ชีวิตตอนนี้มันช่างแย่ และอยากจะหนีมันไปให้พ้นๆ...ถ้าบังเอิญคุณกำลังคิดอย่างนี้อยู่ กรุณาสำรวจ
ความคิดให้ดีอีกสักครั้ง ก่อนตัดสินใจลงมือทำอะไร เพราะเมื่อคุณเริ่มทำมันลงไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้
ไม่ว่าคุณจะต้องการมันหรือไม่ มันก็จะติดตามไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต และจะส่งผลต่อเนื่องเป็น
ทอดๆ จากหนึ่งไปถึงสิบ จากตัวคุณลามไปถึงคนรอบข้างของคุณ ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองดูหนังเรื่องนี้
เป็นตัวอย่าง
หนังเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ด้วยพื้นฐานความคิดที่ว่ามาข้างต้น เมื่อ แอนดี ผู้ซึ่งดูเหมือนชีวิตจะคึกคัก
และกำลังไปได้สวย แม้อยู่ในช่วงวัยกลางคนกับภรรยาสาวสุดเซกซี ที่ดูเร่าร้อนตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง
แต่ลึกๆ เขาต้องประสบปัญหากับภรรยา ที่จู่ๆ ก็คิดอยากจะไปให้ไกลจากที่เป็น แม้เขาจะยักยอกเงิน
บริษัทออกมาปรนเปรอเจ้าหล่อน จนกลายเป็นภาระหนี้สินรุงรังแก้ไม่ตก ต้องหันไปพึ่งยาเสพติด
ช่วยระงับประสาทก็ตามที
สุดท้ายเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ควรลงมือปล้นร้านเพชรแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันเป็น
ร้านเพชรของพ่อและแม่ของเขาเอง แต่ แอนดี ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ด้วยปัญหาบางประการ
เขาจึงเริ่มเกลี้ยกล่อม แฮงค์ น้องชายแท้ๆ ให้เป็นคนลงมือปล้นร้านเพชรของบุพการี โดย แอนดี
ให้เหตุผลกับ แฮงค์ ว่ามันก็เป็นแค่การตลบหลัง เพราะอย่างไรเสีย ประกันก็จะจ่ายคืนให้อยู่แล้ว
และการปล้นครั้งนี้ก็จะเป็นไปอย่างง่ายดายไร้ซึ่งกลิ่นคาวเลือด
และเรื่องก็คงจะจบลงแค่นั้น หากว่าแผนการที่วางไว้อย่างแนบเนียนไม่ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรม
อันน่าเวทนาตามมา
หนังค่อยๆ ไล่เรื่องราวย้อนกลับไปในมุมชีวิตของแต่ละคนก่อนวันปล้น แฮงค์ เป็นพ่อม่ายที่ไม่มีปัญญา
เลี้ยงลูก แต่เขาก็พยายามเป็นพ่อที่ดีโดยการส่งลูกเข้าโรงเรียนชั้นยอด แม้จะต้องติดเงินเมียเก่าอย่าง
น่าอับอายทุกครั้งที่ได้เจอ แล้วในที่สุดความขี้แพ้ และค่าเทอมที่แพงแสนแพง ก็บีบบังคับให้เขาต้อง
เดินเข้าสู่หนทางอับจน คนหลายคนที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องคู่นี้จึงเริ่มได้รับผลกระทบอันเลวร้าย
มากบ้างน้อยบ้างก็สุดแท้แต่ชะตากรรมที่แต่ละคนได้ทำเอาไว้ ซึ่งหนังก็ได้แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจน
ในผลกรรมของแต่ละคน
หนังได้ทั้งเงิน และคำชมเชยอย่างล้นหลาม จากนักวิจารณ์ และผู้ชมเกือบทั่วโลก ถึงขั้นติดอันดับ
ทอพ 10 หนังยอดเยี่ยมแห่งปี ในเกือบทุกเทศกาลหนัง เพราะจากโครงเรื่อง และการกำกับของ
ซิดนีย์ ลูเมท (จาก DOG DAY AFTERNOON) ทำให้ตลอดเวลาเกือบ 2 ชม. ที่ได้ตามติด
ความล้มเหลวของ แอนดี และแฮงค์ เราจึงรู้สึกอึดอัด และอดไม่ได้ที่จะขนลุกกับวันอันน่ากลัว
หากผลกรรมที่เคยก่อเอาไว้จะเดินทางมาถึงในสักวันหนึ่ง
ทั้งนี้ก็ต้องยกเครดิทให้ ฟิลลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ดารารางวัลออสการ์ และลูกโลกทองคำปี 2005
จากเรื่อง CAPOTE ที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งดี มีลีลาแพรวพราวน่าจับตามอง ในทุกช่วงที่ปรากฏตัวในหนัง
รวมถึง อีธาน ฮอว์ค ที่คืนฟอร์มมาเป็นพระเอกหน้าจนตรอกได้ใจอีกครั้ง หลังจากที่เคยถูก
เดนเซล วอชิงทัน ไล่บี้ในหนังเรื่อง TRAINING DAY ปี 2001 ซึ่ง ฮอร์ค ได้เป็นตัวแทนเข้าชิง
ดาราประกอบยอดเยี่ยม แต่กลับเป็น เดนเซล ที่คว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำ ไปครองสมใจ
ส่วน มาริซา โทไม ดาราประกอบยอดเยี่ยม จาก MY COUSIN VINNY ในปี 1993 นั้น
แม้เรื่องนี้จะไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร แต่ก็เปลืองตัวมาก...ถึงมากที่สุด ทุกครั้งที่เธอขยับกาย
แม้เพียงแค่แผ่นหลัง นั่นก็เพียงพอ และคุ้มค่าในการดูหนังเรื่องนี้แล้ว
-------------------------------------------------------------------
HEADLINE1: SON OF RAMBOW
HEADLINE2:"หนังเด็กที่ผู้ใหญ่ควรดู"
หนังสั้นที่ถ่ายทำด้วยกล้องวีดีโอรุ่นโบราณ โดยมี ผู้อำนวยการสร้าง คนเขียนบท คนเขียนสตอรีบอร์ด
ตากล้อง นักแสดงนำ และอื่นๆ ที่กองถ่ายทำภาพยนตร์ควรจะมี เป็นเด็กอังกฤษตัวกระเปี๊ยก 2 คน
ที่ชื่อ วิลเลียม และ คาร์เตอร์ (เรียกหนังประเภทนี้ได้อีกอย่างว่า SWEDED หนังทุนต่ำทำเอง
ซึ่งยึดเนื้อหามาจากหนังที่ตัวเองชอบ ลองคลิกที่ YOUTUBE แล้วคุณจะขำกับ STARWAR
หรือ LORD OF THE RING และอื่นๆ อีกมาก ที่สร้างแบบขำๆ แต่ฮาเอาการ)
วิลเลียม รู้จักกับ คาร์เตอร์ ครั้งแรก ก็ตอนที่เขาต้องออกมานั่งหน้าห้องเรียนในชั่วโมงการละคร
เพราะไม่สามารถรับชมภาพยนตร์ หรือฟังเพลงได้ตามกฎข้อห้ามของศาสนา บเรเธิร์น
ซึ่งเป็นศาสนาที่เคร่งครัดมาก พวกเขาจะไม่ดูทีวี ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์และนิยาย
ไม่แต่งตัวสวยหรือแต่งหน้า เพราะมันจะทำให้เบี่ยงเบนไปจากความเชื่อ และพอถึงชั่วโมงเช่นนี้ทีไร
วิลเลียม จึงต้องระเห็จมานั่งทำงานหน้าห้องทุกที
แล้ววันหนึ่งเขาก็พบกับ คาร์เตอร์ เด็กเฮี้ยวที่อาศัยอยู่กับพี่ชาย 2 คน และมักจะถูกเพื่อนของพี่แกล้ง
อยู่เสมอๆ โดยที่พี่ชายก็ทำราวกับว่าเขาเป็นแค่คนรับใช้ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น และในวันที่ วิลเลียม
ได้เจอกับ คาร์เตอร์ เป็นครั้งแรก ก็เป็นวันที่ คาร์เตอร์ โดนโยนออกมานอกห้องเรียน ด้วยเหตุผล
สุดยียวนแบบไม่แคร์ใครนั่นเอง
ทั้ง 2 คนแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ หลังจากที่ได้เจอกันเพียงชั่วครู่ โดย คาร์เตอร์ จะยอมรับผิดในเรื่อง
ที่ทั้ง 2 ก่อขึ้น ถ้า วิลเลียม ยอมมอบนาฬิกาข้อมือซึ่งเป็นของดูต่างหน้าพ่อให้ โดยเขาขู่ว่า วิลเลียม
คงจะทนรับความเจ็บปวดในการลงโทษไม่ไหวแน่นอน เพราะไม่ด้านชาเหมือนกับเขา แต่หลังจากนั้น
ไม่นาน ความสัมพันธ์แบบลวงหลอกของ คาร์เตอร์ ก็ต้องเริ่มพ่ายแพ้ให้แก่ความใสซื่อของ วิลเลียม
ด้วยข้อจำกัดในเรื่องศาสนาของ วิลเลียม เมื่อเขาได้ชมภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ในเรื่อง
RAMBO: FIRST BLOOD หนังดิบเถื่อนที่ คาร์เตอร์ แอบซูมมาจากโรงภาพยนตร์ ก็ทำให้เขาต้อง
ตะลึง ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เก็บเอาไปฝันอย่างตื่นเต้นและหวาดกลัว จากวันนั้น วิลเลียม และคาร์เตอร์
จึงกลายมาเป็นคู่หูนักแสดง ผู้ร่วมสร้างภาพยนตร์ โดยมี วิลเลียม เป็นคนเขียนบท และคาร์เตอร์
ผู้ที่ต้องการจะสร้างหนังเป็นชีวิตจิตใจ เป็นคนถ่ายทำ โดยแอบขโมยกล้องของพี่ชายมา
เรื่องราวบนแผ่นฟีล์มที่พวกเขาร่วมกันถ่ายทอดเป็นไปอย่างสุดระห่ำ ตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้าย
บางฉากก็เกือบทำให้ วิลเลียม ต้องสังเวยชีวิตต่อหน้ากล้อง ด้วยความอินในบทลูกชายของ แรมโบ
อย่างเข้าเส้น แต่หนังก็ทำท่าจะดำเนินเรื่องไปได้ด้วยดี จนเมื่อ ดิดิเอร์ รีโวล นักเรียนแลกเปลี่ยน
สุดเฮี้ยวจากฝรั่งเศส ผู้ที่คิดว่าตัวเองเหมือน แพทริค สเวย์ซี ก้าวเข้ามาโลดแล่นบนแผ่นฟีลม์ที่เคย
เป็นของพวกเขาแค่ 2 คน จนทำให้คำว่ามิตรภาพ และพี่น้องร่วมสาบาน ต้องพังสลายลงต่อหน้ากล้อง
หนังเล่าเรื่องทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว และไม่น่าจะถูกใจคนชอบดูหนังมีสาระหนักๆ แต่หนังก็ฆ่า
อารมณ์ตึงเครียดได้ดี โดยเฉพาะมุกเสียดสีความเละเทะของวงการบันเทิง เรื่องราวต่อจากนี้ก็ไม่มี
อะไรเซอร์ไพรส์ หรือหักมุมตามสไตล์ของหนังเด็กๆ แต่ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ใหญ่สมควรดู
จะได้นึกถึงเด็กบ้างว่า เราไม่ควรปล่อยให้เขาดูอะไรไปตามลำพัง ถ้าเรายังไม่ได้ดูมันเสียก่อน
------------------------------------------------------------------------
ศิลปิน : METALLICA
อัลบัม : DEATH MAGNETIC
แนวดนตรี : THRASH & HEAVY METAL
โปรย : "SO SAD...BUT TRUE"
ครั้งแรกที่ได้ฟังผลงานเพลงอัลบัมนี้ ก็ถึงกับอุทานอย่าลิงโลดว่า ในที่สุดวงเทพที่บรรเลงเพลง
THRASH ได้เข้าขั้นเทวดา ก็กลับมาจุติในบรรณพิภพอีกครั้งแล้ว
หลังจากที่ห่างหายไปหลายปี ในอัลบัมล่าสุดที่แฟนเพลงส่วนใหญ่รับไม่ได้จริงๆ กับการเปลี่ยนแนว
ดนตรีของวง ทั้งๆ ที่เคยสร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ ในตอนออกอัลบัมปกดำเมื่อปี 1991 จนกลาย
เป็นวงอันดับ 1 ของดนตรีสไตล์ THRASH & HEAVY METAL เรียกกระแสคนฟังในวงกว้าง
ทั้งยังซื้อใจแฟนเพลงขาโหดยุคก่อนของวงได้แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
แต่หลังจากอัลบัมปกดำในตำนาน ภายใต้การโพรดิวศ์ของ BOB ROCK โพรดิวเซอร์รอคแห่งยุค
80-90 คนเดิม วงก็ยังมุ่งหน้าที่จะก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง ด้วยดนตรีที่ทันสมัยขึ้น กระชับขึ้น ในชุด
LOAD และ RELOAD ในปี 1996 และ 1997 จนถึงอัลบัม ST. ANGER ในปี 2003 ก็ดูเหมือน
ว่าวงได้สูญเสียตัวตนที่เคยเป็นไปอย่างสิ้นเชิง จนหลายคนถึงกับรับไม่ได้ เมื่อเอาไปเทียบกับสุดยอด
บทเพลง THRASH อย่าง SEEK & DESTROY ในอัลบัมแรกของวงเมื่อปี 1983
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนาน และไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะกลับมาได้อย่างเกรียงไกรอีกครั้ง
ในอัลบัมนี้ ซึ่งไม่มีอีกแล้วสำหรับคนที่ชื่อ BOB ROCK โพรดิวเซอร์ที่เคยเข็นวง THRASH METAL
ดิบๆ ออกมาให้เป็นที่รู้จัก แล้วก็เข็นต่อไปถึงไหนต่อไหน จนวงตัดสินใจแยกทางเดินมาย่ำในรอยทาง
ที่เคยทำไว้ ซึ่งแน่นอนว่าอัลบัมชุดนี้ย่อมหาที่ติได้ยากยิ่งนัก หากจะไล่ละเอียดตั้งแต่เม็ดแรกยัน
เม็ดสุดท้าย ซึ่งกระหน่ำอัดเข้าหูแฟนเพลงขาโหดตัวจริง ที่ถูกปล่อยให้คิดถึงดนตรีแบบนี้มานาน
เกือบ 2 ทศวรรษ
ทั้งความดุดัน เร้าใจ และฝีมือที่เป็นเอกภาพเดียวกันของวง แม้จะได้มือเบสส์คนใหม่เข้ามาแทนที่
แต่ฟังแล้วก็รู้สึกว่า พวกเขาได้กลับคืนมาทั้งความสด และความซ่า อย่างที่เคยเป็นมาอย่างเต็มที่
เป็น 10 บทเพลงที่ไม่ต้องลังเลเลย หากจะยกให้เป็นการทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ได้สมความ
ภาคภูมิ อย่างที่วงเคยทำไว้ในช่วง 28 ปี ทั้งริฟฟ์กีตาร์ที่ดุดัน โซโลที่เมามัน เร้าอารมณ์ทุกห้วงเสียง
กลองที่อัดยับทุกทำนอง และไลน์เบสส์ที่เสริมความหนักแน่นบนซาวน์ดนตรีที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
แห่งเพลง THRASH METAL
เสียก็แต่ว่า เมื่อเรามองจาก 8 อัลบัมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาพรวมทั้งหมดแล้ว ไลน์เมโลดีในอัลบัมนี้
ค่อนข้างจะอ่อนไปนิด แถมยังซ้ำซาก และหน่อมแน้ม ขาดความน่าสนใจในระยะยาว ถ้าเป็นคนเล่น
ดนตรีก็อาจจะเอาอัลบัมนี้บูชา แล้วกราบกรานฝากตัวเป็นศิษย์ แต่สำหรับคนฟัง โดยเฉพาะคนที่
ชอบเพลงแนวนี้ ก็จะรู้สึกอย่างที่กล่าว เพราะเพลงส่วนใหญ่ยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานของวง
เมื่อบวกรวมกับความผิดหวังของแฟนพันธุ์แท้ ซึ่งแอบลุ้นลึกๆ ว่า BOB ROCK และวง จะผ่าน
ช่วงเวลาเลวร้ายในการปรับตัว เพื่อสร้างแนวทางดนตรีใหม่ๆ อย่างที่เคยสะกดขาโหดจนอยู่หมัด
มาแล้ว พวกเขาก็คิดผิดถนัด ที่ตัดสินใจเดินย้อนกลับมาย่ำในรอยความสำเร็จเดิมๆ ซึ่งแน่นอนว่า
ยิ่งเคยสร้างตำนานอันเกรียงไกรไว้มากเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นสิ่งท้าทายอย่างยิ่งยวดหากจะไล่หวดเงา
ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง
เปรียบได้กับที่ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยสร้างเพลงเท่ๆ แต่ดุดัน และเต็มไปด้วยเสน่ห์ร้ายกาจในเพลง
SAD BUT TRUE ซึ่งเราขอนำมาบอกกับวงในวันนี้ว่า ถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่ที่ว่ามาทั้งหมด
มันก็เป็นเรื่องจริง...จริงๆ
-----------------------------------------------------------------------
ศิลปิน : TRAVIS
อัลบัม : ODE TO J. SMITH
แนวดนตรี : BRIT POP
โปรย : "ยอดวง POP ROCK ของเกาะอังกฤษ"
เพิ่งมาแสดงคอนเสิร์ทในเมืองไทย เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา กลับไปได้ไม่นาน พวกเขาก็
ออกอัลบัมใหม่ ซึ่งยังคงไว้ด้วยสไตล์ดนตรีที่ฟังแล้วรู้สึกล่องลอยเบาสบาย แต่สนุกสนานด้วยเมโลดีกุ๊งกิ๊งที่แทรกมากวนหูเป็นระยะ ซึ่งสไตล์ดนตรีแบบนี้ล่ะที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวงแนวล่องลอยหวือหวาอย่าง COLDPLAY ซึ่ง คริส มาร์ทิน ได้กล่าวยอมรับอย่างยกย่องไว้ในรายการวิทยุ RADIO 1 ว่า TRAVIS คือ วงที่ทำให้วงของเขา และอีกหลายๆ วงได้เกิดขึ้นมา
และถึงแม้แนวเพลงของ TRAVIS จะเป็น BRIT POP แต่พื้นเพของพวกเขาก็มาจากสกอทแลนด์
เมืองกลาสโกว์ โดยเริ่มก่อตั้งวงอย่างทุลักทุเลตั้งแต่ปี 1990 และกว่าจะมีผลงานสตูดิโออัลบัมชุดแรก
ให้ฟังกัน ก็ล่วงเลยผ่านมาถึงปี 1996 ในชื่อชุด GOOD FEELING ซึ่งขายได้เพียง 40,000 กว่าแผ่น
แต่ในชุดต่อมา THE MAN WHO ก็ขายได้ในระดับ MULTI-PLATINUM จนมาโด่งดังเป็นที่รู้จัก
อย่างกว้างขวางในชุด THE INVISIBLE BAND มีเพลงฮิทติดหูอย่าง SING, FLOWERS IN
THE WINDOW และเพลงอื่นๆ ที่ไพเราะทั้งอัลบัม ควรค่าแก่การมีไว้ในครอบครอง
จากนั้นก็ออกอัลบัมต่อมาอีก 2 ชุด ซึ่งชุดสุดท้าย คือ THE BOY WITH NO NAME เปิดกันกระหึ่ม
คลื่นวิทยุเมืองไทย เพราะอย่างที่บอก คือ เพลงของพวกเขาฟังง่ายสบายๆ แต่ก็มีลูกเล่นสนุกพอตัว
เหมาะกับจริตคนไทยซึ่งไม่ต้องดัดก่อนการฟัง ไม่รู้สึกว่าต้องปรับโสตประสาทมาก ในอัลบัมมีเพลง
โด่งดังหลายเพลง และสะสมบารมีได้แก่กล้าพอตัว จนมาเปิดคอนเสิร์ทในบ้านเรา เสียแต่ว่าดันเป็น
คอนเสิร์ทรวมกับวงอีกแนวหนึ่ง หลายคนเสียดายตังค์ค่าตั๋วอีกครึ่ง จึงขอตัวไม่ไปชมการแสดง
ซึ่งพวกเขาก็เล่นกันอย่างเต็มที่ได้ใจแฟนชาวไทยไปเต็มๆ
มาถึงอัลบัมนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาแยกจาก INDEPENDIENTE RECORDS มาสู่ค่ายใหม่
ในสังกัด RED TELEPHONE BOX ของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาเคยออก EP. ALL I
WANT TO DO IS ROCK เมื่อปี 1996 เราจึงไม่เห็นโลโกตัวหนังสือชื่อวงที่เป็นสัญลักษณ์อัน
คุ้นเคยบนหน้าปก เพราะทางวงอยากจะเปลี่ยนอะไรให้ใหม่ไปทั้งหมด แต่ในเรื่องของแนวทางดนตรี
พวกเขาก็ยังคงเหนียวแน่นในสไตล์ของตนเอง เพียงแต่ดูเหมือนว่าจะย้อนอดีตกลับไปหาคืนวันใน
อัลบัมชุดแรกขึ้นมาหน่อย มีกลิ่นอาย ROCK กร้าวๆ เพิ่มเข้ามาบ้างในบางเพลง อย่าง
SOMETHING ANYTHING ที่เป็นซิงเกิลแรก ซึ่งไม่ได้แต่งโดย FRANCIS HEALY นักร้องนำ
แต่เป็นฝีมือของ DOUGLAS PAYNE มือเบสส์ที่มาปรุงแต่งเพลงให้ได้อารมณ์หวือหวา และออก
จะซ่าขึ้นมานิดๆ ซึ่งได้ปล่อยมิวสิควีดีโอออกไปให้แฟนๆ ได้ชมกันตั้งแต่อัลบัมยังไม่วางแผง
ส่วนอีกเพลงที่ติดหูได้ไม่ยาก อย่างเพลง SONG TO SELF ก็ค่อนข้างจะลงตัวทั้งเสียงร้อง ทำนอง
และเมโลดีสวยๆ รวมถึงเพลงชื่อเดียวกับอัลบัม J. SMITH ที่ติดกลิ่นอาย ROCK มันๆ และเต็มไป
ด้วยไลน์กีตาร์หวีดสูงกรีดเสียงได้หวือหวา เช่นเดียวกับเพลง CHINESE BLUES ที่ค่อนไปทาง
BRIT ROCK พอสมควร จึงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าอัลบัมนี้ นอกจากจะทำได้ดีตามมาตรฐานของวงแล้ว
ยังมีสีสันใหม่ๆ ให้เร้าใจขึ้นด้วย
อ้อ...ถ้าใครอ่านแนะนำหนัง SON OF RAMBOW ในหน้าที่ผ่านมา TRAVIS เขาเสนอตัวเข้าไป
โผล่ในเรื่องด้วยนะ
เรื่องโดย : ปัญญ์ carstereo@autoinfo.com
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : คอลัมน์ประจำ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27060