ทั่วไป
ญี่ปุ่น-หลังจากเป็นข่าวระแคะระคายมานานเดือน และปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของรถแนวคิดมาแล้วหลายครั้ง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี่เอง ยักษ์เล็กเมืองยุ่นก็ทำให้การรอคอยของคนรักรถขนาดเล็กสิ้นสุดลง โดยเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถเก๋งติดป้ายชื่อ มาซดา เดมีโอ (MAZDA DEMIO) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) พร้อมประกาศยืนยันว่าโรงงานในประเทศญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองยามากูชิ (YAMAGUCHI) ได้เริ่มการผลิตรถรุ่นใหม่นี้ไปแล้ว แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วง หรือไตรมาสสุดท้ายของปีนั่นแหละ จึงจะเริ่มการจำหน่ายในญี่ปุ่น
MAZDA DEMIO/MAZDA 2 เปิดตัวและเริ่มการผลิตแล้วในญี่ปุ่น มีทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล
ญี่ปุ่น-หลังจากเป็นข่าวระแคะระคายมานานเดือน และปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของรถแนวคิดมาแล้วหลายครั้ง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี่เอง ยักษ์เล็กเมืองยุ่นก็ทำให้การรอคอยของคนรักรถขนาดเล็กสิ้นสุดลง โดยเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถเก๋งติดป้ายชื่อ มาซดา เดมีโอ (MAZDA DEMIO) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) พร้อมประกาศยืนยันว่าโรงงานในประเทศญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองยามากูชิ (YAMAGUCHI) ได้เริ่มการผลิตรถรุ่นใหม่นี้ไปแล้ว แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วง หรือไตรมาสสุดท้ายของปีนั่นแหละ จึงจะเริ่มการจำหน่ายในญี่ปุ่น
ในระยะแรก มาซดา เดมีโอ (MAZDA DEMIO) รุ่นล่าสุดนี้ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับรถรุ่นเดิมที่ในตลาดนอกญี่ปุ่น รวมทั้งในประเทศไทยใช้ชื่อ มาซดา 2 (MAZDA 2) จะมีตัวถังเพียงแบบเดียว เป็นตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค/5 ที่นั่ง ซึ่งยาว 4.060 ม. กว้าง 1.500 ม. และสูง 1.500-1.525 ม. คือ กว้างเท่าเดิมแต่ยาวกว่ารถรุ่นเดิมถึง 16.0 ซม. รูปทรงองค์เอวของตัวถังซึ่งออกแบบในญี่ปุ่นโดยได้รับข้อมูลจากทีมงานทั้งในเยอรมนี และในสหรัฐอเมริกา เห็นได้ชัดว่าแทบไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากรถแนวคิดติดป้ายชื่อ
มาซดา ฮาซูมิ (MAZDA HAZUMI) ซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 84 เมื่อต้นเดือนมีนาคมปีนี้ ยกเว้นชิ้นส่วนย่อยเพียงบางชิ้นเท่านั้นที่ออกแบบขึ้นใหม่ เช่น ดวงโคมไฟหน้า กระจกมองข้าง มือจับเปิดประตู และกระทะล้อ นอกจากนั้น เนื่องจากรถรุ่นใหม่นี้มีช่วงฐานล้อยาวกว่ารถรุ่นเดิมถึง 8.0 ซม. (ขยายจาก 2.490 เป็น 2.570 ม.) จึงเชื่อได้ว่าห้องโดยสารน่าจะกว้างขวางขึ้น และผู้โดยสารบนเบาะหลังจะนั่งยืดแข้งยืดขาได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
นับเป็นรถใหม่แบบที่ 4 ถัดจากรถ มาซดา ซีเอกซ์-5 (MAZDA CX-5) มาซดา 6 (MAZDA 6) และ มาซดา 3 (MAZDA 3) ที่เป็นผลลัพธ์ของแนวทางออกแบบที่ตั้งชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า KODO และใช้เทคโนโลยี SKYACTIV ซึ่งกำลังเป็นจุดขายสำคัญของรถญี่ปุ่นยี่ห้อนี้ เป็นรถเก๋งขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่ผู้ผลิตกล่าวอ้างในเอกสารประชาสัมพันธ์ว่า ให้ประโยชน์ใช้สอยและคุณค่าที่เกินความคาดหวังใดๆ ที่พึงมีต่อรถระดับนี้
ในตลาดญี่ปุ่น รถรุ่นใหม่นี้จะมีทั้งแบบขับล้อหน้า แบบขับทุกล้อ และจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,298 ซีซี 68 กิโลวัตต์/92 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,498 ซีซี 77 กิโลวัตต์/105 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ยักษ์เล็กเมืองยุ่นนำรถติดป้ายชื่อ มาซดา เดมีโอ/มาซดา 2 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1996 และก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้ไปแล้วรวม 2 ครั้ง ในปี 2002 และ 2007 เมื่อนับจนถึงเดือนกรกฎาคมของปีม้าพยศ รถเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดแบบนี้ทำยอดขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วประมาณ 2.4 ล้านคัน
VOLKSWAGEN PASSAT/VOLKSWAGEN PASSAT VARIANT เปิดตัวรถรุ่นใหม่แล้วในเยอรมนี ตัวถังกว้างขึ้นห้องโดยสารนั่งสบายขึ้น
เยอรมนี-ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองเบียร์ ใช้ศูนย์ออกแบบซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองพอทส์ดัม (POTSDAM) ในเยอรมนีเป็นที่เปิดตัวรถ โฟล์คสวาเกน พาสสัท (VOLKSWAGEN PASSAT) รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 8 พร้อมประกาศว่าไตรมาสสุดท้ายของปีม้าพยศนี้จะเริ่มออกโชว์รูม และเริ่มเปิดรับการสั่งจองไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2010 รถรุ่นล่าสุดนี้มีตัวถังให้เลือกใช้รวม 2 แบบ คือ ตัวถัง 4 ประตูซีดาน/5 ที่นั่ง ซึ่งยาว 4.767 ม. กว้าง 1.832 ม. และสูง 1.456 ม. คือ สั้นลง 0.2 ซม. กว้างขึ้น 1.2 ซม. เตี้ยลง 1.4 ซม. เมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิม และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์/5 ที่นั่ง ซึ่งในเยอรมนีมีชื่อเฉพาะว่า โฟล์คสวาเกน พาสสัท วาเรียนท์ (VOLKSWAGEN PASSAT VARIANT) ตัวถังทั้ง
2 แบบนี้ผู้ผลิตกล่าวโดยรวมว่า เป็นผลพวงของเทคโนโลยีการออกแบบอันก้าวล้ำนำสมัยที่เคยใช้มาก่อนแล้วในรถ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) รุ่นล่าสุด เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้รถรุ่นใหม่นี้มีน้ำหนักตัวเบาขึ้นถึง 85 กก. เมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิม
นักวิจารณ์รถยนต์บางคนในยุโรปให้ความเห็นว่า รายละเอียดในส่วนของตัวถังภายนอกนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบในลักษณะวิวัฒน์ ไม่ใช่ปฏิวัติ ส่วนรายละเอียดภายในห้องโดยสารก็เห็นได้ชัดเช่นกันว่าเป็นความพยายามในการยกระดับรถรุ่นใหม่นี้ เพื่อสู้กับรถระดับพรีเมียมอย่าง บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) และ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS) ไม่ใช่กับ ฟอร์ด มนเดโอ (FORD MONDEO) เหมือนรุ่นก่อนๆ
มีทั้งแบบขับล้อหน้าและแบบขับทุกล้อ ส่วนเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลายถึง 10 ขนาด มีทั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงและเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ที่ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า ไปจนถึง 206 กิโลวัตต์/280 แรงม้า ที่น่าสนใจและไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถอนุกรมนี้ คือ ระดับขับไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า และสามารถวิ่งได้ไกล 50 กม. เมื่อใช้พลังไฟของแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว
รถที่ขายในเยอรมนีแบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส TRENDLINE COMFORTLINE HIGHLINE สนนราคาค่าตัวของรถซีดานเริ่มต้นที่ 25,875 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1,165,000 บาทไทย ส่วนรถตรวจการณ์ค่าตัวแพงแพงกว่ากันนิดหน่อย คือ เริ่มต้นที่ 26,950 ยูโร หรือประมาณ 1,213,000 บาทไทย
โฟล์คสวาเกน พาสสัท รวมทั้งรถแบบเดียวกันแต่ติดป้ายชื่ออื่นๆ นับเป็นรถขายดีที่สุดของค่าย โฟล์คสวาเกน ในรอบปี 2013 รถอนุกรมนี้มียอดขายในตลาดทั่วโลกสูงถึง 1.1 ล้านคัน
SMART FORTWO/SMART FORFOUR เปิดตัวแล้วพร้อมๆ กันที่กรุงเบร์ลิน เริ่มจำหน่ายเดือนพฤศจิกายน
เยอรมนี-เป็นข่าวโด่งดังน้องๆ ข่าวการคว้าตำแหน่งแชมพ์โลกสมัยที่ 4 ของทีมฟุตบอลอินทรีเหล็ก คือข่าวการเปิดตัวรถจิ๋ว สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) และ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ (SMART FORFOUR) รุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ซึ่งต้องรอจนถึงเดือนพฤศจิกายนของปีม้าพยศนี้จึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองแม่
รถใหม่ทั้ง 2 แบบดังที่กล่าวนี้ นับเป็นผลพวงจากความร่วมมือกับค่าย เรอโนลต์ (RENAULT) ของฝรั่งเศส และใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มขับล้อหลังร่วมกับรถ เรอโนลต์ ทวิงโก (RENAULT TWINGO) รุ่นล่าสุด โดยที่ สมาร์ท ฟอร์ทู ซึ่งเป็นรถจิ๋วที่ออกแบบให้นั่งได้เพียง 2 คนตามชื่อ นับเป็นรถรุ่นที่ 3 ส่วน สมาร์ท ฟอร์โฟร์ ซึ่งนั่งได้รวม 4 คนตามชื่อเช่นกันเป็นรถรุ่นที่ 2 ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งมีต้นกำเนิดจากบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาแฟชันของเมืองสวิสส์ และปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในร่มเงาของค่าย "ดาวสามแฉก" เคยทำรถติดป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ มาแล้ว 1 รุ่น เป็นผลงานจากความร่วมมือกับค่าย มิตซูบิชิ (MITSUBISHI) ของญี่ปุ่น และอยู่ในตลาดในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 3 ปี คือ 2004-2006 เพราะยอดขายเข็นยังไงก็เข็นไม่ขึ้น
สมาร์ท ฟอร์ทู ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง มีตัวถังยาว 2.695 ม. และสูง 1.550 ม. เท่ากับรถรุ่นเดิม แต่ความกว้างเพิ่มขึ้นถึง 10.0 ซม. เป็น 1.660 ม. ทั้งนี้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัวเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนตัวถังของ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ กว้าง และสูงเท่ากันกับ สมาร์ท ฟอร์ทู แต่ความยาวเพิ่มขึ้น 79.5 ซม. เป็น 3.490 ม. ส่วนหน้าของรถใหม่ 2 แบบนี้เหมือนกันจนไม่มีอะไรผิดเพี้ยน แต่ส่วนท้ายกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะประตูบานท้าย เพราะแบบแรกติดตั้งประตูที่แยกเป็น 2 บาน ส่วนแบบหลังใช้ประตูท้ายแบบบานเดียว
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและพัฒนา รถใหม่ทั้ง 2 แบบนี้จึงมีแต่เครื่องยนต์เบนซินไม่มีเครื่องดีเซลเหมือนรถรุ่นก่อน โดยที่ในระยะแรกจะมีให้เลือกรวม 3 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน 3 สูบเรียง 999 ซีซี 45 กิโลวัตต์/60 แรงม้า หรือ 52 กิโลวัตต์/71 แรงม้า ของ มิตซูบิชิ กับเครื่องเทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 898 ซีซี 66 กิโลวัตต์/90 แรงม้า ของ เรอโนลต์ ส่วนระบบเกียร์มีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ที่จะมีให้เลือกใช้แต่ต้องรอจนกว่าจะถึงปี 2016 คือ ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ค่ายนี้กำลังร่วมกันพัฒนากับ เทสลา มอเตอร์ (TESLA MOTOR) ผู้ชำนัญการด้านรถไฟฟ้าของเมืองมะกัน
ทั้ง 2 แบบแบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ คือ PASSION PRIME PROXY เหมือนกัน แต่สถานที่ผลิตอยู่คนละที่กัน กล่าวคือ สมาร์ท ฟอร์ทู จะผลิตที่โรงงานของค่ายสมาร์ทซึ่งตั้งอยู่ในฝรั่งเศส แต่ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ จะผลิตที่โรงงานของ เรอโนลต์ ซึ่งอยู่ในประเทศสโลเวเนีย ยังไม่มีการประกาศค่าตัว แต่คาดหมายกันว่า รถที่นั่งได้เพียง 2 คน ค่าตัวคงจะเริ่มต้นที่ระดับ�13,500 ยูโร หรือประมาณ 607,000 บาทไทย ส่วนรถที่นั่ง 4 คน น่าจะแพงกว่ากันประมาณ 750 ยูโร หรือประมาณ 33,700 บาทไทย
OPEL CORSA ตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค เผยโฉมแล้วในเยอรมนี
เยอรมนี-ตลาดรถจิ๋วในทวีปยุโรปส่อเค้าความเข้มข้น เมื่อค่าย "สายฟ้า" เลือกช่วงเวลากลางเดือนกรกฎาคมของปีม้าพยศเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถแฮทช์แบค โอเพล โคร์ซา (OPEL CORSA) รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งตัวจริงเสียงจริงจะอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสซึ่งจะมีขึ้นในนครหลวงของฝรั่งเศสตอนต้นเดือนตุลาคมนี้
เช่นเดือนกับรถรุ่นเดิมที่อยู่ในตลาดมายาวนานถึง 8 ปี โอเพล โคร์ซา รุ่นใหม่จะมีตัวถังให้เลือกใช้รวม 2 แบบ คือตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค ที่มีขนาดใกล้เคียงกันมากกับรถรุ่นเดิมในทุกมิติ ทั้ง 2 แบบเป็นตัวถังที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่กันชนหน้าจรดกันชนท้าย ชิ้นส่วนตัวถังภายนอกทุกชิ้นล้วนทำขึ้นใหม่ ชิ้นส่วนในห้องโดยสารที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คนก็เช่นกัน มีก็แต่พแลทฟอร์มเท่านั้นที่ตกทอดมาจากรถรุ่นเก่า แต่ก็ได้รับการปรับปรุงเป็นอย่างดีเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะการขับขี่ของรถรุ่นใหม่
นิตยสารรถยนต์ฉบับหนึ่งของยุโรประบุว่า ในการออกแบบ/พัฒนารถรุ่นใหม่นี้ ในด้านสมรรถนะการเลี้ยวค่าย "สายฟ้า" ใช้รถ ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) เป็นบรรทัดฐาน แต่ในด้านสมรรถนะการขับขี่เป้าหมายคือ โฟล์คสวาเกน โพโล (VOLKSWAGEN POLO) ผลลัพธ์ในบั้นปลายทีมงานออกแบบของค่าย "สายฟ้า" ยืนยันว่าสามารถทำได้ดีกว่ารถทั้ง 2 แบบนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อเริ่มออกโชว์รูมก่อนสิ้นปีม้าพยศ รถรุ่นใหม่นี้จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 5 ขนาด มีทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล อย่างไรก็ตามวิจารณ์กันในยุโรปว่า ที่น่าสนใจที่สุด คือ เครื่องยนต์ 1.0 ECOTEC ซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 3 สูบเรียง 1.0 ลิตร ที่ปรับแต่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้กำลังสูงสุด 66 กิโลวัตต์/85 แรงม้า กับแบบ 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า เชื่อกันว่าเครื่องนี้จะสู้กับเครื่อง 1.0 ECOBOOST ของค่าย ฟอร์ด ได้อย่างคู่คี่สูสี
ค่าย "สายฟ้า" เริ่มบรรจุรถจิ๋วติดป้ายชื่อ โอเพล โคร์ซา เข้าสู่สายการผลิตเมื่อปี 1982 และก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้ไปแล้วรวม 3 ครั้งเมื่อปี 1993, 2000 และ 2006 รถรุ่นล่าสุดนี้จึงนับได้ว่าเป็นรุ่นที่ 5 และก็เช่นเดียวกับรถรุ่นก่อนรถรุ่นใหม่นี้จะใช้โรงงานที่เมืองไอเซนัค (EISENACH) ในเยอรมนี และที่เมืองซาราโกซา (ZARAGOZA) ในสเปนเป็นที่ผลิต โอเพล โคร์ซา นับเป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดซูเพอร์มีนี หรือเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในทวีปยุโรป ในช่วงเวลา 32 ปีนับแต่การออกตลาดของรถรุ่นแรก รถอนุกรมนี้ขายในตลาดยุโรปไปแล้วประมาณ 12 ล้านคัน หรือเท่ากับปีละ 370,000 คัน โดยเฉลี่ย ในบางประเทศเช่นในอังกฤษรถแบบนี้จะติดยี่ห้อ วอกซ์ฮอลล์ (VAUXHALL)
TOYOTA FCV รถไฟฟ้าพลังไฮโดรเจน เริ่มขายในญี่ปุ่นเดือนเมษายนปีแพะ
สหรัฐอเมริกา-ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นซึ่งยืนยันว่าทำงานด้านแกสไฮโดรเจนมาแล้วยาวนานกว่า 20 ปี จุดประกายความหวังใหม่ โดยนำ โตโยตา เอฟซีวี (TOYOTA FCV) ในรูปลักษณ์ของรถตลาดสมบูรณ์แบบ ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งาน ASPEN IDEAS FESTIVAL ซึ่งมีขึ้นที่เมืองแอสเพน ในรัฐโคโลราโด ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่า เดือนเมษายน 2015 นี้จะเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นด้วยค่าตัวประมาณ 2.3 ล้านบาทไทย ส่วนในยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องรอฤดูร้อนของปีเดียวกัน เป็นรถไฟฟ้าในรูปลักษณ์ของรถซีดานขนาดกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้พลังไฟจากเซลล์เชื้อเพลิงหรือ FUEL CELL ที่ให้กำลังสูงประมาณ 135 แรงม้า และก่อเกิดพลังงานจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจน รถไฟฟ้าคันนี้จึงต้องติดตั้งถังไฮโดรเจนไว้ด้วยจำนวน 2 ถัง เมื่อเติมไฮโดรเจนเต็มถังแต่ละครั้งโดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 500 กม.
VOLKSWAGEN SCIROCCO รุ่นผ่านการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" เริ่มจำหน่ายแล้วในตลาดยุโรป
เยอรมนี-เริ่มออกโชว์รูมไปเรียบร้อยแล้วเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งในเมืองแม่ คือ เยอรมนีและอีกหลายประเทศในยุโรป คือ รถคูเปติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน ชีรคโค (VOLKSWAGEN SCIROCCO) ที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ในส่วนของตัวถังภายนอกความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนมีทั้งส่วนหน้าและส่วนท้ายของตัวรถ ตัวอย่าง คือ ดวงโคมไฟหน้าและไฟท้ายที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ในส่วนของเครื่องยนต์ซึ่งมีให้เลือกใช้รวม 6 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล สรุปได้อย่างรวดรัดว่า ให้กำลังสูงกว่าเครื่องยนต์ชุดเดิม (บางเครื่องสูงขึ้นถึง 20 แรงม้า) แต่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่าเดิม (บางเครื่องประหยัดขึ้นถึงร้อยละ 19) ส่วนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบกันมาก่อนในรถรุ่นเดิมแต่พบได้ในรถรุ่นใหม่นี้ก็มีอยู่หลายรายการ ตัวอย่าง คือ ระบบแก้ปัญหาจุดบอดที่มองไม่เห็น BLIND SPOT MONITOR SYSTEM และระบบช่วยนำรถเข้าจอดในที่แคบ PARK ASSIST SYSTEM
MERCEDES-BENZ S 65 AMG COUPE รถคูเปสุดหรูสุดแรงสุดเร็ว จะเริ่มออกโชว์รูมเดือนกันยายนนี้
เยอรมนี-เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ค่าย "ดาวสามแฉก" เอาอกเอาใจคนรักรถแรงเงินถุงเงินถังสตางค์แยะอย่างออกหน้าออกตา โดยการเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถคูเปโมเดลหัวกะทิติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 65 เอเอมจี คูเป (MERCEDES-BENZ S 65 AMG COUPE) พร้อมยืนยันว่า เดือนกันยายนนี้จะเริ่มนำออกโชว์รูมในเมืองเบียร์พร้อมกับป้ายค่าตัว 244,010 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 11.0 ล้านบาทไทย นับเป็นรถแรงแบบที่ 4 ของค่ายนี้ ที่เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าก็จะพบว่าเครื่องยนต์ที่อวดตัวอยู่เป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน SOHC วี 12 สูบ 5,980 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 463 กิโลวัตต์/630 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตัน-เมตร/102 กก.-ม. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT PLUS 7G-TRONIC สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
MINI COUNTRYMAN รุ่นผ่านการปรับปรุงช่วงกึ่งกลางชีวิต ออกขายแล้วในเมืองผู้ดี
อังกฤษ-หลังจากขายทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 350,000 คันนับแต่เริ่มออกตลาดเมื่อปลายปี 2010 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง มีนี คันทรีแมน รถแบบแรกของค่ายมีนีที่มีประตูข้าง 4 บาน ก็ได้รับการปรับปรุงอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MID-TERM REFRESH เป็นการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อยเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะการขับขี่ ลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งเพิ่มจำนวนรถจาก 10 เป็น 11 โมเดล เป็นรถขับล้อหน้า 7 โมเดล คือ MINI ONE COUNTRYMAN-MINI COOPER COUNTRYMAN-MINI COOPER S COUNTRYMAN-MINI JOHN COOPER WORKS COUNTRYMAN-MINI ONE D COUNTRYMAN_MINI COOPER D COUNTRYMAN-MINI COOPER SD COUNTRYMAN และเป็นรถขับทุกล้อ 4 โมเดล คือ MINI COOPER COUNTRYMAN ALL4-MINI COOPER S COUNTRYMAN ALL4-MINI COOPER D COUNTRYMAN ALL4-MINI COOPER SD COUNTRYMAN ALL4
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : ทั่วไป