รถใหม่
สุดยอดฮอทแฮทช์...ตัวจริงกระสุนจริง
ในบรรดารถแฮทช์แบคพันธุ์ยุโรปที่มีจำหน่ายในตลาดขณะนี้ น่าจะกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่ต้องเกรงกลัวจะมีใครโต้แย้งว่า รถเร็วที่สุดร้อนแรงที่สุดและควรคู่เป็นที่สุดกับสมญานาม "สุดยอดฮอทแฮทช์" คือ ฟอร์ด โฟคัส อาร์เอส 500 (FORD FOCUS RS500) รถแฮทช์แบคสัญชาติเยอรมัน
เป็นรถโมเดลพิเศษ ที่ออกแบบและพัฒนาเพื่อสนองรสนิยมของผู้ต้องการความแรงและความเร็วจากรถที่มีตัวถังขนาดเล็กกะทัดรัด อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า HOT HATCH อวดตัวต่อสายตาคนรักรถเป็นครั้งแรกที่งาน 2010 LEIPZIG MOTOR SHOW หรือ มหกรรมยานยนต์ไลพ์ซิก 2010 ซึ่งมีขึ้นในเยอรมนีเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมคำประกาศยืนยันว่า จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 500 คัน และแต่ละคันจะมีหมายเลขลำดับรถติดไว้ในแผงคอนโซลกลางด้วย
เปิดให้ลูกค้าเป้าหมายใน 20 ประเทศยุโรปสั่งซื้อในเดือนถัดมา ปรากฏว่าแค่ 7 วันก็ขายได้หมดทั้งครึ่งพันคัน ทั้งๆ ที่ตั้งสนนราคาค่าตัวไว้สูงลิบลิ่ว อย่างในอังกฤษซึ่งใช้รถพวงมาลัยขวา ป้ายราคาที่ติดไว้ คือ 35,750 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 1,780,000 บาทไทย หรือเกือบ 2 เท่าของรถ ฟอร์ด โฟคัส แฮทช์แบค รุ่นสามัญ ซึ่งค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 18,345 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 917,000 บาท
ตัวถัง 3 ประตูทรง 2 กล่อง ยาว 4.402 ม. กว้าง 1.842 ม. สูง 1.497 ม. และมีน้ำหนักตัวพร้อมขับ 1,467 กก. มีรายละเอียดมากมายทั้งภายนอกและภายในที่แตกต่างไปจากรถรุ่นสามัญ ที่น่าสังเกตก็คือ สีของตัวถังซึ่งมีให้เลือกเพียงสีเดียว คือ สีดำ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PANTHER BLACK แม้แต่กระทะล้ออัลลอยขนาดโต 19 นิ้ว ก็ยังเคลือบสีดำ
เป็นรถขับล้อหน้า ด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC 5 สูบเรียง ความจุ 2,522 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 350 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 46.9 กก.-ม. ที่ 2,500-4,500 รตน. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ระบบรองรับ หน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท/สปริงขด/เหล็กกันโคลง หลังอิสระมัลทิลิงค์/สปริงขด/เหล็กกันโคลง ห้ามล้อหน้าจานรูขนาด 336 มม./หลังจานขนาด 300 มม. สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต สะใจทั้งตีนต้นและตีนปลาย นั่นคือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 265 กม./ชม. แต่ตัวเลขที่ทำให้คนรักสิ่งแวดล้อมขัดเคืองอยู่หน่อยๆ ก็คือ อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงถึง 225 กรัม/กม. และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 10.6 กม./ลิตร นั่นคือเติมน้ำมันเต็มถัง 62 ลิตร จะวิ่งได้ไกลแค่ 660 กม.
แฮทช์แบคดีเซล/เบนซิน...อวลกลิ่นน้ำหอม
RENAULT MEGANE GT
แล้วก็ถึงคิวของรถแฮทช์แบคสัญชาติฝรั่งเศส ที่ผู้ใช้รถในบ้านเราคงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันนัก เป็นผลงานของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสถือหุ้นร้อยละ 15เรอโนลต์ เมกาน (RENAULT MEGANE) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กกะทัดรัด อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า COMPACT CAR ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมนำรถอนุกรมนี้ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1995 ส่วนรถที่จำหน่ายอยู่ในตลาดปัจจุบันเป็นรถรุ่นที่ 3 เริ่มจำหน่ายในฝรั่งเศสเมื่อปลายปี 2008 และขณะนี้มีตัวถังให้เลือกใช้ถึง 4 แบบ คือ 2 ประตูคูเป/5 ประตูแฮทช์แบค/5 ประตูตรวจการณ์/2 ประตูเปิดประทุน
ส่วนที่ เรอโนลต์ เมกาน จีที (RENAULT MEGANE GT) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถโมเดลหัวกะทิ เพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุด เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และ 3 เดือนหลังจากนั้นจึงเริ่มออกจำหน่ายในเมืองน้ำหอม โดยมีตัวถังให้เลือกใช้ครบทั้ง 4 แบบ แต่เลือกมาให้ชมเพียงตัวถังเดียว คือ ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค 5 ที่นั่ง
ตัวถังแฮทช์แบคของ เรอโนลต์ เมกาน จีที มีรายละเอียดในหลายๆ จุดทั้งภายนอกและภายในที่แตกต่างไปจากรถโมเดลอื่นๆ ตัวอย่างเช่น กันชนหน้าและกันชนท้ายที่ออกแบบขึ้นใหม่เป็นพิเศษ แผงกระจังหน้าที่เคลือบสีดำสนิท เก้าอี้ที่นั่งคู่หน้าเสริมปีกพยุงลำตัวผู้ขับและผู้โดยสาร แผงหน้าปัดเพิ่มเติมอุปกรณ์บางชิ้น ฯลฯ
ที่แปลกไปจากรถติดรหัส จีที ของผู้ผลิตรถยุโรปรายอื่นๆ ก็คือ เรอโนลต์ เมกาน จีที มีให้เลือกใช้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล เครื่องเบนซินซึ่งมีอยู่เพียงขนาดเดียว เป็นเครื่องเทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,998 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ F4R L 872) ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 5,500 รตน. และแรงบิดสูงสุด 30.6 กก.-ม. ที่ 2,250 รตน. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่วนเครื่องดีเซลซึ่งก็มีขนาดเดียวเช่นกัน เป็นเครื่องเทอร์โบคอมมอนเรล DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,995 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ M9R B 610) ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. และแรงบิดสูงสุด 38.8 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน. ระบบเกียร์ที่ใช้เป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเช่นกัน แต่อัตราทดต่างกัน
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอม รุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. ส่วนรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล ตัวเลขเปลี่ยนเป็น 8.5 วินาที และ 215 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย รุ่นเครื่องยนต์เบนซินทำได้ 7.7 ลิตร/100 กม. หรือ 13.0 กม./ลิตร ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทำได้ 5.9 ลิตร/100 กม.หรือ 16.9 กม./ลิตร ที่ยังไม่น่าพอใจนักก็คือ อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ตัวเลขของรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน คือ 178 กรัม/กม. และลดลงเป็น 155 กรัม/กม. ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2553
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28989