X
Driven
Driving Impression
Test Drive
Test Drive Data
New Cars
รถใหม่ในประเทศ
รถใหม่ต่างประเทศ
News
ข่าวรอบโลก
ข่าวสารยานยนต์
All Around
เครื่องเสียง/Gadgets
แต่งรถ
ดูแลรักษารถยนต์
สาระสะใจ
วาไรตี้ยานยนต์
สถิติยอดจำหน่ายรถยนต์
TV Programs
รายการ โลกรถยนต์
รายการ Carnatomy
รายการ พี่น้องลองรถ
รายการ เรื่องรถ…เรื่องง่าย
รายการ คุณลุงใจดี
About Autoinfo
About Us
Advertise With Us
Privacy Policy
Terms of use
Car Buyer's Guide
ติดตามเราได้ทาง
X
Popular search in Autoinfo
50,000+ contents and images from writers
#1
Deepal S07
Hilux Champ
BYD Seal
BYD
NETA
TATA
หัวชาร์จรถ EV
รถกระบะ
ยอดขายรถยนต์
ราคารถยนต์
รถ EV
เปิดตัวรถใหม่
วิธีไหว้แม่ย่านาง
ฤกษ์ออกรถใหม่
พ่วงแบทเตอรี
วิธีดูแลรักษารถยนต์
ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์
เทคนิค
19 Jan 2015
ล้างความเชื่อ เครื่องใหญ่ถึงได้เปรียบ !
ค่านิยมเป็นเรื่องที่ยากจะเปลี่ยนแปลง เพราะมันฝังลึกอยู่ในส่วนลึกของความต้องการ ว่าอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ค่านิยมที่ฝังหัวไปแล้วจึงกลายเป็นเรื่องยากในการเปลี่ยนแปลง ลองสำรวจตัวเองว่าเคยเปิดรับอะไรใหม่ๆ โดยไม่มีอคติบ้าง โดยเฉพาะความเคยชิน และสิ่งที่ปฏิบัติมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน, การแต่งกาย, อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์นี่ มีค่านิยมผิดๆ มากมาย เช่น ซื้อรถก็ต้องซื้อรุ่นทอพ แต่ไม่ค่อยได้ใช้ออพชันที่ให้มา ซื้อรถรุ่นทอพเพียงเพราะเครื่องใหญ่และแรงกว่า แต่ความเป็นจริงแล้วขับแค่ 90-120 กม./ชม. แถมมาบ่นอีกว่ากินน้ำมัน ซื้ออีโคคาร์เพราะต้องการรถราคาถูก และประหยัด แต่ดันเลือกรุ่นทอพที่ราคาเบียดรถกลุ่มซับคอมแพคท์ เลือกรถ ไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่นทอพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเครื่องยนต์ คนไทยมักมีค่านิยมในการเลือกซื้อรุ่นเครื่องยนต์ใหญ่ๆ ไว้ก่อน ชอบอกว่าแรงกว่า ขับสนุกกว่าหรือไม่ ก็เผื่อไว้เร่งแซงจะได้ปลอดภัย ฯลฯ ในกลุ่มรถกระบะมักจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2-3 รุ่น ในกลุ่มดีเซลมักจะมีเครื่องยนต์ 2.5-2.8 ลิตร เป็นรุ่นเริ่มต้น แล้วก็เครื่องยนต์ 3.0-3.2 ลิตร ในรุ่นทอพ มีเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยที่กัดฟันไปซื้อเครื่องยนต์ความจุมากๆ โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย วันนี้เรามาดูการเปลี่ยนแปลงของโลกกันบ้าง ว่าพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกันไปถึงไหนแล้ว จะว่าไปแล้วค่านิยมเหล่านี้เราก็ติดมาจากฝั่งยุโรปไม่น้อย เพราะรถรุ่นเดียวกันมักจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตั้งแต่ 2.0-3.2 ลิตร ส่วนรถญี่ปุ่นยุคก่อนนี้จะเน้นเครื่องเล็กมากกว่า รถบางรุ่นมีเครื่องที่เหมาะสม อย่างเช่น 1.6 ลิตร แต่ก็ทำเครื่องเล็กราคาประหยัด เช่น เครื่อง 1.3 ลิตร ออกมาด้วย แต่บ้านเราไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก จนช่วงหลังรถที่เหมาะกับเครื่อง 1.6 ลิตร ต้องขยายความจุเป็น 1.8 ลิตร แล้วก็ต้องมีเครื่อง 2.0 ลิตร อีกต่างหาก พอซื้อไปใช้ก็มาเรียกร้องหาความประหยัดกัน เครื่องเล็กทั้งแรง และประหยัด ช่วงหลายปีมานี้ ฝั่งยุโรปเองก็หันมาใช้เครื่องที่มีความจุเล็กลงเรื่อยๆ อย่างรถที่เคยใช้เครื่อง 2.0-2.5 ลิตร ก็หันมาใช้เครื่อง 1.6-1.8 ลิตร แต่พ่วงระบบอัดอากาศเข้าไป มีทั้งการใช้เทอร์โบชาร์จ และซูเพอร์ชาร์จ กำลังที่ได้ก็มากกว่าเครื่องความจุมากๆ แต่ไร้ระบบอัดอากาศ มีหลายประเด็นที่ต้องทำเครื่องยนต์ให้เล็กลง อย่างแรก คือ เรื่องของเทคโนโลยีในการออกแบบ และผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ผลิตชิ้นส่วนเล็กๆ แต่มีความทนทานสูงได้ เมื่อนำระบบอัดอากาศเข้ามาใช้ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องของความทนทาน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้เครื่องเล็กมีกำลังเท่ากับเครื่องใหญ่ เครื่องเล็กน้ำหนักเบามากขึ้น ทำให้การออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ ทำได้ง่าย และลดต้นทุนได้มากขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องของมลพิษที่เข้มงวด ทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงซึ่งมาพร้อมๆ กันหลายอย่าง จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เครื่องเล็กได้เปรียบกว่า เครื่อง 3 สูบ อนุกรม DRIVE-E โวลโว เป็นอีกค่ายหนึ่งที่พัฒนาเครื่องยนต์ให้เล็กลงมาเรื่อยๆ แต่มีสมรรถนะสูง ล่าสุดพัฒนาเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องยนต์ตระกูล DRIVE-E แบบ 4 สูบ ที่นำเข้าประจำการในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นนี้ นอกจากเรื่องของสมรรถนะแล้ว เรื่องมลพิษก็จัดได้ว่าล้ำหน้าไปมาก เป็นเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้หมดจด ไอเสียที่ออกมามีมลพิษต่ำในระดับ ยูโร 7 เครื่องยนต์ 3 สูบต้นแบบที่กำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้ จะมีสมรรถนะสูงกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบเสียอีก ข้อดีของเครื่องยนต์ 3 สูบมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำหนักที่เบา มีชิ้นส่วนน้อย ต้นทุนจึงถูกลง และการบำรุงรักษาก็ต่ำกว่า เครื่องยนต์ตัวใหม่แบบ 3 สูบนี้ อยู่ในอนุกรมของเทคโนโลยี DRIVE-E ที่จะใช้พแลทฟอร์มใหม่ในชื่อ CMA (COMPACT MODULAR ARCHITECTURE) แน่นอนว่าเครื่องยนต์จะถูกนำไปใช้ในรถหลายๆ รุ่น ดังนั้นเครื่องยนต์จะมีการทูนอัพให้เหมาะกับรถรุ่นต่างๆ โดยจะแบ่งช่วงกำลังของเครื่องยนต์เป็นหลายช่วงตามความเหมาะสมของตัวรถ ซึ่งเครื่องยนต์ 3 สูบนี้สามารถทูนอัพให้มีกำลังสูงสุด จะมีให้ใช้ถึง 180 แรงม้า ส่วนความจุกระบอกสูบจริง อาจจะอยู่ในช่วง 1.2-1.5 ลิตร เมื่อนำมาวางในรถที่ขายจริงก็จะทำให้เป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงม้า/ลิตรสูง ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เมื่อเห็นการพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว เราในฐานะผู้บริโภคควรจะต้องเปลี่ยนค่านิยมกันใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยนะครับ
อ่านต่อ
เรื่องโดย : พหลฯ 30 4wheels@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2558
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ :
https://www.autoinfo.co.th/archive/34169
แชร์บทความ
Follow autoinfo.co.th