ตั้งแต่มีคนหัวดีประดิษฐ์คิดค้นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในขึ้นได้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มนุษย์ที่ชอบเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องใช้เท้า ก็กลายเป็นทาสที่ไม่เคยคิดจะปลดปล่อยตัวเองของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า CRUDE OIL และแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยว่า น้ำมันดิบ ของเหลวขุ่นข้นเปี่ยมพลังที่มีธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และกำมะถัน เป็นส่วนประกอบสำคัญ

ตั้งแต่มีคนหัวดีประดิษฐ์คิดค้นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในขึ้นได้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มนุษย์ที่ชอบเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องใช้เท้า ก็กลายเป็นทาสที่ไม่เคยคิดจะปลดปล่อยตัวเองของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า CRUDE OIL และแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยว่า น้ำมันดิบ ของเหลวขุ่นข้นเปี่ยมพลังที่มีธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และกำมะถัน เป็นส่วนประกอบสำคัญ กระบวนการก่อกำเนิดน้ำมันดิบที่เป็นไปเองตามธรรมชาติต้องใช้เวลายาวนานหลายล้านปี แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันปีเท่านั้นเองที่จะทำให้มันสูญสิ้นไปจากโลก ขณะนี้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า วันที่น้ำมันดิบแห้งเหือดไปทั้งหมดจะมาถึงเมื่อใด ? ทราบก็เพียงแต่ว่า ตามตัวเลขของ US ENERGY INFORMATION ADMINISTRATION หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงพลังงานเมืองมะกัน ในปี 2011 โลกบริโภคน้ำมันดิบวันละ 87.421 ล้านบาร์เรล หรือ 13,900 ล้านลิตร โดยเฉลี่ย โชคร้ายที่บางคนยังไม่สำเหนียกในความเป็นจริงนี้ โดยเฉพาะผู้นำปัญญาไข่ตุ๋นในประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ แต่ก็ยังโชคดีที่บางคนตระหนักในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และทุ่มเทความมานะพยายามในการพัฒนายานพาหนะที่พึ่งพาน้ำมันดิบน้อยลง หรือไม่ต้องพึ่งเลย ด้วยเหตุนี้มนุษย์โลกจึงได้รู้จักยานพาหนะติดล้อที่เรียกกันว่า HYBRID CAR หรือ รถไฮบริด ที่ลดการใช้เชื้อเพลิง ซึ่งได้จากน้ำมันดิบ และ ELECTRIC CAR หรือ รถไฟฟ้า ที่บางคันไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงที่ได้จากน้ำมันดิบอีกต่อไป รถทุกคันที่เลือกมาให้ชื่นชมกันใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้ เป็น ELECTRIC CAR ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ มีตั้งแต่รถคันกระจิ๋วหลิวที่สามารถขับไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็นต้องมีใบขับขี่ ไปจนถึงรถสปอร์ทที่ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีการติดตั้งถังขนาดโตไว้บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิง เริ่มกันที่ เรอโนลต์ โซ (RENAULT ZOE) ผลงานชิ้นโบว์แดงของยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอม ซึ่งอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 82 เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2012 พร้อมกับเปิดให้ผู้ใช้รถใน 11 ประเทศของยุโรปสั่งจองผ่านเวบไซท์ RENAULT-ZE.COM แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีเดียวกัน รถจึงเริ่มทยอยส่งถึงผู้สั่งจอง เป็นรถไฟฟ้าในรูปลักษณ์ของรถเก๋ง 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.084 ม. กว้าง 1.730 ม. และสูง 1.568 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีห้องเก็บของท้ายรถที่จุถึง 338 ลิตร หน้าตาและรูปทรงองค์ของตัวถังภายนอก ไม่มีอะไรผิดแปลกแหวกแนวจากรถแฮทช์แบคทั่วๆ ไปที่ยังคงขับเคลื่อนด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายใน หากจะค้นหาความแตกต่างเมื่อยืนมองจากภายนอก ก็คงมีอยู่เพียง 2 จุด คือ ไม่มีท่อไอเสีย และไม่มีแผ่นปิดฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ใช้มอเตอร์ขนาด 65 กิโลวัตต์/88 แรงม้า ที่ให้แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร/22.4 กก.-ม. และใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 9 ชั่วโมง เมื่อประจุไฟด้วยไฟบ้าน แต่จะลดเหลือเพียง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เมื่อประจุไฟในสถานีที่จัดทำไว้เป็นพิเศษ การประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้ง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 210 กม. และทำความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. เนื่องจากรถไฟฟ้าจะวิ่งเงียบกว่ารถที่ติดตั้งเครื่องยนต์ เพื่อความปลอดภัยของคนเดินถนน รถไฟฟ้าของยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอม จึงติดตั้งระบบเสียงสังเคราะห์ ZE VOICE ไว้ด้วย ระบบนี้จะทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็ว 0-30 กม./ชม. มีสวิทช์เปิด/ปิดการทำงาน และมีเสียงที่แตกต่างกันให้เลือกใช้รวม 3 แบบ ค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองน้ำหอม เริ่มต้นที่ 15,700 ยูโร หรือประมาณ 628,000 บาทไทย เป็นราคาที่ย่อมเยาเป็นพิเศษ เพราะยกเว้นภาษี และไม่รวมค่าแบทเตอรีซึ่งไม่ขายขาด แต่ให้เช่า โดยคิดค่าเช่าเดือนละ 79 ยูโร หรือประมาณ 3,160 บาท เมื่อทำสัญญาเช่านาน 36 เดือน และใช้งานไม่เกิน 12,500 กม./ปี