ทั่วไป
ผ่านตัวเลขครึ่งปีกันไปแบบงงๆ ว่าตลาดรถยนต์เมืองไทยจะไปทางไหนกันแน่ เพราะยอดขาย 6 เดือน เพิ่มขึ้น 9.9 % แต่ส่วนของรถยนต์นั่ง เพิ่มมากถึง 32.4 % ในขณะที่รถกระบะเพิ่มขึ้นเพียง 0.9 %
ผ่านตัวเลขครึ่งปีกันไปแบบงงๆ ว่าตลาดรถยนต์เมืองไทยจะไปทางไหนกันแน่ เพราะยอดขาย 6 เดือน เพิ่มขึ้น 9.9 % แต่ส่วนของรถยนต์นั่ง เพิ่มมากถึง 32.4 % ในขณะที่รถกระบะเพิ่มขึ้นเพียง 0.9 %
ก็มีความสุขกันไปแบบงงๆ เพราะนักการตลาดวางแผนเรื่องรถกระบะกันเอาไว้ดิบดี แต่พอช่วง 2-3เดือนแรก ราคาน้ำมันดีเซล ก็วิ่งแซงราคาน้ำมันเบนซินไปแบบฉลุย บางทีทิ้งกันเกือบ 8 บาท จนเดี๋ยวนี้ ราคาน้ำมันดีเซลก็ยังแตะอยู่ระดับ 40 กว่าบาททั้งนั้น
ผู้คนบ้านเราก็หันไปหารถใช้แกสธรรมชาติ จะเอาแบบที่ติดตั้งมาจากโรงงาน โดยบริษัทรับรอง ก็ต้องรอรถกันเป็นเดือน จะซื้อรถออกมาให้อู่ติดตั้งให้เอง หรือก็เจอปัญหา ถังขาดบ้าง วาล์วไม่มาบ้าง ก็รอกันเป็นเดือนเหมือนกัน ส่วนหลังร้านท่านจะกองถังไว้เป็นภูเขาเลากาแค่ไหน ใครล่ะจะเป็นคนไปตรวจ
แต่จะว่าไปแล้ว ราคาค่าแกส กก. ละ ไม่ถึง 10 บาท นี่ มันก็น่าใช้อยู่เหมือนกันนะครับ รถกระผมเองขนาดกินน้ำมันปกติ 12 กม./ลิตร เจอเอา 12 กม. 42 บาท ก็ตกกิโลละ 3 บาทกว่า นี่ก็กำลังว่าจะเลิกใช้รถตัวเอง แล้วไปเป็นชาวเกาะ ไปที่ไหนก็เกาะรถชาวบ้านเขาไป ท่าทางจะดีกว่ากันเยอะ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง
ส่วนค่ายรังสิต ที่เพิ่งปล่อยรูป พีพีวี ตัวใหม่ออกมา เห็นบอกว่าจะทำตลาดกันปลายปีนี้ ก็ยังไม่แน่ใจว่าตลาดจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ยอดขายรถกระบะ เส้นกราฟมันจะออกไปทางเรื่อยๆ มาเรียงๆ เสียมากกว่า
ก็ต้องคอยดูว่ารูปโฉมใหม่ ช่วงล่างใหม่ เครื่องเก่า นี่ ลูกค้าบ้านเราจะยอมรับกันขนาดไหน เพราะค่ายสำโรงเอง ก็ปล่อยข่าวฟอร์ทูเนอร์ตัวใหม่ ออกทางผู้แทนจำหน่ายมาเหมือนกัน
รักชอบค่ายไหนก็ตัดสินใจกันเองนะครับ
จะว่าไปแล้ว รอบครึ่งปีนี่ ก็ยังพอตกลงได้ว่า ตัวเลขการขายยังอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์วุ่นวาย ยุ่งเหยิงมากกว่านี้ ตลาดก็คงจะไม่เลวร้ายเกินเลยไปนัก เพียงแต่รถยนต์นั่ง จะเป็นดาราประจำปี เพราะสามารถนำไปติดแกสได้ ก็เท่านั้น
เดือน 7 นี่ ก็เข้าพรรษาแล้ว ยอดตัวเลขก็คงอยู่ในระดับทรงตัว เพราะไม่ใช่ช่วงขาย แต่ก็เชื่อว่า กิจกรรมส่งเสริมการขายของแต่ละค่าย ไม่น้อยหน้ากันแต่อย่างใด
ฟากรัฐบาลก็ออกมาตรการฝ่าวิกฤต 6 มาตรการ ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน เริ่มกันตั้งแต่ 1 สิงหาคม จนถึงวันที่ 31 มกราคม นี้
เริ่มด้วยการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ การประปา ขนส่งมวลชน และการรถไฟ ประมาณว่า ให้ผู้มีรายได้น้อยได้ใช้ฟรี ขึ้นรถแดงฟรี ขึ้นรถไฟฟรี โดยภาครัฐจะออกเงินอุดหนุนให้หน่วยงานต้นทาง เพื่อชดเชยการขาดทุน
หลักการของ 6 เดือน 6 มาตรการ ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ท่านออกมานั่งแถลงว่า เป็นการกำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อประชาชนในระยะสั้น โดยคงหลักการในการประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในภาคประชาชน ตลอดจนลดผลกระทบต่อรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของประชาชนที่มีรายได้น้อย เพื่อบรรเทาผลกระทบในภาคการบริโภค และการรักษาวินัยทางการคลัง
หลักการก็มี ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อให้ราคาน้ำมันแกสโซฮอล 91 และ 95 มีช่วงห่างของราคาจำหน่ายต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 มากขึ้น
น้ำมันดีเซล ก็ลดภาษีสรรพสามิตเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อต้นทุนของภาคการขนส่งในระยะสั้น
ชะลอการปรับราคาแกสหุงต้ม แอลพีจี ในภาคครัวเรือน เพื่อลดแรงกดดันค่าใช้จ่ายในภาคครัวเรือน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน
แต่ท่านไม่ได้บอกว่า แอลพีจี ที่ใช้ในรถยนต์ ท่านจะปรับกันขนาดไหน
ส่วนน้ำประปา รัฐก็จะรับภาระค่าใช้จ่ายการใช้น้ำ สำหรับผู้ใช้น้ำประเภทที่อยู่อาศัย ที่มีปริมาณการใช้น้ำในช่วง 0-50 ลูกบาศก์เมตร/เดือน
ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80 หน่วย/เดือน ภาครัฐจะรับภาระค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด และกรณีใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 80 หน่วย/เดือน แต่ไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน ภาครัฐจะรับภาระค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่งของค่าไฟฟ้าทั้งหมด
ลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง จัดรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 800 คัน ใน 73 เส้นทาง โดยเป็นรถโดยสารธรรมดา เพื่อให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือฟรีนั่นแหละ
ลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 ให้ประชาชนใช้บริการรถไฟชั้น 3 เชิงสังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็ฟรีอีกเช่นกัน
งานนี้มีผลต่อรายได้ภาครัฐ ผลต่อการจัดเก็บภาษีน้ำมัน รายได้ภาษีสรรพสามิตของภาครัฐจะลดลงประมาณ 29,000 ล้านบาท
การสนับสนุนงบประมาณ ภาครัฐจะมีภาระต้องสนับสนุนงบประมาณให้แก่ กปภ. ขสมก. และ รฟท. รวมประมาณ 3,874 ล้านบาท
ก็จะเป็นมาตรการแบบไฟไหม้ฟางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะดูแล้ว มันไม่ได้เป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าของกระผมแต่ประการใด ค่าข้างแกง ค่าก๋วยเตี๋ยว เดี๋ยวนี้ก็ขึ้นล่วงหน้าไปเป็นอย่างต่ำชามละ 30 บาทเรียบร้อยแล้ว กระผมเองก็ต้องละเลิกคบกับน้ำอัดลมขวดละ 9 บาท เพื่อประหยัดทรัพย์ในกระเป๋าตัวเองไปแล้ว
ส่วนยาตราสิงห์นั้น ยังมีความจำเป็นต้องใช้อยู่ครับ
รอบนี้มีเรื่องนำเสนอผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางบก เพราะหลวงท่านเก็บเอากฎหมายหลายฉบับ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ เอามารวบรวมไว้ที่เดียวกัน จัดหมวดหมู่ให้เป็นระบบเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถค้นคว้ากฎหมายได้สะดวก และทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายได้ง่ายขึ้น และยังเป็นการลดจำนวนกฎหมายให้เหลือน้อยฉบับลงอีก
ก็ต้องไปค้นคว้าหารายละเอียดกัน โดยเฉพาะท่านที่ดำเนินการประกอบการขนส่ง ในรถบริการ เช่น รถแทกซี และรถจักรยานยนต์ รถขนส่ง เช่น การขนส่งประจำทาง ไม่ประจำทาง และการขนส่งส่วนบุคคล โดยต้องมีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง การใช้มาตรการเก็บค่าโดยสาร การปฏิบัติต่อผู้โดยสารและการให้บริการที่เหมาะสม เป็นต้น
ส่วนท่านที่ประกอบการด้านสถานีขนส่ง ก็ต้องตรวจสอบด้วย เพราะกฎหมายใหม่ท่านกำหนดประเภทของสถานีขนส่ง ลักษณะของสถานีขนส่ง การดำเนินการจัดตั้งสถานีขนส่ง เป็นอาทิ
ทางด้านสถานตรวจสภาพรถ ก็กำหนดให้สถานตรวจสภาพรถต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ช่างตรวจสภาพรถซึ่งอยู่ประจำสถานตรวจสภาพรถต้องผ่านการทดสอบ และได้รับการรับรองจากนายทะเบียน และกำหนดให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดอัตราค่าบริการที่ผู้ได้รับใบอนุญาตจะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ
และยังมีการกำหนดคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก คณะกรรมการ ควบคุมการขนส่งทางบก และคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัด
เรียกได้ว่า จะมีส่วนในการประกอบการที่เกี่ยวข้องกันยานยนต์สมัยนี้ ก็ต้องดูหน้าดูหลังกันให้ถี่ถ้วนด้วย จะได้ปฏิบัติตนเองได้ถูก ไม่ให้ใครมาขอแสดงความนับถือได้โดยง่าย
เรื่องโดย : มือบ๊วย fomula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26899