ท่องเที่ยว
ดินแดนมหัศจรรย์
กลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งเทียบเชิญให้นิตยสาร 4 WHEELS ร่วมเดินทางในทริพคาราวานประวัติศาสตร์ เปิดประตูสู่เมียนมาร์ ซึ่งเราเป็นกองคาราวานจากบริษัทรถยนต์คณะแรก ที่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตพื้นเมืองของชาวเมียนมาร์ ก่อนที่จะถูกความศิวิไลซ์เข้ามาเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นครั้งที่ 2 ของเรา ที่มีโอกาสเดินทางเข้าเมียนมาร์ หลังจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราร่วมเดินทางไปกับคณะนักธุรกิจภาคเหนือ เข้าไปสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวและการค้า ครั้งนั้นเราปักธงเดินทางจากเมืองเชียงใหม่-เชียงราย มุ่งสู่เชียงรุ้ง และเชียงตุง ประเทศพม่า ในชื่อเดิม...ส่วนทริพนี้ มีอะไรเด็ด เราไปติดตามกัน
วันแรกหนีเมืองกรุง ไปเที่ยวแม่สอด
เริ่มต้นการเดินทางจากโชว์รูม มาสด้า เวิร์นส์ ฯ ริมถนนวิภาวดีรังสิต ขบวนรถพิคอัพ มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ 12 คัน ถูกจับจองเป็นพาหนะในการพาสื่อมวลชน จำนวน 30 คน ที่ร่วมผจญภัยไปเปิดโลกกว้าง พร้อมรถนำขบวนและทีมเซอร์วิศ อีก 3 คัน
เรามุ่งหน้าสู่ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 1 หรือสายเอเชีย ใช้เวลาวิ่งแบบไม่เร่งรีบ ไปแวะพักทานอาหารกลางวัน ที่ จ. กำแพงเพชร และเข้าสู่ อ. แม่สอด จ. ตาก ในช่วงเย็น รวมระยะทางกว่า 534.7 กม. ยกแรกเป็นการชิมลางแบบชิลล์ๆ
แม่สอดในปัจจุบัน แตกต่างและถูกพัฒนาให้มีความเจริญเทียบเท่า อ. เมือง เลยก็ว่าได้ อาจจะเพราะอยู่ติดด่านชายแดน ซึ่งเป็นแหล่งการค้า เลยทำให้ภาพลักษณ์ของ อ. แม่สอด ดูทันสมัยและมีวิถีที่ศิวิไลซ์ แตกต่างจาก 10 ปีที่แล้ว สินค้าจากฝั่งไทย เป็นที่นิยมของคนเมียนมาร์ ทำให้เราผูกขาดการค้ากับเมียนมาร์ มากถึง 90 % และมากกว่าสินค้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หลายเท่าตัว
วันที่สอง294.9 กม. จากแม่สอด สู่เมียวดี แวะนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน
เช้าวันนี้ เราตั้งต้นขบวนคาราวาน ออกเดินทางสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ. แม่สอด เพื่อยี่นเอกสารข้ามแดน บรรยากาศตอนเช้าคึกคักและเต็มไปด้วยฝูงชนชาวเมียนมาร์ ที่แห่เข้ามาขายแรงงาน บรรดาพ่อค้าแม่ค้า คึกคักมากเป็นพิเศษ สังเกตได้จากการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออก ที่เนืองแน่นและเบียดเสียด
หลังผ่านขั้นตอนการยื่นเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เราข้ามแม่น้ำเมย เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเมียวดี ซึ่งเป็นเขตปกครองของกะเหรี่ยงพุทธ และคริสต์ ผ่านแหล่งชุมชน และตลาดสดหลายแห่ง ทำให้เราได้พบเห็นวิถีชีวิตแบบพื้นเมืองของชาวเมียนมาร์ ถึงแม้ว่ารัฐบาลทหารของพวกเขาจะเปิดประเทศแล้วก็ตาม แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านตามเมืองเล็กๆ ยังคงเรียบง่าย และวุ่นวายกับภารกิจในไร่นาเป็นส่วนใหญ่ เราขับรถไปประมาณ 20 กว่า กม. ก่อนที่จะเริ่มต้นการผจญภัยบนเส้นทางธรรมชาติ ที่โหดสุดๆ บนเทือกเขาดอนนา ระยะทางแค่ 60 กว่า กม. แต่ใช้เวลาวิ่งมากกว่า 3 ชม. เนื่องจากเป็นเส้นทางกันดารมากๆ เป็นหลุม เป็นบ่อ บวกกับรถขนส่งสินค้า และรถบัสโดยสารที่มีจำนวนเยอะมาก จอดติดและแออัดอยู่บนภูเขาเกือบตลอดเส้นทาง ถือว่าเราเจอวิบากกรรมบนหุบเขานรกจริงๆ
ลำพังแค่สภาพเส้นทางที่เกือบจะไม่ใช่ถนน ก็จะแย่อยู่แล้ว ซ้ายเหวลึก ขวาพิงหน้าผา แล้วยังต้องหลบหลีกรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนทางมา ยิ่งสร้างความลำบากในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ การข้ามเขาดอนนานี้ ทางการเมียนมาร์ กำหนดวันเข้าและออกชัดเจน วันที่เราข้ามเป็นวันขาเข้า ซึ่งใช้ระบบวันเวย์ จะไม่มีรถใหญ่สวนทางขึ้นมา ส่วนวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันขาออก ถ้าเดินทางไม่ถูกช่วง เราก็จะติดอยู่ที่ด่านอีก 1 วันเต็มๆ
หลังลงจากหุบเขานรกได้สำเร็จและปลอดภัยทุกคัน เราแวะจิบน้ำชาและกาแฟริมทาง เพื่อคลายเครียด ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองกอกาเร็ก และผาอัน ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ และเป็นสัญลักษณ์ของชาวชาวกะเหรี่ยง แวะทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าเมืองโจ๊กกะต่า เพื่อเตรียมตัวไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถานสูงสุดของเมียนมาร์ ที่ศักดิ์สิทธิ์และโด่งดังไปทั่วโลก
ก่อนที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุ เราต้องเปลี่ยนมานั่งรถขนหมู ซึ่งเป็นรถบรรทุกสิบล้อ ไม่มีหลังคาสำหรับกันแดด กันฝน และดันทะลึ่งเจอคนขับหนุ่มขาโหด เหยียบแหลก แซงทุกคันที่ขวางหน้า ทำให้สีสันในการผจญภัยดูน่าหวาดเสียว และระทึกใจยิ่งนัก แถมยังต้องมาเจอวิบากกรรม ฝนฟ้าที่ไม่เป็นใจ เกิดตกระหว่างทางขึ้นเขา ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว แล้วเนื้อตัวยังเปียกฝน มอมแมมเหมือนลูกหมาตกน้ำ อย่างไรอย่างนั้นไม่มีผิด !
ค่ำคืนนี้ เราพักแรมบนรีสอร์ท ที่พระธาตุอินทร์แขวน หลังอาหารเย็น เราเดินขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน ไปสัมผัสความอลังการของมหาเจดีย์สีทอง ที่ตั้งตระหง่านบนก้อนหินขนาดใหญ่ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ และลมกรรโชกแรง ทำให้เราอิ่มบุญที่ได้ขึ้นมาสักการะมหาบูชาสถานสูงสุดแห่งนี้
วันที่สามพระธาตุอินทร์แขวน-หงสาวดี-ย่างกุ้ง...อิ่มบุญ ใกล้ชิดศาสนา
ไฮไลท์ในการเดินทางอยู่ที่วันนี้ เหลือระยะทางอีกประมาณ 300 กม. เราเริ่มต้นจากพระธาตุอินทร์แขวน มุ่งหน้าสู่เมืองหงสาวดี ที่อยู่ในรัฐพะโค เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของชาวมอญ และเคยเป็นอดีตราชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ เราแวะนมัสการพระเจดีย์ชเวมอร์ดอร์ หรือพระธาตุมุเตา พระเจดีย์ในสมัยเดียวกับพระเจดีย์ชเวดากอง พระธาตุมุเตา เป็นพระเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองหงสาวดี เป็นเจดีย์ที่อยู่สูงที่สุดในกรุงหงสาวดี และเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความรุ่งเรือง ภายในพระธาตุบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ก่อนออกศึกของบูรพกษัตริย์ในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์มอญ หรือพม่า รวมถึงพระเจ้าบุเรงนอง
จากนั้นแวะทานอาหารกลางวันระหว่างทาง ลิ้มรสอาหารพม่าในรสชาติแบบไทยๆ เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อผ่านถนนลาดยางแคบๆ มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์...จากนั้นจึงเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง ผ่านแหล่งธุรกิจต่างๆ บนถนนที่พลุกพล่าน ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและยานยนต์สารพัดชนิด ที่ขวักไขว่ขะมักเขม้นกับภารกิจของแต่ละคน แต่ละคัน เป็นภาพชินตาที่พบเห็นได้ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก
เราบ่ายหน้าเข้าสู่ที่พัก KANDAWGYI PALACE โรงแรมไฮโซระดับ 5 ดาว ใจกลางเมือง ก่อนที่จะตั้งขบวนกันใหม่ โดยสารรถบัสมาตลาดสกอท แหล่งจับจ่ายใช้สอยของคนเมืองย่างกุ้ง แวะดูของฝาก ของที่ระลึก ก่อนที่จะไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่คู่บ้านคู่เมือง อีกทั้งยังเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดของเมียนมาร์ มีอายุกว่า 2,500 ปี เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ 8 เส้นของพระพุทธเจ้า องค์พระเจดีย์สร้างด้วยทองคำหนัก 2 ตัน ประดับด้วยเพชร 5,548 เม็ด และพลอย 2,217 เม็ด รวมถึงทับทิมขนาดเท่าไข่ไก่ บนยอดพระเจดีย์ เราชื่นชมความงดงามของศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม การสร้างเจดีย์นับพันองค์ เรียงรายอยู่บนยอดเขา มันช่างวิจิตรงดงามตา ดูราวกับภาพวาดขนาดใหญ่ ที่เด่นตระหง่านท่ามกลางความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวเมียนมาร์
วันสุดท้ายอบอุ่นใจ เดินทางกลับบ้าน
เช้าวันนี้ทำตัวสบายๆ เก็บกระเป๋าเดินทาง มุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติเมืองย่างกุ้ง เชคเที่ยวบินแล้วบินกลับบ้านกับสายการบินไทย เป็นอันปิดทริพคาราวานประวัติศาสตร์ เมียนมาร์ ที่สมบูรณ์แบบ อิ่มตา กับศิลปวัฒนธรรมที่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ อิ่มใจ และอิ่มบุญที่ได้ตระเวนนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของอดีตราชธานีเก่า ทั้งหงสาวดี และย่างกุ้ง เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี ต่อยอดจาก 20 ปีที่แล้ว และตั้งเป้าหมายใหม่ว่า "กรุงเนปิดอว์" คือ ที่หมายถัดไป ที่จะไปเยือนให้ได้สักวันในอนาคต
แผนที่เส้นทาง "คาราวานประวัติศาสตร์สู่ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์"
การเดินทางครั้งนี้ เราใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 หรือทางหลวงสายเอเชีย มุ่งหน้าจากกรุงเทพ ฯ ไป อ. แม่สอด ระยะทางประมาณ 534.7 กม. จากนั้นข้ามด่านตรวจคนเข้าเมือง อ. แม่สอด จ. ตาก เข้าสู่ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ใช้เส้นทางหลวง AH 1 (ASIAN HIGHWAY 1) ผ่านเมืองเมียวดี ไปเชื่อมต่อทางหลวงสาย A-1 และไปต่อทางหลวงสาย 85 เข้าเมืองหงสาวดี และย่างกุ้ง รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,022.6 กม.
อาหาร และที่พัก
อาหารการกินของชาวเมียนมาร์ จะเน้นหนักที่กะทิ ประเภทเดียวกับอาหารของชาวมุสลิม เช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ประมาณนั้น แต่รสชาติส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับอาหารไทย จึงไม่น่าหนักใจ ถ้าคุณคิดจะเที่ยวเมียนมาร์ นอกจากนี้ ยังมีเมนูปลาที่ขึ้นชื่ออีกหลากหลายรายการ
ส่วนที่พัก ต้องทำใจเผื่อไว้หน่อยครับ เพราะเพิ่งเปิดประเทศ คุณจะคาดหวังโรงแรม หรือที่พักหรูหราเหมือนในประเทศไทย คงลำบาก ยกเว้นโรงแรมหรือรีสอร์ทในเมืองใหญ่ๆ เช่น หงสาวดี, ย่างกุ้ง หรือเมืองหลวงใหม่ กรุงเนปิดอว์ ที่มีโรงแรมเพียง 24 แห่ง ห้องพักแค่ 1,600 ห้อง...ฉะนั้นการเข้าพักตามเมืองเล็กๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาทิเช่น บนพระธาตุอินทร์แขวน จะมีแค่ที่พักระดับ 2-3 ดาวเท่านั้น ต้องเผื่อใจเรื่องที่พักไว้สักหน่อย รวมถึงห้องน้ำตามร้านอาหารต่างๆ ด้วย
สำหรับอัธยาศัยและน้ำใจไมตรีของคนที่นี่ อยู่ในระดับปานกลาง ถ้าเทียบกับ สปป. ลาว คนละเรื่องเดียวกันทันที ประโยคที่คุณได้ยินบ่อยๆ ว่า ผิวพม่า นัยน์ตาแขก เป็นจริงสมคำเล่าลือ คือ แม่หญิงที่นี่ ผิวคล้ำ และใช้ทานาคา ไม้สมุนไพรชนิดหนึ่ง มาบดทาตามใบหน้าและลำตัว แต่ดวงตากลมโต สวยงาม ผิดกับแม่หญิงลาว ที่ตัวเล็กๆ ผิวขาว ผมยาว ดูน่ารักกว่ากันเยอะ...ฟันธง !
ขอขอบคุณ
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ชักชวนให้ร่วมขบวนคาราวานประวัติศาสตร์ ฯ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่คอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง
และขาดไม่ได้ในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่า พระเอกของเรา มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 3.2 อาร์ ใหม่ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ...รถพิคอัพ ซูม-ซูม สุดเท่ ที่พาเราท่องยุทธ์ และทะยานเปิดมุมมองใหม่ในโลกกว้าง
เรื่องโดย : ลิขิต น้าประเสริฐ 0 likhit@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/32238