พิเศษ
กรมอุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่ากลางเดือน เมษายน นี้ อุณหภูมิจะพุ่งสูงสุดถึง 42 องศาเซลเซียส อากาศหฤโหดขนาดนี้ ระบบปรับอากาศในรถของคุณสู้ไหวหรือเปล่า ? เราให้เวลาคุณล่วงหน้า 1 เดือน สำหรับการเตรียมแอร์รถเพื่อรับมือกับความร้อนระอุระดับนี้ เพื่อให้ฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะถึง ซึ่งมักใช้รถคันเก่งเดินทางเป็นการ "พักร้อน" อย่างแท้จริง
กรมอุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่ากลางเดือน เมษายน นี้ อุณหภูมิจะพุ่งสูงสุดถึง 42 องศาเซลเซียส อากาศหฤโหดขนาดนี้ ระบบปรับอากาศในรถของคุณสู้ไหวหรือเปล่า ? เราให้เวลาคุณล่วงหน้า 1 เดือน สำหรับการเตรียมแอร์รถเพื่อรับมือกับความร้อนระอุระดับนี้ เพื่อให้ฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะถึง ซึ่งมักใช้รถคันเก่งเดินทางเป็นการ "พักร้อน" อย่างแท้จริง
มารู้จักแอร์กันดีกว่า
แอร์ หรือ ระบบปรับอากาศภายในรถ หลายคนรู้อยู่แล้วว่ามันช่วยทำให้อากาศภายในรถนั้นเย็น แต่มันเย็นได้อย่างไรล่ะ ?
ระบบปรับอากาศทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ โดยวิธีการดูดเอาความร้อนจากภายในห้องโดยสารออกไปทิ้งภายนอก ด้วยหลักการ คายความร้อน และรับความร้อน ของสารที่สามารถเปลี่ยนสถานะจากแกสเป็นของเหลว และจากของเหลวเป็นแกสได้ เรียกรวมว่า "ความร้อนแฝง" ยกตัวอย่าง ความร้อนแฝงให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เมื่อเราหยดแอลกอฮอลลงบนผิวหนัง เราจะรู้สึกว่าเย็นในช่วงที่แอลกอฮอล์ยังเป็นของเหลวอยู่ แต่เมื่อใดที่มันระเหยกลายเป็นไอไปแล้ว เราจะรู้สึกเหมือนปกติ เนื่องจากแอลกอฮอลจะดูดความร้อนจำนวนหนึ่งจากผิวเราไป ความเย็นที่เรารู้สึกนั่นแหละ คือ ความร้อนแฝง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับแอร์รถยนต์
แอร์รถยนต์ทำงานอย่างไร ?
เริ่มต้นด้วย คอมเพรสเซอร์ (COMPRESSOR) จะใช้พลังงานส่วนหนึ่งจากเครื่องยนต์มาหมุนสายพาน เพื่อหมุนพูเลย์หน้าคอมเพรสเซอร์ ที่มีคลัทช์แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวตัดต่อ ลูกสูบภายในคอมเพรสเซอร์ จะอัดไอน้ำยาซึ่งอยู่ในสถานะแกส ให้มีอุณหภูมิและความดันที่สูงขึ้น ต่อจากนั้นน้ำยาความดันสูงจะไหลเข้าสู่คอนเดนเซอร์ (CONDENSER) ที่อยู่บริเวณส่วนหน้ารถเพื่อรับลม เมื่อรถวิ่ง หรือจากพัดลมไฟฟ้าเพื่อพาความร้อนออก ซึ่งในนั้นจะมีลักษณะเป็นขดลวดคล้ายรังผึ้งหม้อน้ำ เมื่อไอน้ำยาคายความร้อนออก จึงทำให้อุณหภูมิลดลงจนกลายเป็นของเหลว และไหลออกจากคอนเดนเซอร์เพื่อเข้าสู่รีซีเวอร์ต่อไป
รีซีเวอร์เป็นกระบอกโลหะภายใน จะมีสารดูดความชื้นอยู่ เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า รีซีเวอร์/ดไรเออร์ (RECEIVER/DRIER) หรือจะเรียกว่าเป็นหม้อพักน้ำยาแอร์ก็ได้ ส่วนนี้ในระบบแอร์จำเป็นต้องมี เพราะเป็นระบบปิด และสัดส่วนการเป็นของเหลวและแกสของน้ำยาแอร์ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาวะการใช้งาน จึงต้องมีหม้อพักไว้รองรับ เป็นส่วนสำรองน้ำยาในสถานะของเหลว
ต่อจากนั้นน้ำยาที่มีสถานะของเหลวความดัน และอุณหภูมิสูงจะไหนผ่านไปยังลิ้นลดความดัน หรือเรียกว่า เอกซ์เปนชันวาล์ว (EXPANSION VALUE) น้ำยาที่ไหนผ่าน เอกซ์เปนชันวาล์วจะทำให้ของเหลวนั้นมีอุณหภูมิ และแรงดันต่ำลง ผสมกันเป็นฝอยละออง จากนั้นจะไหลไปสู่ อีแวพอเรเตอร์(EVAPORATOR) หรือที่ช่างชอบเรียกว่าตู้แอร์
น้ำยาที่เป็นฝอยจะระเหยเป็นไอในท่อที่คดเคี้ยวกลับไปกลับมาของ อีแวพอเรเตอร์ โดยน้ำยาจะดูดความร้อนเข้าตัวมันเองจากเนื้อท่อ และครีบรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ ท่อน้ำยาที่เย็นเฉียบก็จะดูดความร้อนจากอากาศที่ไหนผ่านมัน ซึ่งก็คืออากาศภายในห้องโดยสารที่นำพาโดยพัดลมไฟฟ้าในตู้แอร์ที่เราปรับระดับความแรงของพัดลมกันในรถนั่นเอง ทำให้น้ำยาเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไออีกครั้ง ซึ่งมีอุณหภูมิและความดันต่ำ และน้ำยาก็จะเข้าสู่คอมเพรสเซอร์อีกครั้ง เพื่อพาความร้อนไประบายออกที่คอนเดนเซอร์ เป็นวัฏจักรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เตรียมแอร์รถให้พร้อมรับร้อน
จะลงมือเตรียมแอร์รถรับร้อนกันทั้งที หลายคนอาจจะนึกเลยไปถึงการหาร้านซ่อมแอร์ไปแล้ว อย่าเพิ่งครับ ! เพราะเราสามารถตรวจเชคการทำงานของระบบแอร์ด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ ง่ายๆ ดังนี้
คุณรู้สึกอย่างไร ?
การตรวจเชคในวิธีนี้ต้องอาศัยความ "คุ้นเคย" กับรถกันสักหน่อย คือ ต้องรู้ถึงความเย็นในยามที่แอร์ทำงานเป็นปกติ เทียบกับขณะปัจจุบัน ว่ามีความรู้สึกที่แตกต่างกันหรือไม่ เช่น เปิดแอร์ตั้งนานแล้วยังไม่เย็น เจอแดดหน่อยก็สู้ไม่ไหว (เก่งเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตก) ติดไฟแดงแป๊บเดียว ร้อนแล้ว ! (ต้องวิ่งอยู่เท่านั้น) หรือจะสังเกตความเย็นจากระดับแรงลมในช่องแอร์ ว่าเย็นสม่ำเสมอหรือเปล่า ซึ่งถ้าแอร์เริ่มมีปัญหาความเย็นจะลดลงจนคุณต้องเพิ่มระดับความเย็น หรือระดับพัดลมกันอยู่เรื่อยๆ
พิสูจน์ตาแมว
หม้อพักน้ำยาแอร์ หรือ รีซีเวอร์/ดไรเออร์ เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำรองน้ำยาแอร์ และดูดความชื้น ซึ่งก็คือ น้ำนั่นเอง ด้านบนจะมีช่องมองกระจกทรงกลมเล็กๆ ที่ชอบเรียกกันว่า "ช่องตาแมว" ช่องนี้มีไว้ดูเวลาน้ำยาแอร์ โดยเมื่อติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ ถ้าเห็นว่า มีน้ำยาแอร์วิ่งผ่านและเกิดเป็นฟองบ้าง แสดงว่าปกติ แต่ถ้าเห็นเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แสดงว่าน้ำยาแอร์น้อยเกินไป และถ้าเห็นน้ำยาแอร์เต็มช่องโดยไม่มีฟองอากาศเลย แสดงว่าน้ำยาแอร์มีมากเกินกำหนด
รอยรั่วในระบบแอร์
น้ำยาแอร์จะไม่สามารถหายไปเองได้ นอกจากรั่ว หรือซึมออกมาอย่างช้าๆ การรั่วซึมนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของรถที่ใช้งานมาหลายปี น้ำยาแอร์สามารถซึมออกมาทางข้อต่างๆ ได้บ้างในอัตราที่น้อยมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักรั่วที่ใดที่หนึ่ง สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์ซึมติดเป็นคราบ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะส่วนที่เป็นโลหะผุทะลุ ก็อาจเป็นส่วนที่เป็นท่อยางขาดปริออกมา หรือแหวนกันรั่ว (โอ-ริง) เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ถ้าเป็นการรั่วที่รังผึ้งทำความเย็น หรือตู้แอร์ (อีแวพอเรเตอร์) จะสังเกตได้จากน้ำที่กลั่นตัวและหยดลงที่พื้นถนน ถ้ามีคราบน้ำมันลอยปนอยู่ด้วย แสดงว่ารั่วแน่ๆ
หลังจากวิเคราะห์ด้วยตัวเองในเบี้องต้นแล้ว แอร์รถยังปกติสุขดีอยู่ ก็โชคดีไป แต่ถ้าพบว่ารถของเรามีแนวโน้มที่แอร์จะเกิดปัญหาเสียแล้ว แนะนำว่าควรพาไปหาช่างซ่อมแอร์จะดีกว่า แต่อาการหลากหลายแตกต่างกันออกไป จะมีวิธีแก้ไขยังไงดีล่ะ เรารวบรวม 3 อาการ ที่มักเกิดกับแอร์ของรถคุณ และวิธีแก้ไขของช่างมาให้แล้ว
น้ำยาแอร์ขาด
วิธีแก้ : ช่างต้องเชครอยรั่วในระบบก่อน เพราะระบบแอร์นั้นเป็นระบบปิด น้ำยาแอร์ไม่สามารถหายไปได้เอง เมื่อแก้ไขรอยรั่วเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ ก็เป็นอันเรียบร้อย
ตู้ตัน
วิธีแก้ : ตู้แอร์ที่สกปรกเกิดจากการอุดตันของเศษฝุ่นละอองต่างๆ ที่ถูกพัดลมดูดผ่านอีแวพอเรเตอร์หรือคอยล์เย็นในตู้แอร์ ซึ่งเปียกอยู่เสมอขณะทำงานจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ ค่อยๆ ปลิวมาติดทีละเล็กน้อย ถ้าสะสมเป็นแรมปี แบบนี้ต้องถอดมาล้างสถานเดียว
แอร์เป็นน้ำแข็ง
วีธีแก้ : รถที่แอร์เป็นน้ำแข็ง จะมีกลิ่นเหมือนน้ำแข็งแห้งออกมาทางช่องแอร์ พัดลมแอร์จะไม่ค่อยแรง ถ้าเป็นลักษณะนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าน้ำยาแอร์น้อยเกินไป ทำให้ท่อภายในตู้แอร์กลั่นตัวมากจนเกาะเป็นน้ำแข็ง จึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนความร้อนได้ทัน วิธีแก้เบื้องต้นให้ปิดสวิทช์การทำงานของคอมเพรสเซอร์เสียก่อน และเปิดระดับความแรงของพัดลมในรถระดับสูงสุด เพื่อให้แรงลมพาความร้อนไปละลายน้ำแข็งออก ถ้าน้ำแข็งละลายหมดแล้วแอร์ก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิม ส่วนช่างจะแก้ไขด้วยการเชคน้ำยาแอร์ และระบบแอร์ทั้งหมด โดยเฉพาะรอยรั่ว
ตัวช่วย ! ทำให้แอร์เย็นเร็วขึ้น
1. จอดรถในร่ม
ข้อนี้ยากหน่อยต้องอาศัยโชค และสายตาที่เฉียบคม อาจจะเป็นใต้ต้นไม้ หรือเงาจากอาคารต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องรู้ถึงจุดเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของแสงอาทิตย์ ว่าตอนเช้า/บ่าย/เย็น จุดไหนที่ร่มบ้าง อาจต้องรู้ถึงฤดูกาลว่าฤดูไหนพระอาทิตย์ขึ้นและตกตรงไหน ว่าไปนั่น การจอดรถในร่มจะช่วยให้รถของคุณไม่ร้อน ตัวช่วยต่างๆ นี้เป็นตัวช่วยที่ทำให้แอร์ทำงานไม่หนักเกินไป ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง และที่สำคัญช่วยให้คนขับรถไม่เสียอารมณ์จากอากาศที่ร้อนอีกด้วย
2. ติดฟีล์มกันความร้อน
การติดฟีล์มกันความร้อนนั้น สามารถช่วยลดความร้อนจากแสงแดดได้มาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับฟีล์มแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อด้วย ว่าความสามารถในการลดความร้อนเป็นเท่าไร ฟีล์มกันร้อนยุคปัจจุบันสามารถลดความร้อนได้มากที่สุดถึง 83 % แต่ที่ถือว่าเป็นข้อดีอีกอย่างของฟีล์มกันความร้อน คือ สามารถป้องกันรังสีอุลทราไวโอเลท จากแสงอาทิตย์ได้เกือบ 100 % (เป็นรังสีที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง)
3. ลดกระจก
การลดกระจกเวลาจอดตากแดดจัดๆ เป็นการระบายความร้อนในอากาศบริเวณห้องโดยสารออกไปข้างนอกด้วยความดันตามธรรมชาติ ถ้าจะให้ได้ผลดี ต้องเปิดกระจกไว้ทั้ง 2 ข้างของรถ ให้อากาศไหลถ่ายเทความเย็นเข้าไป เพื่อนำความร้อนออกมา
5 ข้อสงสัยเกี่ยวกับแอร์
ถาม : ล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ ดีหรือไม่ ?
ตอบ : ตู้แอร์ที่สกปรกเกิดการอุดตันจากเศษวัสดุนานาชนิด เช่น เส้นด้าย เส้นผม เส้นใยจากเสื้อผ้า สิ่งเหล่านี้จะปลิวมากับอากาศที่ถูกพัดลมดูดผ่านอีแวพอเรเตอร์ หรือคอยล์เย็นในตู้แอร์ ซึ่งเปียกอยู่เสมอขณะทำงานจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ ค่อยๆ ปลิวมาติดทีละเล็กน้อย สะสมเป็นแรมปี ไม่มีทางหลุดออกมาได้ ถ้าไม่ถอดออกมาล้าง
ถาม : สตาร์ทเครื่องครั้งแรก ขณะเครื่องยังเย็นอยู่ สามารถเปิดแอร์ได้เลยหรือไม่ ?
ตอบ : ในการสตาร์ทเครื่องครั้งแรก เราสามารถที่จะเปิดแอร์ได้เลยทันที เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้ำในหม้อน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องรอให้เครื่องร้อนก่อน แต่ไม่ควรเปิดแอร์ครั้งแรกในความเร็วรอบสูง ควรเปิดแอร์ในความเร็วรอบต่ำ (รอบเดินเบายิ่งดี) สัก 10-15 วินาที เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นไปเคลือบลูกสูบภายในให้ทั่วก่อน เพราะคอมเพรสเซอร์จะทำงานก็ต่อเมื่อเราเปิดแอร์เท่านั้น
ถาม : ควรปิดแอร์ก่อนหรือหลังดับเครื่องยนต์ จึงจะถูกต้อง ?
ตอบ : ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าต้องปิดแอร์ก่อนดับเครื่องทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ลืมปิดเท่านั้น เพราะตอนสตาร์ทเครื่องยนต์เราไม่ต้องการให้สตาร์เตอร์ออกแรงขับคอมเพรสเซอร์ไปด้วย แต่ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ที่เป็นระบบอัตโนมัติ ระบบจะควบคุมให้คอมเพรสเซอร์ทำงานเมื่อเครื่องยนต์หมุนเร็วพอ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องปิดแอร์ก่อนดับเครื่องก็ได้
ถาม : รถที่ไม่ได้เปิดใช้แอร์เป็นเวลานาน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : รถที่จอดไว้เป็นเวลานานๆ อาจมีผลเสียกับระบบแอร์ได้ ควรจะต้องให้ระบบแอร์ได้ทำงานเป็นระยะๆ อาจเปิดใช้ระบบแอร์ซัก 2 อาทิตย์ครั้งก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งไว้เป็นเดือน เพราะซีลจะแห้งเนื่องจากขาดน้ำมันหล่อลื่น
ถาม : เวลาลุยน้ำต้องปิดแอร์หรือไม่ ?
ตอบ : เวลาลุยน้ำจะปิดหรือเปิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับระดับน้ำว่าลึกถึงตัวคอมเพรสเซอร์หรือไม่ ถ้าลึกถึง ก็ควรปิดแอร์เพราะน้ำอาจทำให้สายพานเกิดการสลิพ (หมุนฟรี) สายพานจะเสียหายได้ แต่ถ้าลุยไม่ลึกก็ไม่จำเป็นต้องปิดแอร์
แกล้งแอร์
เราทดลองการสูญเสียความเย็นและระยะเวลาในการทำความเย็นในสถานการณ์ต่างๆ โดยจำลองการใช้งานจริงในวิถีชีวิตประจำวัน 4 รูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ตัวแปรที่ต้องควบคุม คือ รถที่ใช้ทดลองคันเดียวกัน จอดรถตากแดด อุณหภูมิภายในรถที่ 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิภายนอกเฉลี่ย 31.4 องศาเซลเซียส ก่อนทดลองทุกครั้ง ตำแหน่งที่เธอร์โมมิเตอร์วัดบริเวณหลังเกียร์
1. รับบัตรจอดรถ
เปิดกระจกหน้าต่างลงสุด และอุณหภูมิก่อนรับบัตร คือ 28 องศาเซลเซียส ระยะเวลาการรับบัตร 8 วินาที หลังรับบัตรผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นเท่าเดิมที่ 28 องศาเซลเซียส เวลาระดับนี้ไม่มีผลทำให้ห้องโดยสารสูญเสียความเย็นได้
2. รับผู้โดยสาร 1 คน
รับผู้โดยสาร 1 คน ข้างคนขับ เปิดประตูสุด 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสาร ผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้นเพียง 0.1 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำอุณหภูมิให้เย็นเท่าเดิม (28 องศาเซลเซียส) คือ 55 วินาที
3. รับผู้โดยสาร 2 คน
ผู้โดยสารด้านหน้า 1 คน และด้านหลังซ้ายอีก 1 คน โดยเปิดประตูด้านซ้ายสุดทั้งหน้าและหลัง 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสารผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้นแค่ 0.2 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิม คือ 1.14 วินาที
4. รับผู้โดยสาร 3 คน
รับผู้โดยสาร 3 คน ด้านหน้า 1 คน และด้านหลัง 2 คน โดยเปิดประตูสุดทุกบานยกเว้นด้านคนขับรถ 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสารผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้น 0.3 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิม คือ 2.22 วินาที
สรุปผลทดลอง
ในการทดลองที่ 1 นั้น ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อความเย็นภายในห้องโดยสาร ถ้าเปิดหน้าต่างไม่เกิน 8 วินาที เนื่องจากการทำความเย็นของแอร์ ทำได้รวดเร็วจนสามารถชดเชยการเปิดหน้าต่างได้หมด
การทดลองที่ 2-4 อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคนละ 0.1 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ส่วนระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิมนั้น ผลปรากฏว่าการทดลองที่ 2 และ 3 ใกล้เคียงกัน แต่การทดลองที่ 4 จะต่างกันนาทีเศษ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าความดันในรถคงที่ (เป็นระบบปิด) เวลาเปิดประตูความดันที่สูงกว่าในรถจะไหลออกไปภายนอก ซึ่งมีความดันต่ำกว่า โดยการทดลองที่ 4 อากาศจะไหลผ่านได้ดีที่สุด เพราะเปิดประตูทั้งซ้ายและขวา จึงทำให้ความเย็นออกไปภายนอกมากที่สุดไปด้วย
*** เฉลยว่ารถยนต์ที่นำมาใช้ในการทดลองเพิ่งนำไปล้างระบบปรับอากาศและเติมน้ำยาแอร์มาหมาดๆ เห็นหรือยังว่าถ้าแอร์รถคุณสมบูรณ์ ร้อนนี้คุณก็จะ "พักร้อน" อย่างมีความสุขแล้ว
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ witthawin@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28510