คอลัมน์ประจำ
หากจะชนะ ก็จงชนะที่ใจ หาใช่ด้วยกำลัง
INVICTUS
"หากจะชนะ ก็จงชนะที่ใจ หาใช่ด้วยกำลัง"
แค่เพียงไม่ถึง 5 นาที หนังเรื่องนี้ก็ปูทางไว้อย่างหมดจด และแค่เพียงไม่ถึง 5 นาทีแรก หนังเรื่องนี้
ก็อาจเรียกน้ำตาของผู้ที่เข้าใจดีถึงคำว่า "ความเท่าเทียม" โดยมีสิทธิอันชอบธรรมของคำว่ามนุษย์
เป็นพื้นฐาน หาได้ติดอยู่ในกรอบของคำว่า ดำหรือขาว ซ้ายหรือขวา ฉลาดหรือโง่ และมั่งมี
หรือยากจน
เนลสัน แมนเดลา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้ ประกาศก้องหลังจากเขาเข้ารับ
ตำแหน่ง เขาบอกประชาชนทั้งหลายว่าให้วางอาวุธ ยุติการเป็นสกังค์ของโลก แต่พอทำงานได้
วันแรก หนังสือพิมพ์ก็พาดหัวใหญ่โตเป็นเชิงปรามาสไปก่อนว่า
"เขาชนะการเลือกตั้ง แต่จะบริหารประเทศได้หรือเปล่า ?"
หน่วยอารักขาก็ส่ายหน้าบอก แมนเดลา ว่า ยังไม่ทันทำงานพวกเขาก็เล่นท่านเสียแล้ว แมนเดลา
ก็ส่ายหัวตอบ เขามีสิทธิ์ถามอย่างนั้น..."สิทธิ์" และคำพูดประดานี้ รวมถึงคำว่า ความปรองดอง
การให้อภัย และอื่นๆ อีกมากที่เราเคยผ่านตา จะปรากฏอยู่บนเนื้อหนังทุกย่างก้าวที่ แมนเดลา
เดินเข้าไป เขาไว้ใจแม้กระทั่งคนที่เคยเป็นศัตรู และบอกเพียงสั้นๆ ว่า อดีต คือ อดีต อนาคต คือ
การทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างประเทศ...แมนเดลา พูดด้วยการกระทำ
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชีวิตของ แมนเดลา ก็เป็นเพียงชีวิตเล็กๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งต้องถูกจำคุก
ยาวนานถึง 27 ปี ก่อนออกมาชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาบดี เขาต้องถูกแยกจากครอบครัว
ภรรยา และลูกสาว สุดท้ายเขาก็อาจจะชอกช้ำใจ เมื่อต้องเอ่ยปากบอกใครว่า ครอบครัวเขาเป็น
ครอบครัวใหญ่ที่มีคนมากถึง 42 ล้านคน ซึ่งเป็นพลเมืองชาวแอฟริกาใต้...ไม่ว่าผิวดำ หรือผิวขาว
และมันเป็นความชอกช้ำยิ่งกว่า เมื่อเขาพบว่าตนต้องพาผู้คนเหล่านั้นให้รอดพ้นจากสภาวะ
อดอยาก ปัญหาสังคม อาชญากรรมรายวัน และปัญหาเศรษฐกิจ ไม่รวมถึงเรื่องการเมืองที่เขา
ต้อง "ต่อสู้" เพื่อที่จะไม่ต้องสู้กับศัตรูในอดีต และพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน ในหนทางข้างหน้า
ของการเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ แมนเดลา ทำอย่างจริงจัง และไม่ยอมให้ปล่อยผ่านแม้จะมีการโหวทออกมาแล้ว
ก็คือ เรื่องของกีฬา "รักบี"
เขาไม่ยอมให้ความเกลียดชังของคนดำมาทำลายทีมชาติดั้งเดิม ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเล่นโดย
คนผิวขาว เชียร์โดยคนผิวขาว และมีกองเชียร์คู่แค้น คือ คนผิวดำ ซึ่งทำการเชียร์ทุกทีมที่ทีมนี้
แข่งขันด้วย แมนเดลา บอกว่า หากเรายุบทีมเขา ก็เท่ากับเราตอกย้ำถึงสิ่งที่พวกเขากลัว
ความกลัวดังกล่าว ก็คือ "การเอาคืน" จากคนผิวดำที่ถูกคนผิวขาวกดขี่มาช้านาน กระทั่งการเลือกตั้ง
ก็ยังไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน
หนังเปิดเผยความคิดและวาทะอันคมคายของ แมนเดลา ได้อย่างสง่าผ่าเผย เป็นวาทะที่เรา
คนดูรู้ว่าเขาไม่ได้แค่พูดไปเรื่อย แต่เขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ด้วยประสบการณ์การคลุกคลีอยู่กับ
นักโทษผิวขาวและผู้คุมผิวขาว ตลอดเวลาที่อยู่ในคุกเขาพบว่า หากจะชนะก็ต้องชนะที่ใจ
หากจะชนะใจก็ต้องรู้จักฝ่ายตรงข้ามให้ดีเสียก่อน
บทนี้แสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน ซึ่งเล่นได้สมจริงที่สุดแล้ว นับตั้งแต่เห็นเขารับบทผู้นำต่างๆ
นานามา และหนังยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก ด้วยการให้ แมทท์ เดมอน เป็นกัปตันทีมชาติ
รักบี ถามว่าหนังเรื่องนี้ใครกำกับ ชื่อของเขาจำไม่ยากครับ...เขาชื่อ "คลินท์ อีสต์วูด"
A SERIOUS MAN
"จงยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ"
หนังของพี่น้องโคเอนเรื่องนี้ เปิดตัวด้วยแรบไบ หรือพระของทางยิวรูปหนึ่ง ซึ่งชาย (ไม่) หนุ่ม
ผู้เป็นสามีบังเอิญไปเจอระหว่างทาง จึงชวนกลับมาทานซุปในบ้านด้วย แต่คนเป็นภรรยาเห็นเข้า
กลับใช้ที่เจาะน้ำแข็งแทงที่หน้าอก เพราะเชื่อหมดใจว่าคนผู้นี้ตายไปตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว
บทนำสั้นๆ ของหนังไม่ได้บอกว่าสุดท้ายแล้ว นี่คือ พระ หรือผีกันแน่ เพราะจู่ๆ แรบไบนี้ก็ขอตัว
ลากลับ ด้วยสำนึกว่าเจ้าบ้านคงไม่ต้อนรับเขาแล้ว...ก็ลากลับทั้งๆ ที่มีเหล็กปักอกนั่นล่ะ
ผ่านไปอีกหลาย 10 ปี ในยุคสมัยที่แผ่นเสียงกำลังเรืองรอง และรถรายังไม่ขวักไขว่ หนังพาผู้ชม
มาที่ชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีครอบครัวที่ชื่อว่า "กอพนิค" อาศัยอยู่ เช่นเดียวกับตอนเปิดเรื่อง กอพนิค
คือ ครอบครัวชาวยิว ที่ไม่ละเลยในการเป็นยิวที่ดีตามแบบฉบับความเชื่อสืบต่อกันมา พวกเขาพยายามดำเนินชีวิตตามรอยจารีตประเพณีทุกขั้นตอน
แม้ว่าลึกๆ แล้วครอบครัวนี้จะมีลูกชายที่เกเร มีลูกสาวที่ห่วงแต่เที่ยว และมีคุณภรรยาที่จ้องแต่
จะมีแฟนใหม่ให้ได้ คุณสามี (ที่มีพี่ชายสติเลอะเลือนอีกคนหนึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย) ก็พยายาม
ประคับประคองครอบครัวนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี จนเมื่อภรรยาเดินเข้ามาบอกตรงๆ ว่า คงต้องถึง
เวลาหย่ากันซักที ช่วยจัดการเรื่องใบหย่าให้ด้วย
และนั่นเองที่ชีวิตคุณสามีเริ่มดำเนินเข้าสู่เรื่องราวของหนัง ด้วยคำถามที่ว่า "เขาควรทำอย่างไรดี ?"
จากบทที่ 1 ซึ่งว่าด้วย "แรบไบ คนที่ 1" แรบไบในยุคนี้ดูทีก็คล้ายกับจิตแพทย์ ใครมีปัญหาอะไร
ก็บอกให้ไปคุยกับแรบไบ และแรบไบก็ยังได้เงินจากการให้คำปรึกษาด้วย วิธีการก็คล้ายๆ กัน
ผิดแต่ว่าไม่ต้องนอนลงก่อนพูดคุยกันก็เท่านั้น
"แรบไบ คนที่ 2" หนังชักจะพาเราสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่อาจต้องอดทนดู ตอนนี้จะรู้แล้วว่า
ไอ้ภาพเจ๋งๆ หรือซาวน์ดประกอบเนียนๆ กระทั่งการเลือกเพลงเท่ๆ กวนๆ ขึ้นมาใช้นั้น ไม่ใช่
เรื่องบังเอิญ หรือเป็นความสามารถสุดโต่งของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในทีมผู้สร้าง แต่มันคือ การตั้งใจ
วางไว้อย่างแยบคายที่สุด
ตอนนี้เองที่เราจะได้ฟังเรื่องราวของชายผู้หนึ่งซึ่งฟันของเขาสามารถอ่านได้ว่า "ช่วยด้วย" นี่ไม่ใช่
เรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริงของทันตแพทย์ซึ่งต้องกลุ้มใจกับข้อความที่เขาพบบนฟันคนไข้
แล้วไม่สามารถกินอยู่หลับนอนเป็นปกติสุขได้ หากไม่เข้าใจว่า เขาควรช่วยอะไร ช่วยใคร
และช่วยอย่างไร จนกระทั่งเขาตีความถอดรหัสใหญ่โตแต่ก็ไม่พบคำตอบ
ถามว่าแล้วทันตแพทย์ผู้นี้ทำอย่างไร ?
แรบไบ คนที่ 2 บอกว่า ทันตแพทย์ก็ตรวจฟันคนไข้ต่อไป เผื่อว่าจะเจอข้อความใหม่ แต่ในเมื่อ
ไม่เจออะไร เขาก็ลืมมันไปในที่สุด ซ้ำยังบอกต่อว่า อาการที่ กอพนิค เป็นอยู่ก็เหมือนกับ
ปวดฟัน ทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็หายไปเอง
กอพนิค ก็เถียงไป บอกว่าไม่อยากหายเอง เขาต้องการคำตอบ แรบไบก็บอกว่า แน่นอน ทุกๆ คน
ก็ย่อมอยากรู้คำตอบ แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องตอบเรา เพราะท่านไม่ได้ติดค้างอะไรเรา มีแต่เรา
ต่างหากที่ติดค้างท่าน
แต่ความพยายามของ กอพนิค ก็ไม่ลดละ เขาถามกลับไปเหมือนที่ใจคนดูอยากจะรู้เหมือนกันว่า
แล้วเรื่องราวในหนังเรื่องนี้มันจะจบยังไง แรบไบก็ตอบหน้าตายว่า
"พระเจ้าไม่ได้บอกผมไว้นะ"
ศิลปิน : DIANE BIRCH
อัลบัม : BIBLE BELT
แนวดนตรี : SOUL/POP
"ศักยภาพแห่งดนตรีที่เหมือนจะไม่มีอะไร"
DIANE BIRCH เกิดที่รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 มกราคม ปี 1983 ใช้ชีวิตวัยเด็กกึ่งพเนจรนิดๆ เพราะอยู่มาหมดแล้ว ทั้งซิมบับเว, แอฟริกาใต้ และซิดนีย์ ออสเตรเลีย เนื่องจากต้องติดตาม
คุณพ่อซึ่งเป็นนักเทศน์ในนิกาย SEVENTH-DAY ADVENTIST พออายุได้เจ็ดขวบจึงเริ่มเรียนเพียโนในหลักสูตรของ SUZUKI METHOD หลังจากกลับมาอยู่ที่ พอร์ทแลนด์ โอเรกอน
SUZUKI METHOD ก็คือ สถาบันการศึกษาที่มีปรัชญาว่าด้วยการมุ่งพัฒนาขีดความสามารถของ
ผู้เรียนให้เกิดศักยภาพสูงสุด และให้มีบุคลิกที่สวยงามตามแบบฉบับของตน โดยผ่านการขัดเกลา
จากสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
หลังจากนั้น เมื่อเธอมีอายุพอที่จะเผชิญชีวิตได้เอง เธอจึงย้ายไปอยู่ที่ลอสแองเจลิส มีอาชีพเป็น
นักเพียโนรับจ้าง สุดท้ายก็ได้เล่นในโรงแรมเบเวอรี แล้วจึงมีผลงานการดนตรีของตนเองออกมา
เป็นครั้งแรก ผ่านหน้าเวบบลอคของเธอใน myspace.com และในปี 2007 เธอก็ได้เซ็นสัญญา
เข้าเป็นศิลปินในค่าย S-CURVE RECORD
ไม่ต้องถามว่าได้รับอิทธิพลทางดนตรีแนว GOSPEL (เพลงที่นิยมร้องในโบสถ์) แนว SOUL และ
แนว BLUES มาจากใคร แต่จงสงสัยต่อไปว่าทำไม นิตยสาร ROLLING STONE จึงพูดถึงผลงาน
ของเธอในแง่ที่ดี จนรายการทีวีดังๆ หลายต่อหลายรายการนำเธอไปออกอากาศ
นอกจากนี้ เพลงของเธอยังได้รับเลือกให้เป็นเพลงไฮไลท์ใน STARBUCKS ITUNES PICK มีอัลบัมแรก
ที่ติดชาร์ทขายดีอันดับต้นๆ ในประเทศญี่ปุ่น จนบัตรคอนเสิร์ทขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว
แถมเพลงเปิดตัวอัลบัมที่ชื่อ VALENTINO ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเพลงประกอบภาพยนตร์รัก
แห่งปี เรื่อง VALENTINE'S DAY ด้วย
และมิวสิควีดีโอเพลงนี้ที่เพิ่งปล่อยออกไป ก็ทำเอาใครหลายคนต้องติดตามผลงานของเธอเพิ่ม
มากขึ้น เพราะนอกจากเพลงจะไพเราะแล้ว เธอและทีมงานยังทำมิวสิควิดีโอออกมาได้น่ารัก
อย่างเหลือเชื่อ ที่ต้องบอกว่าเหลือเชื่อก็เพราะมันเป็นงานที่ผ่านการคิดมาแบบแยบคาย แต่สนุก
พิถีพิถัน และต้องแม่นยำในทุกๆ จังหวะของเวลา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป็นการถ่ายทำแบบ
รวดเดียวจบ ไม่มีเทค 2 หรือ 3 ให้รำคาญใจ
ซิงเกิลที่ชื่อ NOTHING BUT A MIRACLE เธอก็โชว์ทักษะการร้องได้ครองใจคนฟัง ทั้งจังหวะและ
เมโลดีต่างก็สอดประสานกันจนกลายเป็นเพลงรักที่มากกว่าเพลงรัก เป็นเพลงที่เหมือนไม่มีอะไร
แต่ก็อัศจรรย์ใจที่ได้ฟัง
เพลงต่อมา REWIND ไม่อาจกล่าวได้ว่าไพเราะอย่างล้ำเหลือ แค่พอฟังได้ไม่เคอะเขินรูหู แม้จะมี
ลีลาการบรรเลงเพียโนที่น่าสนใจมากๆ กระทั่งในช่วงท้ายของเพลงที่ไล่เสียงขึ้นสูง แต่ก็แค่
พอฟังได้ (บ่อยๆ) เท่านั้นเอง...ไม่มากไม่มาย
RISE UP เพลงต่อมามากกว่าที่น่าจะปูทางบนถนนดนตรีให้เธอแบบยาวไกลและโชติช่วง SOUL
ดีๆ ขนาดนี้ พโรดัคชันเสียงขนาดนี้ คงมีไม่มากที่จะเกิดจากผลงานอัลบัมชุดแรก ฟังแล้วให้นึกถึง
HEY JUDE ของวงสี่เต่าทองผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นในภาคของหญิงสาวผู้เบิกบานสดใสกับโลกใบนี้
มิได้ตรอมตรมเหมือนเพื่อน JUDE แต่อย่างใด
เหลืออีกเกือบ 10 เพลงที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง แต่ก็สรุปให้ได้ว่าเป็นอัลบัมที่ดี ถ้าหากชอบฟังเสียง
ผู้หญิงร้อง SOUL POP เคล้ากับเสียงเพียโน...
ศิลปิน : THE CHEMICAL BROTHERS
อัลบัม : FURTHER
แนวดนตรี : ELECTRIC
"ไม่ไกลเกินใจจะเปิดรับ"
อัลบัมชุดที่ 7 ของพี่น้องกุมารเคมี ออกอาละวาดตามแผงแผ่น และตลาดออนไลน์มาตั้งแต่
กลางเดือนมิถุนายน ศิลปินดูโอจากอังกฤษคู่นี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวพ่อของดนตรีแนว
อีเลคทรอนิคา โดยเฉพาะจังหวะอีเลคทรอนิคที่ชนชาวแดนศ์ให้สมญานามว่า "BIG BEAT
ELECTRONIC DANCE"
TOM ROWLANDS และ ED SIMONS คือ พี่น้องต่างสายเลือดที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก
ก่อนแยกย้ายกันไปหาประสบการณ์วัยเยาว์ตามแต่หนทางของตัวเอง จนสุดท้ายก็มารวมตัวกัน
เป็นดีเจ ภายใต้ชื่อ "NAKED UNDER LEATHER" ในปี 1992 เปิดทั้งแผ่นแนว HIP HOP/HOUSE
และ TECHNO
สุดท้ายก็ร่วมทำเพลงด้วยกัน ในนาม "THE DUST BROTHERS" แต่ต่อมาก็ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่
เพราะไปเหมือนกับวงหนึ่งในสหรัฐอเมริกา วงพี่น้องพ้องฝุ่นจึงกลายมาเป็นวงกุมารเคมี
หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า THE CHEMICAL BROTHERS
ทั้งคู่มีผลงานโดดเด่นติดหูนักโยกบนฟลอร์ ทั้งเพลง HEY BOY HEY GIRL เพลง GALVANIZE
และเพลงอื่นๆ อีกมากมาย จนได้รับรางวัลแกรมมี สาขา BEST ROCK
INSTRUMENTAL PERFORMANCE และได้รับการยอมรับจากเพื่อนศิลปินในแวดวงดนตรี
กระทั่งได้ร่วมงานกัน และกลายเป็นผลงานที่นักฟังเพลงหลายต่อหลายคนชื่นชม
เพราะในความเป็นนักทดลองทางเคมีดนตรีที่ดูจะสุดลิ่มทิ่มประตู 2 กุมารเคมี (ซึ่งมีอายุรวมกัน
ห่างจากร้อยไม่กี่สิบ) ก็ได้หยิบจับเอาความโดดเด่นของศิลปินแต่ละคนมาผสมผสานได้อย่าง
ลงตัว อาทิ วง MIDLAKE ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องการทำเพลงให้ดูเก่าสนิมเขรอะ เมื่อมาเจอกับ
พวกเขาก็กลายเป็นดนตรี RETRO เท่ล้ำเหลือ
หรือจะเป็น BRIT ROCK ลูกคอดีอย่าง RICHARD ASHCROFT ที่ถนัดแต่การเล่นกีตาร์คลอเสียง
กลองงึมงำ เขาก็จับมาผสมข้ามสายพันธุ์ให้มีความตื่นตัวและตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
มาถึงอัลบัมชุดที่ 7 ที่ชื่อ "FURTHER" พวกเขาขนเพลงมาทั้งสิ้น 8 เพลงด้วยกัน (ในแผ่นธรรมดา
ซึ่งไม่มีโบนัสพิเศษอีก 2 เพลง เหมือนแบบสั่งซื้อจาก ITUNES) เพลงแรก "SNOW" เปิดด้วย
เสียงเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังทำงานค่อนข้างกวนโสตประสาท และต้องใช้ความอดทนพอดู
กว่าเมโลดีหรือท่วงทำนองจะปรากฏ เพราะต้องรอถึงครึ่งเพลงกว่า "ของ" จะออก
เพลงที่ 2 "ESCAPE VEROCITY" ตัดเป็นซิงเกิลปล่อยออกมาชิมลางก่อน อัลบัมเต็มชุดนี้มีการ
กล่าวถึงพอสมควร เพราะแฟนๆ ติดตามถามไถ่รอคอยผลงานมาตลอด 2 ปี ความยาวทั้งสิ้นเกือบ
12นาที มีครบทุกลูกเล่นเส้นเสียง
ถ้าจินตนาการถึงไฟสีเขียวที่ฉายออกจากเครื่องยิงเลเซอร์ในผับ มันก็ฉายไม่หยุดตั้งแต่ต้นจนจบ
และจงอย่าถามถึงเนื้อเรื่องซะให้ยาก...ไม่มีหรอก
เพลงที่ 3 "ANOTHER WORLD" จึงเริ่มจับต้องอารมณ์ดนตรีทั่วไปได้หน่อย แม้จะไม่มีเนื้อร้อง
มากมาย แต่ก็พอเข้าใจว่าที่แท้แล้วเพลงอยากจะพูดอะไร เพราะเป็นจังหวะช้าๆ แต่ทว่าไม่
เนิบนาบ หากรักและชอบการมิกซ์เพลงแบบ 3-4 แผ่นไปเรื่อยๆ คงอยากกราบกรานฝากตัว
เป็นศิษย์ เพราะมันช่างนวลเนียนไร้ตะเข็บรอยต่อ ถ้าเป็นผ้าก็ต้องบอกว่าทอเต็มผืน ล้มตัว
ลงนอนก็ต้องหลับเต็มตื่นกันเลยทีเดียว (ฮา)
ถือเป็นอัลบัมฟังเพลินๆ ในยามฝนพรำๆ จังหวะบางอย่างเขาสร้างไว้ให้เราใช้จินตนาการไป
เติมเต็ม บางบทเพลงอาจไม่เหมาะที่จะฟังทุกวัน แต่มีไว้ตัดอารมณ์กันบ้างก็ดีนะ...
เรื่องโดย : ปัญญ์ carstereo@autoinfo.co.th
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : คอลัมน์ประจำ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28755