ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่มืดมัวยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้แสงเดือนดาว เพราะบ้านเกิดเมืองนอนของเราเปลี่ยนสภาพจากสยามเมืองยิ้มเป็นสยามเมือง (ขัด) แย้งไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยรถกิจกรรมกลางแจ้งสุดหรู ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ โพร์เช กาเยนน์ (PORSCHE CAYENNE)

ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่มืดมัวยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้แสงเดือนดาว เพราะบ้านเกิดเมืองนอนของเราเปลี่ยนสภาพจากสยามเมืองยิ้มเป็นสยามเมือง (ขัด) แย้งไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยรถกิจกรรมกลางแจ้งสุดหรู ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ โพร์เช กาเยนน์ (PORSCHE CAYENNE) ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์นำรถ โพร์เช กาเยนน์ รุ่นแรกออกจำหน่ายเมื่อปี 2002 ในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งสุดหรูขนาดกลาง ที่มีโครงสร้างตัวถังเหมือนรถเก๋ง อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า MID-SIZE LUXURY CROSSOVER SUV รถรุ่นดังกล่าวเป็นผลงานจากความร่วมมือกับ โฟล์คสวาเกน ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เกี่ยวดองกันอย่างเหนียวแน่นเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้น รวมทั้งพแลทฟอร์มและบานประตูร่วมกับรถ โฟล์คสวาเกน ตูอเรก (VOLKSWAGEN TOUAREG) ส่วน โพร์เช กาเยนน์ ที่เห็นอยู่นี้เป็นรถรุ่นที่ 2 เปิดตัวทางเวบไซท์มาตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2010 และเริ่มจำหน่ายไปแล้วเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดและมีขนาดตัวถังที่โตกว่ารถรุ่นแรกในทุกมิติ คือยาว 4.846 ม.กว้าง 1.939 ม. และสูง 1.705 ม. เทียบกับตัวถังของรถรุ่นเดิม ซึ่งยาว 4.798 ม.กว้าง 1.928 ม. และสูง 1.699 ม. ก็จะพบว่า ขนาดความยาวเพิ่มขึ้นประมาณ 5 ซม. ขนาดความกว้างเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ซม. และขนาดความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จนวัดแทบไม่ได้ ในขณะที่ช่วงฐานล้อขยายจาก 2.855 เป็น 2.895 ม. คือยาวขึ้น 4 ซม. ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ ซึ่งบ่งบอกความลื่นลมยังคงเดิมคือ 0.36 รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก ฟันธงได้เลยว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม มองจากมุมไหน ใกล้หรือไกลแค่ไหน ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นรถ โพร์เช กาเยนน์ ในส่วนที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยสายตา ต้องขับถึงจะรู้ (หรือบางทีก็ไม่รู้) คือ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ท ซึ่งหันมาเอาดีทางรถกิจกรรมกลางแจ้งด้วย ยืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เหนือกว่ารถรุ่นเดิมในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอัตราการบริโภคเชื้อเพลิง ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 23 ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบและพัฒนาตามหลักการที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า PORSCHE INTELLIGENT PERFORMANCE ซึ่งมีเนื้อหาที่อธิบายได้ว่า MORE POWER ON LESS FUEL, MORE EFFICIENCY AND LOWER CARBONDIOXIDE EMISSION หรือแปลเป็นไทยได้ว่า "กำลังสูงกว่าโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ทรงประสิทธิผลกว่า และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า" แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามขนาด และประเภทเครื่องยนต์รวม 5 โมเดล คือ โพร์เช กาเยนน์ (PORSCHE CAYENNE) โพร์เช กาเยนน์ เอส (PORSCHE CAYENNE S) โพร์เช กาเยนน์ เทอร์โบ (PORSCHE CAYENNE TURBO) โพร์เช กาเยนน์ ดีเซล (PORSCHE CAYENNE DIESEL) และ โพร์เช กาเยนน์ เอส ไฮบริด (PORSCHE CAYENNE S HYBRID) ทุกโมเดลเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยชุดขับแบบใช้คลัทช์หลายแผ่นควบคุมการทำงานด้วยระบบอีเลคทรอนิค ที่ค่ายนี้เพิ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ โมเดลพื้นฐาน คือ โพร์เช กาเยนน์ ติดตั้งเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 3,598 ซีซี 300 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S สามารถทำความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. โมเดลถัดไป คือ โพร์เช กาเยนน์ เอส ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,806 ซีซี 400 แรงม้า และใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 258 กม./ชม. โมเดลหัวกะทิ คือ โพร์เช กาเยนน์ เทอร์โบ ติดตั้งเครื่องไบเทอร์โบ DOHC วี 8 สูบ 4,806 ซีซี 500 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 278 กม./ชม. โมเดลเดียวที่เป็นรถดีเซล คือ โพร์เช กาเยนน์ ดีเซล ติดตั้งเครื่องเทอร์โบคอมมอนเรล DOHC วี 6 สูบ 2,967 ซีซี 240 แรงม้า และใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S สามารถทำความเร็วสูงสุด 218 กม./ชม. ส่วน โพร์เช กาเยนน์ เอส ไฮบริด ซึ่งเป็นรถไฮบริดแบบแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ ใช้เครื่องซูเพอร์ชาร์จฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี 333 แรงม้า ของค่าย เอาดี (AUDI) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 34 กิโลวัตต์/47 แรงม้า ใช้แบทเตอรีนิคเคิล-เมทัล ไฮดไรด์ (NICKEL-METAL HYDRIDE) ขนาด 288 โวลท์ 6 แอมพ์ชั่วโมง และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S สามารถทำความเร็วสูงสุด 242 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ที่ต่ำมากสำหรับรถขนาดนี้ คือแค่ 8.2 ลิตร/100 กม. หรือ 12.2 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 193 กรัม/กม. ซึ่งก็นับว่าต่ำเช่นกัน