนคัน และใช้ในประเทศ 6 แสนคัน ซึ่งมีความเป็นไปได้
เพราะในปี 2539 ยอดจำหน่ายรถยนต์มีถึง 5.9 แสนคัน ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
และตรงนี้ก็ทำรายได้ให้ประเทศไทยนับแสนล้านบาท
ทางด้านภาครัฐรับทราบหมดแล้วว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะเดินไปทางนี้
และเวลานี้ได้มีการทำงานตามลำดับขั้นตอน โดยสภาพัฒน์ก็ดำเนินการอย่างเร่งรีบ
และทุกฝ่ายก็ทำงานกันอย่างเต็มที่เช่นกัน
ฟอร์มูลา : เมื่อประเทศไทยเป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย แล้วเราได้ประโยชน์อะไรบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือมีการซื้อขาย ส่วนในทางอ้อมจะเห็นชัดว่า
จะทำให้เกิด แรงงาน สังคม ชุมชน และความเจริญก็จะตามมา เงินตราก็มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ฟอร์มูลา : จะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรหรือไม่ ?
อัจฉรินทร์ : ข้อเสียคือต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ
แต่จะคิดว่านั่นเป็นข้อเสียหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแนวความคิด แต่ผมไม่คิดว่าเป็นข้อเสีย
เพราะถ้าเขาไม่มา เราก็ไม่มีโนว์ฮาว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ไม่ใช่เมืองวิชาการ
ซึ่งถ้าถามผม ผมว่าไม่มีข้อเสียนะ คนที่ทำธุรกิจไทยแท้อาจจะมองว่าเขามากลืนเรา
แต่ความจริงเป็นการหมุนไปของโลก ต้องสู้กัน สู้ไม่ได้ก็ต้องแพ้ เพราะไทยไม่ใช่ประเทศปิด
เชิญให้เข้ามาลงทุนจะกีดกันเขามันเป็นไปไม่ได้
ฟอร์มูลา : มีการประสานงานกับสมาคมอื่นที่เป็นรูปธรรมอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : ปัจจุบันพยายามที่จะอยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้ง 4 กลุ่ม เพราะไม่ค่อยเกี่ยวกับส่วนอื่น
โดยการประสานงานที่ผ่านมา จนถึง ณ วันนี้ที่เป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย ได้ กลุ่มเรามีส่วนอย่างมาก
ที่ดำเนินการมาตั้งแต่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยังเป็นสมาคมอุตสาหกรรมไทย
เราเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่ง มีการประชุม แลกเปลี่ยนข้อมูล อย่างสม่ำเสมอมาจนถึงวันนี้
ฟอร์มูลา : หลังจากที่เป็น ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย แล้ว คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ?
อัจฉรินทร์ :
จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะคิดต่อไปว่าจะทำอะไรเกี่ยวกับยานยนต์ที่จะเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทยสัก 1-2
อย่าง โดยจุดนี้สถาบันยานยนต์เป็นส่วนสำคัญ โดยอาจจะเริ่มจากง่ายไปหายาก เช่น
สนับสนุนอย่างไรให้มีจักรยานยนต์ของคนไทยแท้ เกิดขึ้นจากคนไทย เพื่อคนไทย โดยคนไทย
วาระต่อไปคือรถ ซึ่งอาจจะเป็นรถตุ๊กๆ ก็ได้ แต่จะต้องทำกันอย่างจริงจังไม่ใช่ทำทิ้งๆ ขว้างๆ
ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ฟอร์มูลา : ตัวแปรสำคัญของความสำเร็จและความล้มเหลวคืออะไร ?
อัจฉรินทร์ : ต้องมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ต้องมีคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาติ ซึ่งเมื่อมีแล้วก็จะมีสำนักงานต่างๆ
เกิดขึ้นมา เพื่อทำอะไรออกมาเป็นรูปธรรม
เนื่องจากสถาบันยานยนต์นั้นก็มีขีดจำกัดในเรื่องของการทำงานเหมือนกัน
จะให้กระทรวงอุตสาหกรรมทำก็ยาก เพราะมีงานมากไม่ได้ดูแลเฉพาะยานยนต์เพียงอย่างเดียว
หรือจะให้สภาพัฒน์ ก็ทำได้เพียงแค่วางแผน ไม่สามารถดำเนินงานได้
ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาตินั้นจะต้องเกิด
ถ้าจะให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 4 ของอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
ฟอร์มูลา :
คนที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาติก็จะเป็นกลุ่มคนที่ทำงานกับบริษัท
รถยนต์อยู่แล้วจะเกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์กันหรือไม่ ?
อัจฉรินทร์ : คณะกรรมการจะเป็นคนกลาง เป็นสำนักงานกลาง ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับบริษัทรถยนต์
แต่อาจจะเกี่ยวก็ได้หากใครต้องการที่จะทำงาน ก็ต้องลาออกจากบริษัทรถยนต์ก่อน
คือเปลี่ยนหมวกไปเลย เพราะส่วนนี้เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
อดิศักดิ์ โรหิตะศุน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
โปรย
"ด้านรถยนต์ปัจจัยอย่างหนึ่งคือต้องมีตลาดภายในเข้มแข็ง ตัวที่จะกระตุ้นตลาดคือสินค้าตัวไหน
และเมื่อกระตุ้นในประเทศแล้วต้องกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วย คือต้องหานีชโพรดัคท์ที่อื่นๆ ไม่มี
และเมืองไทย นั่นคือ พิคอัพ เราก็มองว่าจะทำอย่างไรให้พิคอัพของไทยเก่งขึ้น ให้เป็นแชมเพียนขึ้นมา"
ฟอร์มูลา : บทบาทและหน้าที่ของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีอะไรบ้าง
และได้วางแนวทางสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไว้อย่างไร ?
อดิศักดิ์ : บทบาทของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาชิกจะมีทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบ
ซึ่งจะเห็นว่าเป็นองค์กรเดียวที่มีทั้งผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน เข้ามาอยู่ด้วยกัน
ก็น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในภาครวม อะไรที่เกี่ยวกับรถยนต์ล้วนๆ
ก็คงเป็นของกลุ่ม อะไรที่เป็นชิ้นส่วนก็คงเป็นกลุ่มชิ้นส่วน หรือสมาคมชิ้นส่วน
หลังจากที่ผมได้รับตำแหน่งนายกสมาคม ฯ ก็หารือกับคณะกรรมการสมาคม ฯ
ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เจริญเติบโตแบบยั่งยืน เพราะดูแล้วอุตสาหกรรมยานยนต์
โอกาสเกิดแบรนด์ใหม่คงยาก มีแต่จะค่อยๆ หายไป กลายเป็นบริษัทต่างๆ รวมกัน
แล้วก็จะมีความแข็งแกร่งมากๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอเมริกัน ยุโรป ญี่ปุ่น
ถ้าเขาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิต ไม่ใช่ฐานการประกอบ
40 กว่าปีที่มาลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตก็มีมาก แต่ที่มาใช้เป็นฐานการประกอบก็มี
ถ้าทำให้เขาเชื่อมั่น และใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิต ก็จะทำให้สิ่งที่ได้ลงทุนไปในอดีต
สามารถนำไปใช้ประโยชน์กับประเทศไทย สังคม เศรษฐกิจ ได้ในอนาคต
นั่นคือความพยายามที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุน บริษัทเหล่านี้เข้ามา
และที่เข้ามาแล้วก็ฝังรากหยั่งลึกลงไป สิ่งเหล่านี้คงต้องมีปัจจัย เพราะเขามีสิทธิ์เลือกที่ใดที่หนึ่ง
เราก็พยายามดูว่าปัจจัยที่เลือกนั้นมีอะไรบ้าง โดยดูจากปัจจัยที่ 1. ตลาด 2.
การสนับสนุนด้านอุตสาหกรรม และสุดท้ายเรื่องการวางแผนงานระยะยาว
และสำคัญที่สุดคือการสนับสนุนจากภาครัฐ บรรยากาศในประเทศไทยที่จะต้อนรับการเข้ามาลงทุน
นั่นคือสิ่งที่เราต้องพยายามผลักดัน สนับสนุน ชี้นำ
ให้กับคนที่มีอำนาจความรับผิดชอบในส่วนนั้นร่วมกัน
ตลาดในประเทศไทยอีก 5 ปีข้างหน้ายังไม่ถึง 1 ล้านคัน
ซึ่งก็ยังไม่ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย หรือจีน
การที่จะทำให้เมืองไทยเป็นที่น่าดึงดูด ก็จะมีเรื่องของอาเซียน ซึ่งถ้ารวมกันเป็นตลาดเดียว
แล้วเจ้าของแบรนด์จะเจาะเข้ามาก็ต้องผ่านประเทศใดประเทศหนึ่ง
และประเทศไทยเป็นประตูให้กับเจ้าของแบรนด์ผ่านเข้ามาในอาเซียนได้
ประเทศไทยก็จะมีโอกาสค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเราก็อยากสนับสนุน ผลักดัน
โครงการในอาเซียนให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผสมผสานตลาดนี้
เพราะที่ผ่านมามีบางประเทศยังไม่พร้อม และพยายามไม่เข้าร่วม หรือขอเลื่อนออกไป
ส่วนประเทศที่พร้อมเราก็อยากที่จะให้เดินหน้าต่อ และหลังจากที่เป็นตลาดเดียวกัน
สเปคของรถที่ใช้ในอาเซียนก็น่าจะเป็นสเปคเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในด้านปริมาณ
และอีกอย่างประเทศในแถบนี้ก็มีภูมิอากาศร้อนเหมือนกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะทำให้แตกต่างกัน
นั่นคือแผนในระยะ 2 ปีนี้ที่จะต้องผลักดัน
สุดท้ายเรามีผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในสมาคม ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในอาเซียนของเราเข้มแข็งที่สุด ณ ปัจจุบัน
แต่กับสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เรื่องการแข่งขันเสรี
ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีหลายอย่างที่ต้องพัฒนาเพิ่มมากขึ้น โดยสมาคม ฯ เข้าไปช่วยเหลือส่วนหนึ่ง เช่น
ให้ความรู้ ในเรื่องข่าวสารข้อมูล ที่น่ารู้เพื่อให้เขาตื่นตัว
ฟอร์มูลา : ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ควรจะไปทิศทางใด ?
อดิศักดิ์ : รัฐบาลที่ผ่านมาใช้วิธีคิดเองหรือเอาเอกชนไปร่วมคิดบ้าง แล้วกำหนดนโยบายออกมา
แต่รัฐบาลนี้ค่อนข้างมีแนวทางการทำงานที่แปลกออกไป
โดยให้เอกชนคิดก่อนว่าพวกเราอยากเห็นอนาคตเป็นอย่างไร ถ้าอยากเห็นประเทศไทย
เป็นประเทศที่ผู้ผลิตรถยนต์สำคัญของโลกให้ความเชื่อมั่น เข้ามาผลิตไม่ได้มาประกอบ
ซึ่งจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ มีการจ้างงาน มีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเกิดขึ้น
รายได้จากอุตสาหกรรมชิ้นส่วน จากอุตสาหกรรมยานยนต์
ก็จะไม่ได้รองรับเฉพาะไทยอย่างเดียวแต่จะส่งเสริมไปในเรื่องของการส่งออกด้วย
ทำให้ได้ทั้งเงินตราต่างประเทศ เทคโนโลยี การจ้างงาน ที่จะไปเสริมสร้างเศรษฐกิจของเรา
ที่ตั้งเป้าไว้คงจะเริ่มเห็นในปี 2549 ถ้าดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย นั่นคือปีเริ่มต้น
ซึ่งถ้าเราทำดีไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ฟอร์มูลา : เป้าหมายหลักที่วางไว้มีอะไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : ทางด้านรถยนต์ปัจจัยอย่างหนึ่งคือต้องมีตลาดภายในเข้มแข็ง
ตัวที่จะกระตุ้นตลาดคือสินค้าตัวไหน และเมื่อกระตุ้นในประเทศแล้วต้องกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วย
คือ ต้องหานีชโพรดัคท์ที่อื่นๆ ที่ไม่มี และเมืองไทย นั่นคือ พิคอัพ
เราก็มองว่าจะทำอย่างไรให้พิคอัพของไทยเก่งขึ้น ให้เป็นแชมเพียนขึ้นมา
และสามารถขยายผลได้มากขึ้น เราต้องทำอะไรบ้าง
อันดับแรกที่ต้องทำคือต้องผ่อนคลายกฎระเบียบในการเอารถพิคอัพไปทำเป็นอนุพันธ์ต่างๆ ขึ้นมา
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งตลาดอาเซียนทำให้ไทยเป็นฐาน เป็นประตู ในเรื่องชิ้นส่วนที่ต้องทำกันค่อนข้างมาก
ขณะนี้ถ้าเป็น โออีเอม คุณภาพนั้นใช้ได้แล้ว แต่ อาร์อีเอม คิดว่าคงยังขาดในเรื่องคุณภาพอยู่
และอาร์อีเอม ไม่สามารถรับรองคุณภาพด้วยตัวเองได้ โออีเอม ติดแบรนด์ขายได้
ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไร ส่วน อาร์อีเอม ไปติดแบรนด์แล้วไม่เป็นที่รู้จัก
ในเรื่องของศูนย์ทดสอบเป็นสิ่งที่คิดว่าจำเป็น กำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำอย่างไร ใครจะรับผิดชอบ
ดูแลกันอย่างไร ศูนย์นี้จะมาช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนในเรื่องการพัฒนา
ด้านคุณภาพ ต้องลงทุนสูง การทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีขีดความสามารถมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตลาด การลดต้นทุน การขนส่ง
เราคงเข้าไปช่วยเหลือผู้ผลิตชิ้นส่วนแต่ละรายไม่ได้ คงต้องให้ศึกษาและพัฒนากันเอง
หรือใช้ระบบการรวมตัวกัน โดยนำคนที่เก่งคนละอย่างมาช่วยกัน
ขณะเดียวกันองค์กรที่ห้อมล้อมธุรกิจนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย วิศวกร ต้องเข้ามาร่วมมือกัน
นอกจากนี้เรื่องการพัฒนาบุคลากร ที่ผ่านมาเราอาจจะถูกใช้เป็นฐานการประกอบ
บริษัทที่มาลงทุนนั้นคาดหวังค่าแรงถูก ไม่ได้คาดหวังในเรื่องของแบรนด์ เครือข่าย
จากนี้ไปคงต้องพัฒนาในเรื่องของบุคลากร ให้มีแรงงาน ฝีมือ สติปัญญา มากขึ้น
ฟอร์มูลา : การที่คุณเป็นทั้งผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ และเป็นนายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
มีปัญหาอย่างไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : อุตสาหกรรมนี้เป็นทรัพย์สินที่มีค่าของสังคม เราในฐานะคนๆ หนึ่งที่มีความรู้บ้าง
กับบริษัทในฐานะลูกจ้างก็ต้องทำ กับสังคมก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่อยากทำให้
ซึ่งแต่เดิมก็ทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ อุปนายก เลขาธิการ ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นนายกสมาคม ฯ
ซึ่งพอเป็นแล้วก็ต้องรับผิดชอบเต็มตัว ก็ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท มีการคุยกับท่านประธาน
ว่าจะเข้ามา ท่านก็ตกลง
ถ้าหากมีความสามารถพอที่จะเข้าไปพัฒนาเสริมสร้างอะไรที่ดีขึ้นก็ยินดี
เพราะหากว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโต ฮอนดา ก็จะเติบโตไปด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ
เพียงแต่เลือกสวมหมวกให้ถูกเวลาเท่านั้นก็พอ
วัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์
โปรย
"สถาบันยานยนต์ ต้องผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ให้แข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก
และอุตสาหกรรมจะโตหรือไม่โตขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องเข้มแข็ง
เพราะหากใหญ่เกินไปอาจพังง่าย เราต้องค่อยๆ โตแบบเข้มแข็ง"
ฟอร์มูลา : บทบาทและหน้าที่ของสถาบันยานยนต์ไทยคืออะไร ?
วัลลภ : สถาบันยานยนต์ไทยจัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี
2541โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดตั้งเพื่อดำเนินกิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ใ
ห้มีขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีการค้าโลก
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของสถาบันยานยนต์คือช่วยเหลือและพัฒนาส่งเสริมภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง
ยานยนต์
ฟอร์มูลา : เป้าหมายของสถาบันยานยนต์วางไว้อย่างไร ?
วัลลภ : เป้าหมายของสถาบัน ฯ เกิดขึ้นจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกำหนดหน้าที่ไว้ 4 ข้อ คือ 1.
ศึกษาวิจัย และเสนอแนะแนวทาง แผนกลยุทธ์ และมาตรการในอุตสาหกรรม เพื่อเสนอให้รัฐบาล เช่น
การทำแผนแม่บทให้มีทิศทาง และวิสัยทัศน์ร่วมกับภาครัฐ เอกชน เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกัน
โดยการร่วมกลุ่มธุรกิจเข้ามาเพื่อวางแผน ให้มีเป้าหมาย จุดประสงค์ กลยุทธ์ ให้เป็นที่ยอมรับ 2.
สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
เหมือนกับเป็นส่วนประสานงานให้กับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใด
เพื่อสนับสนุนให้งานบรรลุเป้าหมาย 3. ประสานและร่วมมือกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ
ระหว่างรัฐกับรัฐ เอกชนกับเอกชน เอกชนกับสถาบันการศึกษา ประสานความร่วมมือกัน เช่น ญี่ปุ่น
สหรัฐ ฯ และ4. ให้บริการแก่ผู้ประกอบการด้านข้อมูล ให้บริการจัดซื้อ จัดหา การตรวจสอบผลิตภัณฑ์
การฝึกอบรม การพัฒนาและทดลองทักษะ ฝีมือ ที่ผ่านมามีการอบรมคนมากว่า 40,000 คน 130 วิชา
ซึ่งเราจัดให้มีการฝึกอบรม โดยใช้โรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีอยู่ เป็นสถานที่ในการฝึกอบรม
เพื่อส่งบุคลากรไปยังโรงงานต่างๆ กว่า 600 โรงงาน ศูนย์ทดสอบของสถาบันยานยนต์
เป็นศูนย์ทดสอบที่ได้รับมอบหมายมาจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม (สมอ.)
กระทรวงอุตสาหกรรม เราจึงต้องทำการทดสอบให้กับหน่วยงานของ สมอ. เป็นคนควบคุมมาตรฐาน
ไม่ใช่เฉพาะยานยนต์เท่านั้น ซึ่งศูนย์ทดสอบนี้ก็มีการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท
แต่จริงๆ แล้วหน้าที่หลักคือ ผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ให้แข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก
และอุตสาหกรรมจะโตหรือไม่โต ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องเข้มแข็ง
เพราะหากใหญ่เกินไปอาจพังง่าย เราต้องค่อยๆ โตแบบเข้มแข็ง
นี่คือเป้าหมายของการพัฒนาแบบยั่งยืน ที่มีทั้งความรู้ ความมั่นคง ซึ่งได้มีการวางวิสัยทัศน์
หรือทิศทางการดำเนินการว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยให้มีศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้
น และให้อยู่ในระดับโลกได้
ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้จนถึงปัจจุบันก็ได้มีผลออกมาถึงระดับหนึ่งว่ารถยนต์ในประเทศไทยได้มีการขายไป
สู่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่เราจะสามารถส่งรถยนต์ออกไปขายประเทศอื่นได้
แสดงว่าเราต้องมีทั้งคุณภาพและต้นทุนที่สู้กับเขาได้ แต่ปัจจุบันนี้เราเองก็มีการพัฒนา คือ
พยายามใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ฟอร์มูลา : ปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศประมาณกี่เปอร์เซนต์ ?
วัลลภ : สำหรับรถพิคอัพ จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 70-80 % แล้วแต่รุ่น
ส่วนรถเก๋งจะเฉลี่ยอยู่ประมาณ 40-50 % แต่ถ้าเป็นรุ่นยอดนิยมก็จะใช้ประมาณ 60 %
ฟอร์มูลา : สำหรับเรื่องการแข่งขันกับต่างประเทศมีเป้าหมายอย่างไร ?
วัลลภ : จากการทำแผนแม่บทมองเห็นแล้วว่าตลาดควรจะไปในทิศทางใด
เพราะจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น
บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/656