รถไฮบริดติดเครื่องหมายสี่ห่วง

ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 80 ซึ่งมีขึ้นในเมืองนาฬิการะหว่างวันที่ 4-14 มีนาคม 2010 ค่าย "สี่ห่วง" ผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพของเมืองเบียร์ นำผลงานชิ้นใหม่ออกอวดตัวในลักษณะ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" หลายชิ้น และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ เอาดี เอ 8 ไฮบริด (AUDI A8 HYBRID) ที่ปรากฏโฉมอยู่ในขณะนี้ เอาดี เอ 8 ไฮบริด ยังเรียกตัวเองว่า CONCEPT CAR หรือ รถแนวคิด แม้ว่าหน้าตาและรูปทรงองค์เอวแทบไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากรถ เอาดี เอ 8 (AUDI A8) รุ่นสามัญซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 และเริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 2 โมเดล คือ AUDI A8 4.2 FSI QUATTRO รถขับ 4 ล้อ ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,163 ซีซี 372 แรงม้า กับ AUDI A8 4.2 TDI QUATTRO รถขับ 4 ล้อ ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,134 ซีซี 350 แรงม้า ที่เปลี่ยนไปอย่างมีสาระสำคัญจากรถรุ่นสามัญก็คือ แทนที่การขับเคลื่อนด้วยพลังจากเครื่องยนต์เบนซินหรือเครื่องยนต์ดีเซลดังกล่าวข้างต้นเพียงอย่างเดียว รถแนวคิดคันนี้ใช้ระบบขับแบบไฮบริด หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า HYBRID DRIVE โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี 211 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 33 กิโลวัตต์/45 แรงม้า ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ให้กำลังรวมสูงสุด 245 แรงม้า ค่าย "สี่ห่วง" ระบุว่า เอาดี เอ 8 ไฮบริด เป็นรถไฮบริดที่แท้จริง (FULL HYBRID) เพราะมีลักษณะการขับเคลื่อนทั้งแบบขับด้วยกำลังจากเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และใช้ร่วมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนั้นในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำหรือเมื่อเหยียบห้ามล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนสภาพเป็นเจเนอเรเตอร์ทำหน้าที่ประจุไฟเข้าแบทเตอรีอีกต่างหาก และในสภาพที่วิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว รถจะเดินทางได้ไกลประมาณ 2 กม.ด้วยความเร็วสูงสุด 65 กม./ชม. ซึ่งค่าย "สี่ห่วง" บอกว่า น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการขับขี่ในเขตเมืองซึ่งต้องขับแบบวิ่งๆ หยุดๆ ซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า URBAN STOP-AND-GO TRAFFIC ระบบขับแบบไฮบริดดังกล่าวข้างต้น นอกจากช่วยเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ คือทำให้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง มีแรงม้าสูงเหมือนเครื่อง วี 6 สูบ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.6 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่สูงถึง 235 กม./ชม.แล้ว ยังส่งผลในทางบวกต่ออัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและปริมาณไอเสียอีกต่างหาก ตามตัวเลขของค่าย "สี่ห่วง" ที่น่าจะเชื่อถือได้ รถไฮบริดสุดหรูแบบนี้ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยแค่ 6.2 ลิตร/100 กม.หรือ 16.1 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 144 กรัม/กม. นับเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมากสำหรับรถระดับนี้