ทั่วไป
"ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว หัวเราะยิ้มหวัว เต้นยั่วเหมือนฝัน"
"ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว หัวเราะยิ้มหวัว เต้นยั่วเหมือนฝัน"
จำบทประพันธ์นี้มากว่ากึ่งศตวรรษ และจำได้เป็นเลาๆ ว่าเป็นบทพระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ที่คนทั่วไปเรียกพระนามอย่างลำลองติดปากว่า "กรมพระนรา" พระบิดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นักปราชญ์นักการทูตคนสำคัญของไทยสมัยใหม่ (ถ้าจำผิด ท่านผู้รู้โปรดแจ้งให้แก้ไขให้ถูกต้อง จักขอบคุณยิ่ง)
ชีวิตของมนุษย์เรานี่แปลก บางครั้งเราก็นึกว่า เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่ อะไรดลบันดาลให้เรามาอยู่ที่นี่ คิดดูแล้วไม่ผิดหนังละครแต่ประการใด
เช่น คืนวันที่ 31 ธันวาคมคืนหนึ่ง หลังจากลูกๆ ซึ่งไปสนุกสนานกับเพื่อนๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลูกคนกลางโทรมาจากสหรัฐอเมริกา )หรือมิตรที่รักใคร่กันมานานกว่า 5 ทศวรรษ-โทรศัพท์มาบอกแฮพพี เบิร์ธเดย์ และสวัสดีปีใหม่ (เพราะแม่คลอดข้าพเจ้าคืนวันที่ 1 มกราคม) ข้าพเจ้ามองจากชั้น 15 ที่คอนโดหัวหิน มองลงไปที่ชายหาด และมองเห็นพลุสีต่างๆ งดงามแพรวพราว ทั่วทุกทิศ หลังจากยกมือไหว้พระรัตนตรัย รำลึกพระคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระมหากรณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทั้งในอดีต พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชาติบ้านเมือง ขอท่านได้โปรดคุ้มครองชาติบ้านเมืองให้พ้นภยันตราย ให้มีความสุขตลอดไป แล้วข้าพเจ้าก็นึกถึงชีวิตของตัวเอง
เช่น ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าพเจ้าไปดูหนังที่โรงหนังกแรนด์ (หลังวังบูรพา) คนเดียว จำชื่อได้แต่ตอนปลายว่า ...AFTER DARK แต่จำคำแรกไม่ได้ ไม่แน่ว่าเป็น WORLD หรือ DAY หรือ LIFE หรืออะไร (แต่พี่ชายที่รัก "จอสยาม"หรือ "ไก่อ่อน" ต้องจำได้ กรุณาบอกด้วยนะครับ) จำได้แต่แกนของเรื่องว่า พ่อเป็นนักตัดซุง วันหนึ่งก็โดนซุงที่เพื่อนคนอื่นตัดต้นอื่นแล้วล้มทับ แม่ต้องเอาลูก 2 คนโตไปฝากไว้กับญาติ หรือคนรู้จักห่างๆ คนเล็กอยู่กับแม่ สัญญากับลูกๆ ว่า เวลาหนึ่งในรอบปีต้องมาพบกันให้ได้
ข้าพเจ้าลูกกำพร้าพ่อเมื่ออายุ 6-7 ปี กำพร้าแม่เมื่ออายุ 15-16 ปี พี่คนโตไปเป็นพลตำรวจอยู่ต่างอำเภอ (ซึ่งสมัยก่อน...พศ. 2484 การคมนาคมลำบากมาก อย่าว่าโทรศัพท์เลย แม้แต่โทรเลขก็ยังต้องไปที่อำเภอเลย) พี่ชายคนรองต้องไปบวชอยู่ที่อำเภอเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ แล้วต่อมาก็เป็นเหน็บชาเพราะนอนลานซีเมนท์ในโบสถ์นานเป็นปี พี่สาวต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติที่อำเภอ เพื่อเรียนมัธยม เช่นเดียวกับพี่ชายคนถัดข้าพเจ้า ต้องอาศัยข้าวก้นบาตรเพื่อเรียนที่อำเภอเช่นกัน ในขณะนั้น ข้าพเจ้าอยู่กับแม่เพราะเป็นลูกคนเล็ก ท่านผู้อ่านโปรดนึกเถิดว่าข้าพเจ้านั่งเช็ดน้ำตาในความมืดเพียงใดตอนดูภาพยนตร์เรื่องนั้น เมื่ออายุประมาณ 20-21 ปี
พี่สาวเคยเล่าว่า ก่อนที่แม่จะท้องข้าพเจ้า แม่ฝันว่ามีแสงสว่างลอยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ความรู้สึกในฝันว่าเป็นดาว แต่ลอยมาใกล้แค่มือเอื้อม แต่เมื่อแม่เอื้อมมือไปคว้า แสงสว่างที่เข้าใจว่าดาวก็ลอยหนีไป แม่บอกว่าไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะเกรงว่าจะเป็นลางร้าย แต่พ่อ (เคยบวชเรียนมาจนคนเขาเรียกว่า "ทิด") บอกว่าน่าจะมีสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิต สมมติเป็นลูกเขาคงไปได้ดีในที่ห่างไกล เรื่องนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เกรงใครจะหาว่าจำมาจากนิทานเรื่องยิ่งใหญ่ที่ชอบมาก คือ เรื่องขุนช้างขุนแผน
คิดถึงเรื่องนี้คราวใด ข้าพเจ้ายิ่งคิดถึงแม่ เพราะแม่หวังเสมอว่า ข้าพเจ้าจะนำสิ่งดีๆ มาสู่ครอบครัว แต่ทว่า มันมาช้ามากๆ จนแม่ไม่มีโอกาสได้เห็น ได้ชื่นชม อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นลูกคนเล็กในจำนวนพี่น้อง 5 คน เมื่อเรียนจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ อย่าว่าแต่ครอบครัวชาวนาไกลปืนเที่ยงอย่างครอบครัวข้าพเจ้าเลย ดูเหมือนว่านั่นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นมีคนจบปริญญา เมื่อกลับไปบ้านครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเขียนไว้ในกลอนที่ชื่อ "กลับบ้าน" ว่า
"กลับมาย่านบ้านเก่าดูเหงาเงียบ/เย็นยะเยียบเหมือนมิใช่...ชวนให้หลง/ไม้ขึ้นครึ้มคลุมหลังคาดั่งป่าดง/ดูทรวดทรงเรือนทรุดถึงนอกชาน/เหมือนบ้านร้างไร้ผู้อยู่อาศัย/มดมอดไชมองแล้วเศร้าเหลือร้าวฉาน/หลังคาโหว่คราบน้ำค้างหว่างเพดาน/หยากไย่พานพาดขวางทุกช่วงเรือน/เมื้อสิ้นแม่แผ่บุญอบอุ่นลูก/พี่ชายถูกทิ้งไว้เหมือนไร้เพื่อน/พี่หญิงย้ายไปแม้...ไม่แชเชือน/ก็เสมือนทิ้งพี่ชายอยู่ดายเดียว/ทั้งข้าวปลาสารพัดจะขัดสน/ทั้งความจนยากไร้ใครแลเหลียว/ยังเจ็บป่วยมิได้เว้นตัวเป็นเกลียว/แสนเปล่าเปลี่ยวว้าเหว่เอกากาย/
บ้านที่อยู่ดูยะเยียบเปรียบบ้านร้าง/จะสุขอย่างอดีตนั้นอย่าพลันหมาย/หมู่ไม้ดอกไม้ผลยืนต้นตาย/คิดแล้วคล้ายคนเฝ้าเหลือร้าวรอน/เมื่อเราเด็กเล็กอยู่ดูอบอุ่น/ความรักกรุ่นกำจายไม่ถ่ายถอน/สนามหญ้าหน้าบ้านเคยคลานนอน/พ่อเคยสอนนิทานปลอบรอบกองไฟ/ห้าพี่น้องท้องเดียว...แล้วเดี๋ยวนี้/เราน้องพี่พลัดพรากจากไปไหน/ที่ปีกกล้าขาแข็งทิ้งแหล่งไป/ทอดทิ้งให้พี่พิการเฝ้าบ้านร้าง/
เมื่อสิ้นพ่อยังมีแม่คอยแก้ทุกข์/เรายังสุขสนุกใจกันได้บ้าง/เมื่อสิ้นแม่แพแตกต้องแยกทาง/แสนอ้างว้างเราเป็นน้องเที่ยวล่องลอย/หอบปริญญากลับมาบ้านซมซานซุก/เศษความสุขดูเป็นสิ่งสุดคว้าสอย/สิ้นบุญแม่ผู้หวังตั้งตาคอย/ลูกบุญน้อยนี่บากหน้ามาหาใคร...?"
หลายครั้งที่ข้าพเจ้านึกถึงคำว่าชีวิตคือการเดินทาง เพราะบ้านคำพอกที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างอำเภอท่าอุเทนตามทางเกวียนประมาณ 10 กม. ตอนเล็กๆ เดินไปโรงเรียนประมาณ 2 กม. นั้นจิ๊บจ๊อยมาก แต่พอจบประถม 4 แล้วต้องไปเรียนไกลบ้านอยู่กับพี่ชายคนโตที่ต่างอำเภอ คือ จากบ้านไปอำเภอ 10 กม. จากอำเภอท่าอุเทนไปตัวจังหวัดนครพนมประมาณ 60 กม. จากจังหวัดไปอำเภอธาตุพนม (ที่มีพระธาตุพนม) อีกประมาณ 70-80 ก.ม. และจากอำเภอธาตุพนม ถึงมุกดาหาร (สมัยก่อนเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครพนม) อีกเกือบ 80 กม. เช่นกัน
ยิ่งเมื่อจบชั้นมัธยมแล้ว กว่าจะได้ทุนเข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา แล้วไปสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุนเรียนต่อ ซึ่งสมัยโน้นการได้เข้าเรียนที่กรุงเทพ ฯ นับว่าเป็นโชคมหาศาล ยิ่งได้เรียนในมหาวิทยาลัย ยิ่งเป็นสิ่งเหนือความใฝ่ฝัน โดยเฉพาะสำหรับเด็กกำพร้าทั้งพ่อแม่ลูกชาวนาบ้านนอกจนๆ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ช่างเป็นการเดินทางที่ไกลแสนไกล โดยเฉพาะในความฝันที่ไม่เคยฝันว่าจะไปได้ถึง...
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28215