พิเศษ
ค่ายรถยนต์เอเชียผงาด ประกาศ รู้ไหมว่าใครใหญ่ *แขก ตี๋ โนเนม รุมทึ้งกิจการทั้ง บแรนด์แรง บแรนด์หรู *ใกล้ถึงจุดจบของค่ายรถฝรั่งแล้วจริงหรือ *ฤาจะถึงกาลพลิกขั้วอำนาจอุตสาหกรรมยานยนต์โลก !
ค่ายรถยนต์เอเชียผงาด ประกาศ รู้ไหมว่าใครใหญ่ *แขก ตี๋ โนเนม รุมทึ้งกิจการทั้ง บแรนด์แรง บแรนด์หรู *ใกล้ถึงจุดจบของค่ายรถฝรั่งแล้วจริงหรือ *ฤาจะถึงกาลพลิกขั้วอำนาจอุตสาหกรรมยานยนต์โลก !
อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน เมื่อเกิดปรากฏการณ์ค่ายรถยนต์เอเชีย แห่ซื้อ (ถือหุ้นใหญ่) กิจการรถยนต์ยุโรปที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรระดับโลก (GLOBAL BRAND) ซึ่งมีขึ้นบ่อยครั้งในช่วง 2-3 ปีมานี้
จากบแรนด์ชั้นดีที่เคยดูถูกเหยียดหยามประเทศด้อยพัฒนา คราวเริ่มสร้างเริ่มขายรถ กลับต้องกลายเป็นเพียงบแรนด์ ในเครือของผู้ผลิตรถจากประเทศที่เคยตามหลังต้อยๆ
นั่นเพราะขณะนี้ บแรนด์รถยนต์ ที่ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็น สินค้า จากมือฝรั่งตาน้ำข้าว กลับถูกขายสู่ ผู้ผลิตรถยนต์ในเอเชีย ทั้งอินเดีย มาเลเซีย และที่สำคัญ คือ จีน พี่เบิ้มในภูมิภาค ที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอู้ฟู่เต็มพิกัด
ขนาดที่หนังสือพิมพ์ วอลสตรีท เจอร์นัล เคยลงบทความว่า การเข้าซื้อค่ายรถทั่วโลก เป็นตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจโลก
วันนี้ตลาดขนาดใหญ่โต มูลค่ามหาศาลในจีน และบริษัทเอกชนของเขาเติบโตขึ้นอย่างน่าจับตา จีนกำลังกลายเป็นผู้เล่นหลักที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมทั่วโลก
ขั้วอำนาจของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะ คดีพลิกหรือไม่ เหตุการณ์นี้ส่งผลอะไรไหม และแค่ไหนกับผู้ใช้รถอย่างเราๆ ตามติดจากตัวอย่างของ 3 คู่เจรจานี้
ทาทา (TATA)-แจกวาร์ (JAGUAR)
แจกวาร์ เป็นรถอังกฤษที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก ที่คนหลายวัยล้วนชอบ และชื่นชมกันในความหรูหรา แต่ด้วยการบริหารจัดการแบบล้าหลัง ทำให้ แจกวาร์ ขาดทุนอย่างหนัก และตกไปอยู่ในความครอบครองของ ฟอร์ด เป็นเวลานาน ขนาดมีทุนสนับสนุนอย่างดี แจกวาร์ ก็ยังขาดทุนเหมือนเดิม แถมเป็นไปในระดับที่ ฟอร์ด ต้องตัดสินใจปิดโรงงานที่มีประวัติยาวนานในเมือง โคเวนทรี (COVENTRY)
จนในที่สุด ฟอร์ด ต้องขายเหล้าพ่วงเบียร์ จูงมือ แจกวาร์ พร้อมแถม โรเวอร์ ให้ ทาทา ในราคา 7 หมื่นกว่าล้านบาท
ทาทา เป็นผู้ผลิตรถบรรทุก รถโดยสาร รถขับเคลื่อน 4 ล้อ และรถเก๋ง เทคโนโลยีต่ำถึงปานกลาง ราคาไม่แพง ผลิตรวมกันทั้งหมดประมาณปีละ 4 แสนคัน แม้จะดูเหมือนเป็นเจ้าพ่อรถยนต์ในแดนภารตะ แต่จริงๆ แล้ว ทาทา มีสัดส่วนการขายในประเทศแค่ราว 20 % นอกนั้น 70 % เป็นของ มารูติ ซูซูกิ ส่วนอีก 10 % คือ ยี่ห้ออื่นๆ
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ !
ฉะนั้น ดูยังไงก็ไม่เข้ากันเลยกับการซื้อกิจการรถชั้นสูง ทันสมัย อย่าง แจกวาร์ และ โรเวอร์ ซึ่งมีพนักงานอยู่ถึง 15,000 คน ผู้คนในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็คงคิดเหมือนกันหมด พร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า ถ้าระดับ ฟอร์ด ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ยัง เอาไม่อยู่แล้วอย่าง ทาทา จะไหวหรือ และถ้าอย่างนั้น ราทัน ทาทา เจ้าพ่อ อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดีย ซื้อ แจกวาร์ และ โรเวอร์ มาทำไม ?
บางคนพูดเล่นๆ กึ่ง ประชดว่า ซื้อเพื่อความสะใจ จะขอพลิกบทบาทจากทาสที่เคยเป็นเมืองขึ้นโดยตรงของชนชาตินี้ กลับมาเป็นนายบ้าง
แต่ความจริงคงไม่ใช่หรอกครับ เพราะนักธุรกิจคิดแบบนี้ไม่ได้ ใครคิดแบบนี้ ก็คงไม่มีทางไต่เต้าขึ้นมาสูงระดับนี้ได้
ก่อนตัดสินใจซื้อ ราทัน ทาทา ทราบดีว่า ฟอร์ด ขาดทุนเพราะ แจกวาร์ ตลอดระยะเวลา 18 ปี ที่ครอบครอง เป็นเงินถึง 3 แสนกว่าล้านบาท !
นักวิเคราะห์ในวงการรถยนต์โลก เชื่อว่า ราทัน ทาทา ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร เฟียต ยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของอิตาลี คงจะเอา แจกวาร์ มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ เฟียต เช่น เอาพแลทฟอร์ม หรือโครงรถ ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังมาใช้กับ อัลฟา โรเมโอ ที่ เฟียต เป็นเจ้าของอยู่ และอาจจะเปลี่ยนล้อขับเคลื่อนไปด้านหลัง หรือไม่ก็อาจต้องการความรู้ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่ง แลนด์ โรเวอร์ เชี่ยวชาญ ไปใช้กับ เอสยูวี ที่ เฟียต อยากผลิตออกจำหน่ายบ้าง สุดท้ายผลจะออกมาอย่างไรนั้นจริงไหม
เรื่องนี้ต้องรอคำตอบจาก เฟียต
แจกวาร์ เปลี่ยนไป ?
การเปลี่ยนแปลงของ เอกซ์เจ (XJ) ในรูปโฉมใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยู่ในมือ ทาทา หรอกนะครับ ทิศทางที่เปลี่ยนไปนี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกับ เอกซ์เอฟ (XF) เก๋งขนาดกลางที่ทำตลาดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่สมัยอยู่ใต้ร่มเงา ฟอร์ด นั่นแหละ ซึ่งทำให้เห็นว่า แม้ แจกวาร์ จะถูกเปลี่ยนมือมาอยู่กับ ทาทา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะถูกครอบงำโดยความเป็น ทาทา และ ความเป็นอินเดีย ทั้งการออกแบบ วัสดุที่ใช้ และเครื่องยนต์กลไก ยังคงคุณภาพสไตล์ แจกวาร์ เหมือนเดิม
ปโรตอน (PROTON)-โลทัส (LOTUS)
หลังจาก ปโรตอน เข้าถือหุ้นใหญ่ โลทัส กรุพ ผู้นำรถสปอร์ทแห่งอังกฤษ ค่ายรถจากมาเลเซีย ก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้านเทคนิคมาเสริมให้กับรถยนต์ที่บริษัทผลิตขึ้น และประสบความสำเร็จพอสมควรในตลาดอังกฤษเอง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของ ปโรตอน จากรถรุ่น อิมเพียน (IMPIAN) หรือ วาจา (WAJA) รถยนต์นั่งขนาดกลางเซกเมนท์เดียวกับ มนเดโอ (MONDEO) ของ ฟอร์ด แม้ว่าบริษัทจะประสบปัญหาทางด้านการเงินถึงขั้นขาดทุนต่อเนื่องจากการซื้อหุ้น โลทัส ก็ตามที
เมื่อทีมออกแบบและพัฒนาของ โลทัส มาจับงานผลักดันรถยนต์ขนาดเล็กอย่าง ปโรตอน นีโอ (NEO) เลยจัดการยกเครื่องตัวถัง และโครงรถใหม่ทั้งหมด ทั้งยังปรับปรุงประสิทธิภาพการเกาะถนน และโละเครื่องยนต์ของ มิตซูบิชิ ทิ้ง และสร้างเครื่องยนต์ แคมพโร (CAMPRO) ที่ใช้ใน ปโรตอน รุ่นปัจจุบันมาทดแทน
โรเบิร์ต ทิคเนอร์ (ROBERT TICKNER) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ โลทัส เคยบอกว่า
โลทัส มีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาประสิทธิภาพของรถ ปโรตอน และจะทำให้ยอดขายรถเพิ่มขึ้น"
และด้วยเหตุนี้แหละ การที่ ปโรตอน จับตลาดรถที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมาตลอด เมื่อได้เทคโนโลยีของ โลทัส เข้ามาเสริม ปโรตอน จึงได้ผงาดขึ้นเป็นรถยนต์ที่มีความน่าเชื่อถือในแง่ของสมรรถนะอย่างแท้จริง และเป็นโอกาสที่จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม โลทัส ก็ยังพยายามรักษาฐานลูกค้าของตัวเองไว้ โดยคงความเป็นอิสระจาก ปโรตอน ในตลาดอังกฤษ แต่ประสานความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งกับบริษัทแม่ของ ปโรตอน ด้วยการจัดตั้ง LOTUS ENGINEERING MALAYSIA เพื่อรองรับลูกค้าหลัก คือ ปโรตอน และลูกค้าอื่นในเอเชีย
การที่ โลทัส ยอมให้ ปโรตอน ซื้ออย่างง่ายๆ มีความเห็นกันว่า โลทัส นั้นเก่งกาจด้านงานวิศวกรรมรถยนต์ แต่ไม่มีฝีมือเลยในแง่การผลิตรถยนต์ของตนเอง และทำให้ขายได้
ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ ก็คือ ในรอบ 40 ปี ที่ผ่านมา โลทัส ผลิตรถสปอร์ทออกสู่ตลาดได้ไม่ถึงแสนคัน ขณะที่ ปโรตอน ซึ่งแม้เป็นกิจการขนาดเล็ก แต่กลับผลิตรถออกสู่ตลาดได้ร่วมแสนคัน ภายในเวลาเพียงปีเดียว พร้อมกับมีเป้าหมายมุ่งที่จะเป็นผู้ผลิตรถป้อนตลาดทั่วโลกด้วย
ซึ่งน่าจะช่วยสร้างเสริมกำลังใจ โลทัส ได้บ้าง
โลทัส เปลี่ยนไป ?
แม้ โลทัส จะอยู่ในมือ ปโรตอน มานานกว่าใครเพื่อนในที่นี้ แต่ถ้าใครเคยได้สัมผัส โลทัส ในยุคก่อนๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับ เอลิส (ELISE) โมเดลปัจจุบันที่เริ่มผลิตช่วง ปโรตอน ถือหุ้นใหญ่ ก็ต้องยอมรับว่า ความเป็น โลทัส ยังปกคลุมอยู่ทั่วคัน ทั้งการออกแบบภายนอก ภายใน พละกำลัง (แม้บางรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ของ โตโยตา) และการทรงตัว รวมถึงรุ่นอื่นๆ ที่ใช้โครงสร้างเดียวกันกับ เอลิส ซึ่งผลิตตามมา อาทิ เอโวรา (EVORA) หรือ เอกซีจ (EXIGE) ก็ตาม
จีลี (GEELY)-โวลโว (VOLVO)
บริษัท เซเจียง จีลี โฮลดิง กรุพ ของจีน ตกลงซื้อกิจการ โวลโว ธุรกิจผลิตรถยนต์ในสวีเดน ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในเครือ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี ของสหรัฐ ฯ ในมูลค่า 57,600 ล้านบาท ข้อตกลงนี้จะทำให้ จีลี อัพเกรดขึ้นเป็นบริษัทผลิตรถหรูหราชั้นนำ และน่าจะทำให้ จีลี มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดรถทั่วโลกมากขึ้น
ฟอร์ด โละขาย โวลโว ในราคาถูกมาก เห็นได้ชัดจากการที่ โวลโว เคยประกาศขายไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 1999 ในราคา 206,400 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ ประธานบริหารด้านการเงินของ ฟอร์ด บอกว่า ราคาที่ขาย โวลโว ครั้งนี้สมเหตุสมผลแล้ว เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้กิจการของ โวลโว ที่ขาดทุนมาโดยตลอดมีกำไร และขยายตลาดได้มากขึ้นภายใต้การบริหารของ จีลี
นักวิเคราะห์มองว่า การเลหลัง โวลโว เป็นการผลักภาระ เพราะการดำเนินงานของ โวลโว ตลอด 11 ปีของ ฟอร์ด นั้น เจอแต่ปัญหาต้นทุน และมีการแข่งขันสูง ในตลาดรถหรูหรา ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจโลกทรุดหนัก ทำให้ยอดขายรถ โวลโว ตกต่ำมาตลอด จึงขายเพื่อช่วยให้กิจการ ฟอร์ด ให้มีกำไร
ข้อตกลงของการซื้อกิจการ คือ ผู้ผลิตรถจากจีนต้องให้ความช่วยเหลือ โวลโว เพื่อให้กิจการดำรงอยู่ได้โดยไม่มีผลกระทบต่อตลาดแรงงานในสวีเดน ส่วนกิจการทั้งหมดของ โวลโว ไม่ว่าจะเป็นลิขสิทธิ์ยี่ห้อรถ ชิ้นส่วน และหน่วยงานวิจัย และพัฒนา ต้องอยู่ในความดูแลของ จีลี ทั้งหมด ด้าน ฟอร์ด จะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ระหว่างที่มีการโอนกิจการให้กับ จีลี
หลังจากที่ปล่อยให้ โวลโว อยู่ในความครอบครองของ จีลี บริษัท ฟอร์ด จะเหลือการผลิตรถยี่ห้อที่เป็นของสหรัฐอเมริกาดั้งเดิม คือ ฟอร์ด ลินคอล์น และ เมอร์คิวรี เท่านั้นเอง สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ การขยายตัวธุรกิจรถของจีนในต่างประเทศ เพราะหลายบริษัทในจีน เริ่มก้าวเข้าไปครอบครองบริษัทรถรายใหญ่ของโลกด้วยการซื้อ แล้วก็ซื้อ
จีลี วอนท์มานานแล้ว ที่จะมีฐานการตลาดที่มั่นคงขึ้นในยุโรป แถมนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าข้อตกลงฉบับนี้น่าจะช่วยให้ จีลี มีทางลัดในการพัฒนาคุณภาพ เทคโนโลยี และยกระดับภาพลักษณ์ของบริษัทให้เป็นที่ยอมรับในตลาดรถตะวันตกได้สำเร็จเร็วขึ้น
กลุ่มบริษัท จีลี เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของภาคเอกชนที่มีชื่อเสียงในจีน ปัจจุบันสามารถผลิตรถยนต์ได้ปีละ 3 แสนคัน มียี่ห้อรถยนต์กว่า 30 ยี่ห้อ ที่มีสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาเต็มร้อย
บุคคลในแวดวงที่เกี่ยวข้องเห็นว่า จีลี ต้องแก้ปัญหามากมาย จากสถิติปรากฏว่า แม้ว่า โวลโว ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่เจ๋ง ด้านความปลอดภัย และมีชื่อเสียงมาก แต่ยอดจำหน่ายทั่วโลก ตกอยู่ในสภาพขาดทุนต่อเนื่องกันหลายปี การจะทำให้ โวลโว กลับมาได้กำไรอีกครั้งจึงเป็นเรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม จีลี ให้คำมั่นสัญญาว่า จะประกันให้บริษัทรถยนต์ โวลโว คงไว้ซึ่งความเป็นผู้นำหน้าด้านเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ในโลก และจะมีความพิเศษด้านการแข่งขันในตลาดจีนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
คุณเชื่อหรือไม่ ?
โวลโว เปลี่ยนไป ?
บ้านเราเคยมี จีลี รุ่นหนึ่งที่ กอพพี หน้าตาของ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ โฉมเก่ามาโชว์ในงาน มหกรรมยานยนต์ เพื่อสำรวจตลาด ซึ่งรุ่นนี้มีขายอยู่ในจีนด้วย แต่วันนี้ จีลี ไม่ต้องเลียนแบบรถหรูอีกต่อไป เพราะเขามี โวลโว อยู่ในมือ อย่างไรก็ตาม แม้ โวลโว ตกเป็นของ จีลี แต่ โวลโว เอส 60 และ วี 60 โฉมใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวหลังการประกาศเรื่องนี้ออกไปเพียงเดือนเดียว ก็ยังมีแนวทางการออกแบบที่ชัดเจน ก็แน่ละ ทิศทางการออกแบบของมันเริ่มขึ้นสมัยอยู่กับ ฟอร์ด ฉะนั้น โวลโว ในมือ จีลี จะมีอนาคตอย่างไรต้องรอดูอย่างเดียวเลย
เรื่องราวทั้งหมดอาจสรุปได้ว่า วันนี้ วิน-วิน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย บริษัทเอเชียได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี บริษัทฝรั่งที่ล้มคะมำยังคงรักษาบแรนด์ให้คงอยู่ รับผิดชอบชีวิตลูกจ้าง และครอบครัวของเขาไว้ได้...
แม้บริษัทเอเชียจะซื้อกิจการบริษัทรถยนต์ฝรั่ง และเป็นข่าวดังกันทั้งสิ้น แต่เมื่อมองเบื้องหลัง การเจรจาซื้อขายก็มีหลายครั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จ
อย่าง เสฉวน เถิงจง เฮฟวี อินดัสเทรียล แมชินเนอรี ที่ว่าซื้อจะบแรนด์ ฮัมเมอร์ ซึ่งเกือบจะราบรื่น แต่ก็กลับต้องสะดุดกึกด้วยเหตุผลร้อยแปด โดยเฉพาะเรื่องอัตราการกินน้ำมันของ ฮัมเมอร์ ซึ่งขัดกับนโยบายผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานของรัฐบาลจีน แม้ จีเอม จะเร่ขาย ฮัมเมอร์ ไม่หยุด แต่ก็มีเพียงค่ายรถจีน 3-4 เจ้าเท่านั้นที่ทำได้เพียงสนใจ บอกง่ายๆ ว่าถึงรักแท้แต่ก็ดูแลไม่ได้ เพราะขัดนโยบายชาติ ส่วนประเทศอื่นๆ ก็พากันส่ายหัว จนถึงวันนี้เรื่องของ ฮัมเมอร์ ก็ยังค้างคาไม่จบไม่สิ้น
ความล้มเหลวในการซื้อกิจการของบริษัทรถฝรั่งของค่ายเอเชียครั้งนี้ และอีกหลายครั้ง (มีมากกว่าตัวอย่าง) อาจเป็นบทเรียนที่ช่วยให้ค่ายรถเอเชียเรา หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองมากขึ้น ที่สำคัญ การซื้อกิจการของค่ายรถต่างประเทศที่ดูแลยากๆ เป็นว่าเล่น ในอนาคตอาจจะกลายเป็นโทษกับค่ายรถเอเชียเองก็เป็นได้
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
เรื่องโดย : ศิธา เธียรถาวร sitha@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28919