ทั่วไป
ปัญหาบริษัทประกันภัยล้มซ้ำซาก สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เป็นเหตุให้ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (วีรวุธ งามจิตวิริยะ) ต้องทำหนังสือไปถึงอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้แจ้งเตือนไปยังสมาชิกทั้งหมด เพิ่มความระมัดระวังในการซื้อประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยให้พิจารณาถึงความมั่นคงของบริษัทประกันภัย ดูฐานะการเงินก่อนตัดสินใจทำประกันภัย ซึ่งสามารถเข้ามาดูข้อมูลได้ที่เวบไซท์ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ปัญหาบริษัทประกันภัยล้มซ้ำซาก สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง เป็นเหตุให้ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (วีรวุธ งามจิตวิริยะ) ต้องทำหนังสือไปถึงอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้แจ้งเตือนไปยังสมาชิกทั้งหมด เพิ่มความระมัดระวังในการซื้อประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยให้พิจารณาถึงความมั่นคงของบริษัทประกันภัย ดูฐานะการเงินก่อนตัดสินใจทำประกันภัย ซึ่งสามารถเข้ามาดูข้อมูลได้ที่เวบไซท์ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องออกหนังสือเตือน เนื่องจากกองทุนตรวจพบความผิดปกติจากข้อมูลลูกค้า บริษัท วิคเตอรี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด ที่ถูกปิดกิจการไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้มายื่นขอรับชำระหนี้จากกองทุน มีลูกค้าสหกรณ์ออมทรัพย์ครูยโสธร จำกัด มายื่น ขอคืนเบี้ยประกันภัยจำนวน 19 ล้านบาท จากกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม 2 ฉบับที่ทำให้กับสมาชิกโดยกรมธรรม์ดังกล่าว วิคเตอรี ประกันภัย ฯ ออกให้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 แต่เริ่มคุ้มครองเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 หลังจากวันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้บริษัทหยุดรับประกันภัยชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2554 แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกสั่งหยุดรับประกันชั่วคราว บริษัทไม่สามารถรับประกันภัยได้
และเมื่อตรวจสอบลึกลงไป ยังพบความผิดปกติในเงื่อนไขกรมธรรม์ตรงส่วนท้ายกรมธรรม์ระบุคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี นอกเหนือจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การถูกฆาตกรรม และถูกลอบทำร้ายที่เป็นความคุ้มครองปกติของประกันอุบัติเหตุทั่วไป อีกทั้งยังคุ้มครองการทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยด้วย ซึ่งความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี หมายรวมถึง การเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยด้วย ซึ่งบริษัทประกันวินาศภัยไม่สามารถขายประกันประเภทนี้ได้ เพราะเป็นความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันชีวิต
การคุ้มครองเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย เป็นเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งตามกฎหมายแล้ว บริษัทประกันวินาศภัยไม่สามารถออกกรมธรรม์แบบนี้ได้ ประเด็นนี้จึงถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงลูกค้า กรณีนี้ถ้าลูกค้าเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย บริษัทต้องจ่ายชดเชยให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ เพราะเป็นเงื่อนไขในกรมธรรม์ ทางกองทุน ฯ จึงได้ขอให้ผู้ชำระบัญชีไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพื่อให้รู้ว่าค่าเบี้ยประกันภัยที่ว่าเข้ากระเป๋าใคร เพราะไม่ได้เข้าบริษัท
ซึ่งจากการขยายผลการตรวจสอบยังพบว่า ไม่ได้มีแค่ลูกค้าของ วิคเตอรี ประกันภัย ฯ เท่านั้น ที่เจอกรมธรรม์ลักษณะแบบนี้ แต่ยังมีลูกค้า บริษัท เอ.พี.เอฟ. อินเตอร์เนชั่นแนล อินชัวรันส์ จำกัด ที่ถูกปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2553 ก่อนหน้า วิคเตอรี ประกันภัย ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ก็ถูกหลอกขายกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ (พีเอ) แบบเดียวกันนี้ สันนิษฐานได้ว่าคนขายเป็นกลุ่มเดียวกัน พอบริษัทหนึ่งถูกปิดก็ย้ายมาอยู่อีกบริษัทหนึ่ง
โดยกรณี เอ.พี.เอฟ. ฯ ลูกค้าสหกรณ์ที่มายื่นคำขอกับกองทุนประกันภัยเป็นเงิน 51 ล้านบาทเศษ ทั้งขอคืนเบี้ยประกันและค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากมีสมาชิกเสียชีวิต กรณีอย่างนี้คนที่เสียหายมากที่สุด ก็คือ ลูกค้า เพราะหากมีการเคลมเกิดขึ้น และบริษัทประกันภัยที่ทำประกันไว้ถูกปิดไป จะไปรับค่าสินไหมทดแทนจากใคร ต้องรอรับจากกองทุนอย่างเดียว
และตอนนี้กองทุน ฯ ก็ยังจ่ายเงินให้กับลูกค้าไม่ได้ ต้องรอให้กฎหมายที่เสนอแก้ไขไป ผ่านก่อน เช่นเดียวกับการมาขอคืนเบี้ยประกันภัย ซึ่งบริษัทกลุ่มนี้ทาง คปภ. ประกาศชื่อผ่านทางเวบไซท์มาเป็นปีแล้วว่าเขามีปัญหาอย่างไรบ้าง และถูกห้ามรับประกันภัยอยู่ ก็ยังมีลูกค้าซื้อกรมธรรม์กับเขาอยู่อีก ถ้าไปซื้อกับบริษัทประกันภัยที่ไม่มีปัญหาจะไม่เจอกรณีแบบนี้
สำหรับการตรวจสอบทรัพย์สิน วิคเตอรี ประกันภัย ฯ และ บริษัท ลิเบอร์ตี้ ประกันภัย จำกัด ที่ถูกปิดกิจการวันเดียวกันนั้น ทางผู้ชำระบัญชีกำลังรวบรวมอยู่ เพราะทรัพย์สินที่รายงานไปก่อนหน้านี้เป็นงบการเงินจาก คปภ. แต่ในข้อเท็จจริงไม่รู้ วิคเตอรี ประกันภัย ฯ มีอยู่เท่าไร กรณีของ ลิเบอร์ตี้ ประกันภัย ฯ ก่อนหน้านี้ ผู้ชำระบัญชีให้ข้อมูลจากการเข้าไปสำรวจทรัพย์สินเบื้องต้นอาคารและพื้นที่ของสำนักงานใหญ่น่าจะมีมูลค่าประมาณ 400-600 ล้านบาท หากแปลงเป็นเงินสดได้จะสามารถชำระหนี้สินที่มีประมาณ 232 ล้านบาท โดยไม่ถึงขั้นตอนฟ้องร้องดำเนินคดีล้มละลาย โดยจะดำเนินการชำระบัญชีให้เสร็จภายใน 1 ปี
เลขาธิการ คปภ. ฝากย้ำเตือนประชาชนควรเลือกซื้อประกันภัยผ่านตัวแทน หรือนายหน้าประกันภัย ที่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนเท่านั้น และการจ่ายเบี้ยประกันภัยต้องขอเอกสารหลักฐานแสดงการรับเงินทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐาน ทั้งนี้จะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยอย่างครบถ้วน หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186
สำหรับบริษัทประกันภัยที่ขายกรมธรรม์ประกันนอกเหนือจากแบบที่ได้รับอนุญาต ซึ่งปัจจุบันมีบางบริษัทได้เปลี่ยนชื่อจนทำให้ประชาชนสับสนว่าขายกรมธรรม์ประกันได้ทุกประเภท กฎหมายประกันภัยกำหนดเรื่องการใช้ชื่อของบริษัทประกันภัยแค่ว่าให้มีคำลงท้ายว่าประกันภัยหรือประกันชีวิตอยู่ในชื่อด้วย ถ้าเป็นประกันสุขภาพไม่ได้กำหนดต้องลงท้ายด้วยประกันสุขภาพ ดังนั้น บริษัทประกันสุขภาพจึงสามารถตั้งชื่อใหม่โดยไม่มีคำว่าประกันสุขภาพได้ แต่ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าอะไร ถ้าหากเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายแล้ว ไม่สามารถขายได้ ผิดกฎหมายทันที และมีบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง โดยผู้ใดก็ตามที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยที่ไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุก 2 ปี พร้อมปรับอีก 200,000-500,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับความผิด
คปภ. กำลังเฝ้าระวังเนื่องจากมีบริษัทประกันภัยที่มีความเสี่ยงเรื่องความมั่นคงของกองทุน ซึ่งอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ที่ คปภ. กำหนดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน 2554 นี้ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเพิ่มทุนและควบรวม ล่าสุด มีธุรกิจประกันไม่ผ่านเกณฑ์ RBC ขณะนี้ถึง 5 แห่งด้วยกัน
หลังจากที่ คปภ. ประกาศใช้กรอบดำรงเงินกองทุนแบบใหม่ตามหลักมาตรฐานสากล ที่เรียกว่า การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (RBC: RISK-BASED CAPITAL) อย่างเป็นทางการ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กันยายน 2554 นี้ ในปัจจุบันกำหนดให้บริษัทประกันภัย ต้องมีเงินกองทุนขั้นต่ำต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายไม่น้อยกว่า 100 % แต่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ เป็นต้นไป คปภ. จะเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ใหม่การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) กำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องมีเงินกองทุนขั้นต่ำ 125 % โดยองค์ประกอบของเงินกองทุนหลักๆ ได้แก่ ทุนเรือนหุ้น, กำไรสะสม, เงินที่ได้จากการขายตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ระยะยาว, การตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การที่ คปภ. มีแผนที่จะใช้กฎเกณฑ์ RBC ดังกล่าวอย่างจริงจัง ทำให้ธุรกิจประกันหลายแห่งได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เพื่อจะเข้าเกณฑ์อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน 2554 ที่จะถึงนี้ ส่วนบริษัทประกันที่ยังไม่พร้อม ก็ยังอยู่ในกระบวนการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่ทาง คปภ. กำหนดขึ้น
ในส่วนของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตบางแห่งที่อาจมีปัญหาทางการเงินไม่ผ่านเกณฑ์ RBC 5 บริษัท คปภ. กำลังเรียกแต่ละบริษัทเข้ามาชี้แจงและฝึกอบรมการคิดสูตร RBC ที่ถูกต้อง และเชื่อมั่นว่าการทดสอบครั้งสุดท้ายบริษัทเหล่านี้จะดีขึ้นแน่นอน
ทั้งนี้ คปภ. ได้กำหนดกรอบของ RBC ที่บริษัทประกันภัยจะต้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ปี 2554 นี้ ไว้ 3 เฟส โดยเฟสแรก 1 กันยายน 2554-31 ธันวาคม 2555 กำหนดอัตราความพอเพียงของเงินกองทุนเท่ากับ 125 % เฟส 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556-31 ธันวาคม 2558 เท่ากับ 140 % และเฟส 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป เท่ากับ 150 % โดยเกณฑ์ 150 % คปภ. มองว่าเป็นระดับเงินกองทุนที่เหมาะสมกับธุรกิจประกันภัยของประเทศไทย
ในเบื้องต้น คปภ. ได้ทำการทดสอบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC PARALLEL TEST) ครั้งที่ 2 ตามเกณฑ์ RBC กำหนดให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งส่งผลการทดสอบให้กับสำนักงาน คปภ. ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่ง คปภ. จะได้นำผลการทดสอบมาปรับปรุงร่างประกาศต่างๆ เพื่อให้บริษัทสามารถปฏิบัติได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนที่ RBC จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2554 นี้ โดยเชื่อว่าผลการทดสอบครั้งนี้น่าจะดีกว่าครั้งก่อน เนื่องจาก คปภ. ได้ปรับค่าความเสี่ยงที่ต้องมีเงินกองทุนมารองรับ (RISK CHARGE) บางตัวให้เหมาะสมมากขึ้น เพื่อให้ปฏิบัติได้
ก็ขอให้ทุกคนเอาใจช่วยให้ คปภ. ทำได้สำเร็จตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ประชาชนจะได้เบาใจ ไม่ต้องเสี่ยงภัยกับบริษัทประกันภัยที่ล้มแล้ว ล้มอีก ซ้ำซากจากอดีตถึงปัจจุบัน สาธุ...สาธุ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29904