พิเศษ
ประเภทใหม่ๆ รู้เรื่องง่าย เข้าใจเร็ว
ถ้าเกิดกรณีแบบในภาพ ฝ่ายตรงข้ามต้องถามคุณแน่ๆ ว่า "รถคุณมีประกัน ฯ หรือเปล่า ?"
เป็นคำถามที่อาจไม่ต้องถาม เพราะยุคนี้ ไม่ว่ารถใหม่หรือเก่า ถูกหรือแพง เจ้าของรถมักซื้อประกันภัยรถยนต์ ซึ่งกำลังกลายเป็นสิ่ง "จำเป็น" กันไว้แล้ว
ต่างกันที่ประเภทของประกันเท่านั้น
บางท่านอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากประกัน ฯ ประเภท 1, 2 และ 3 ที่เราคุ้นเคยกันดี ยังมีประกัน ฯ ประเภทใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีก และมันมีคุณสมบัติ มีข้อแตกต่างอย่างไร กับประเภทเดิม นอกจากนี้ เคยสงสัยไหมว่า ประกัน ฯ ที่ใช้อยู่ จริงๆ แล้ว เหมาะสมกับรถ ตัวคุณ และลักษณะการขับขี่ของคุณหรือเปล่า ?
เรื่องพิเศษฉบับนี้ "ฟอร์มูลา" ได้อัพเดทประกันภัยรถยนต์ประเภทใหม่ๆ และรวบรวมทุกเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับประกันภัย ฯ ให้คุณฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายเบี้ย ไม่เสียค่าเอกซ์เซพท์ รู้เรื่องง่าย เข้าใจเร็ว !
สัญญาจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่หน้าถัดจากนี้เป็นต้นไป...
อัพเดทประเภทใหม่ ประกันภัยรถยนต์
ก่อนที่ กรมการประกันภัย จะเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้รับรองประกันภัยรถยนต์แบบใหม่ไว้ 3 ประเภท ได้แก่ 3+ (อ่านว่า 3 พลัส) ประเภท 4 และ ประเภท 5 โดยมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
3+
ประกันภัยประเภท 3 หลายคนพอรู้ว่าเป็นการคุ้มครอง ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย และคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ สิ่งปลูกสร้าง หรือที่เรียกรวมว่าคู่กรณี ส่วนทรัพย์สินของผู้ทำประกัน ต้องรับผิดชอบเอง (ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิด ส่วนถ้าคุณเป็นฝ่ายถูก คู่กรณี หรือ บริษัทประกันของคู่กรณีต้องรับผิดชอบให้ อัตราเบี้ยต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 พันบาท
แต่ 3+ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ค่าเบี้ยเริ่มต้นประมาณ 6-9 พันบาท อยู่ที่ทุนประกัน หรือวงเงินคุ้มครอง
สิ่งที่คุ้มครองเพิ่มขึ้น มีอย่างเดียว คือ ในกรณีที่รถเอาประกันได้รับความเสียหายจากยานพาหนะทางบก (รถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งถ้าหากผู้ทำประกันเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันจะซ่อมให้ทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ทำประกันจะต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า EXCEPT) ครั้งละ 2,000 บาท ในการซ่อมรถตัวเอง ส่วนที่เหลือ บริษัทประกันจะจ่ายให้แต่ไม่เกินวงเงินที่ได้ทำสัญญาไว้
จะเห็นว่าประกันภัย 3+ ไม่ได้มีความคุ้มครองมากไปกว่าประกันชั้น 3 สักเท่าไร และไม่เทียบเท่าประกันภัยชั้น 1 ด้วย เพราะมีเพียงข้อเดียวที่เพิ่มเติมมา คือ ซ่อมรถที่เอาประกัน กรณีที่ได้รับความเสียหายจากพาหนะทางบก ส่วนกรณีรถหาย/ไฟไหม้ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาล ของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ไม่คุ้มครองแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมี "3+ ระยะสั้น" เป็นการประกันรถยนต์ที่คุ้มครองภายใน 30 วัน โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ไม่เคยทำประกันมาก่อน หรือผู้ที่ต้องการความคุ้มครองระยะสั้น เหมาะกับผู้ที่ชอบการเดินทางไกล แต่ยังไม่มีประกันภัย และไม่ชอบเสียเงินก้อน เพราะจ่ายแค่ประมาณ 1,000 บาท ก็ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของผู้ซื้อประกันในวงเงินถึง 100,000 บาท รวมทั้งคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือคู่กรณีในวงเงินถึง 1,000,000 บาท และยังซ่อมรถเราให้ด้วยในกรณีชน วงเงิน 100,000 บาท/ครั้ง
ประเภท 4
เบี้ยที่ต้องชำระถูกมาก แค่พันกว่าบาท เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัด หรือใช้รถน้อยมากๆ ขับไปทำงานในระยะทางที่ไม่ไกล หรือรับส่งลูกไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน ในเส้นทางที่คุ้นเคย เหมาะกับ ส่วนผู้ใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ไว้สำหรับเข้าป่าเขาอย่างเดียว ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะรถประเภทนี้มักตกแต่งด้วยการ์ดรอบคัน เพื่อป้องกันการกระแทกจากหินและต้นไม้อยู่แล้ว
ประเภท 5
ประกันภัยใหม่ประเภทนี้ ค่าเบี้ยประกันต่อปีเริ่มตั้งแต่ 8 พัน-1 หมื่นบาท ถูกกว่าประกันภัยประเภท 1 ถึงร้อยละ 40-50 แต่ก็คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย และบุคคลภายนอก รวมทั้งความเสียหายของรถเอาประกันที่เกิดจากการสูญหายหรือไฟไหม้ และความเสียหายที่เกิดจากคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบก
โดยรวมแล้วประกันภัยประเภทนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะจ่ายเบี้ยถูกกว่าชั้น 1 มาก แต่การคุ้มครองกลับครอบคลุมได้ใกล้เคียงกัน แถมยังมากกว่าประกันภัยชั้น 2 เสียด้วยซ้ำ
ตาราง
ตารางแสดงภาพรวม เงื่อนไขความคุ้มครองประกันภัยทุกประเภท
เงื่อนไขความคุ้มครอง ประเภท 1 ประเภท 2 ประเภท 3 3 + ประเภท 4
ประเภท 5
1. ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พรบ. ต่อบุคคล
ภายนอก / / / / - /
2. ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก / / / / / /
3. รถยนต์สูญหาย/ไฟไหม้ / / - - - /
4. ความเสียหายต่อรถยนต์ / - - / - -
5. ความเสียหายต่อรถยนต์ เฉพาะคู่กรณีเป็นพาหนะขนส่งทางบก - - - -
- /
6. อุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร * * * * * *
7. การประกันตัวผู้ขับขี่ * * * * * *
/คือมี
- คือ ไม่มี
* คือ การส่งเสริมการขาย
หมายเหตุ: ตารางที่เห็นนี้ เป็นเพียงการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านเห็นชัดเจนถึงคุณสมบัติพื้นฐาน ประกันภัยรถยนต์ประเภทต่างๆ การส่งเสริมการขายอื่นที่เป็นคุณสมบัติพิเศษจะไม่ปรากฏ ขอให้สอบถามไปยัง คปภ. สายด่วน 1186 หรือ www.oic.or.th
คปภ. และเรื่องของหน่วยงานประกันภัย
คปภ. ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งเปลี่ยนสถานะจาก กรมการประกันภัย ก่อตั้งตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ พศ. 2545 มีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจประกันภัย กำกับดูแลการประกอบธุรกิจของบริษัทประกันภัย รวมทั้งตัวแทนและนายหน้าประกันภัย และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชน เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
กฎหมายเกี่ยวกับประกันภัยฉบับแรกของเมืองไทยออกมาในปี 2454 ในชื่อ "พระราชบัญญัติลักษณะเข้าหุ้นส่วน และบริษัท รศ. 130" ต่อมาได้จัดตั้งเป็น "พระราชบัญญัติควบคุมการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชน" ในปี 2471 และปีต่อมา ได้จัดตั้ง "กองควบคุมบริษัทประกันภัย" ภายใต้การดูแลของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม หลังจากนั้น เปลี่ยนชื่อเป็น "แผนกควบคุมประกันภัย" กองหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ
หลังจากนั้นในปี 2495 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "กองประกันภัย" ภายใต้การดูแลของกรมทะเบียนการค้าเหมือนเดิม และในปี 2511 เปลี่ยนมาสังกัดในสำนักงานปลัดกระทรวงเศรษฐการ หลังจากนั้นในปี 2522 ได้ยกฐานะสำนักงานประกันภัยเทียบเท่าเป็นกรม
หนึ่งในกระทรวงพาณิชย์ และเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานประกันภัยเป็น "กรมการประกันภัย" กระทรวงพาณิชย์ ในปี 2533 และได้เปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้ชื่อ "สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย" (คปภ.) ตั้งแต่ปี 2550
5 ชั้น ประกันภัยรถยนต์
เรามักจะเรียกประกันภัยรถยนต์เป็น "ชั้น" ถึงจะไม่เสียหายอะไร แต่จริงๆ ต้องเรียกเป็น "ประเภท" ถึงจะถูก ต่อนี้ไปเราจะมาสรุปกันว่า ประกันภัยรถยนต์ที่ได้รับการรับรองในบ้านเรามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทเหมาะกับรถ และคนแบบไหนบ้าง
ประเภท 1
ให้ความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด คุ้มครองชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอก รวมไปถึงผู้โดยสารภายในรถยนต์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงความคุ้มครองต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ และความเสียหายของรถยนต์คันที่เอาประกันภัย รวมถึงการคุ้มครองจากความสูญหาย และไฟไหม้
รู้กันดีอยู่แล้วว่าประกันประเภท 1 แพงสุด ตั้งแต่ 1 หมื่นกว่า ถึง 2 หมื่นบาทขึ้นไป ความคุ้มครองก็เต็มเหนี่ยว ฉะนั้นรถใหม่ที่ผ่อนอยู่กับไฟแนนศ์ จึงมีไฟท์บังคับต้องทำประกันภัยชั้น 1 ในปีแรก เราแนะนำว่า ถึงคุณไม่ได้ผ่อนรถ แต่ใช้รถใหม่อยู่ ถ้าไม่ลำบากเกินไปก็ควรทำประกันชั้น 1 ไว้ ในกรณีที่คุณต้องการความสะดวกสบายจากการบริการ มีธุรกิจรัดตัว โดยเฉพาะคุณผู้หญิง หรือเป็นคนที่ต้องเดินทางคนเดียวเป็นประจำ
ประเภท 2
ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกายของผู้โดยสารในรถยนต์ รวมทั้งอนามัยของบุคคลภายนอก ถ้ามีความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง กรณีนี้จะให้ความคุ้มครองความเสียหายของบุคคลนั้นด้วย และยังรวมถึงการคุ้มครองจากการสูญหาย หรือไฟไหม้
ประเภทนี้มีคนทำกันไม่มาก ทั้งที่ราคาแค่ประมาณครึ่งหมื่น เพราะเจ้าของรถส่วนใหญ่มีรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ค่อยตรงกับเงื่อนไขของประกันประเภทนี้ ที่จะคุ้มครองเพียงความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก และรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ เราแนะนำว่าใครที่ไม่สนประกันชั้น 1 และขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่เฉี่ยวชนบ่อยๆ กลัวรถหาย เพราะใช้เป็นแขนขาในการทำธุรกิจ ก็เลือกไปเลย
ประเภท 3
ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถเท่านั้น ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยประกันประเภท 3 นี้ จะไม่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกัน หากเกิดการเฉี่ยวชน บริษัทประกัน ฯ จะคุ้มครองรถ และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเท่านั้น ส่วนการประกันตัวของผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ อาจมีหรือไม่มี ขึ้นอยู่กับการส่งเสริมการขายของแต่ละเจ้า เพราะราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันถึง 4 พันบาท เท่านั้น
ประเภทนี้สำหรับคนชอบความประหยัด เพราะราคาอยู่ที่ประมาณ 2 พันถึง 4 พันบาท เหมาะกับคนขับรถน้อย และขับอย่างระมัดระวัง ไม่เฉี่ยวชนใครบ่อยๆ แถมบางครั้งอยากทำประกันชั้น 1 แต่บริษัทประกันไม่รับ เพราะมักจะให้รับทำเฉพาะรถอายุไม่เกิน 5-7 ปี
3+
เป็นประกันภัยที่เกิดขึ้นใหม่ ให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันชั้น 3 (แบบปกติ) ซึ่งแต่เดิมการประกันภัยชั้น 3 นั้นจะให้ความคุ้มครองความเสียหายเฉพาะรถคู่กรณีเท่านั้น โดยรวมถึงความเสียหายทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน แต่ประกันภัยแบบชั้น 3+ นี้ จะเพิ่มความคุ้มครองขึ้นมาใหม่ คือ กรณีเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด จะให้ความคุ้มครองทั้งรถคู่กรณีและรถเราเอง แต่จะจ่ายค่าซ่อมให้รายละไม่เกิน 100,000 บาท แล้วแต่สัญญาของแต่ละบริษัท
ประเภทนี้สำหรับคนที่ชอบ "ความรู้สึก" คุ้มค่า เพราะราคาไม่ถึงหมื่น บริษัทประกัน ฯ เขาขาย 3+ เพียง 6,800-9,000 บาทเท่านั้น แถมโฆษณาว่าได้ความคุ้มครองเทียบเท่าประกันชั้น 1 เท่านี้คุณก็ได้ "ความรู้สึก" แบบนี้ไปแล้ว แต่อันที่จริงนับว่าคุ้มค่าไม่หยอก สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด อยากประหยัด ขับรถน้อย และระมัดระวัง มีเฉี่ยวชนบ้างไม่มาก เพราะเขาซ่อมรถให้คุณด้วย
ประเภท 4
เป็นประกันภัยที่มีไว้สำหรับดูแลทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ซึ่งหมายรวมทั้งชีวิต ร่างกาย และอนามัย การประกันภัยประเภทนี้ เหมาะสำหรับเจ้าของรถที่ใช้รถน้อย คล้ายๆ กับการซื้อรถมาเก็บ หรือไว้ขับจ่ายกับข้าว ส่งลูกไปโรงเรียน
ราคาอยู่ที่ 1 พันกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของทรัพย์สินบุคคลภายนอก จึงเหมาะกับคนใช้รถน้อยถึงน้อยมากๆ หรือใช้เส้นทางที่มีรถสัญจรน้อย เช่น ในชนบท และเส้นทางที่ผู้ขับชำนาญเป็นพิเศษ ส่วนความเสียหายต่อชีวิต และร่างกาย ก็ให้ประกันภัยภาคบังคับบุคคลที่ 3 รับผิดชอบไป
ประเภท 5
เป็นการประกันที่คุ้มครองคล้ายคลึงกับการประกันภัยชั้น 1 ซึ่งคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย และบุคคลภายนอก รวมทั้งความเสียหายของรถเอาประกันที่เกิดจากการสูญหายหรือไฟไหม้ และความเสียหายที่เกิดจากคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบก แตกต่างกันเพียงเขาไม่ซ่อมรถให้คุณเท่านั้น
ราคาที่ 8 พัน-1 หมื่นบาท ประหยัดรองจากประกันชั้น 1 พอสมควร สำหรับผู้ใช้รถที่ขับรถระมัดระวัง เพราะจะคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน เฉพาะกรณีที่เฉี่ยวชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น ถ้าไปชนกำแพง หรือเสาไฟฟ้าไม่รับเคลม แต่ถ้าใครกลัวรถหาย หรือไฟไหม้มากกว่า ซื้อไว้ได้เลย
ต้องดูอะไรในใบกรมธรรม์ ?
ข้อความต่างๆ ในใบกรมธรรม์ เป็นสิ่งที่จะยืนยันในคราวเกิดเหตุได้ว่า รถของคุณได้รับการคุ้มครองด้านใดบ้าง ฉะนั้นเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรตรวจสอบข้อมูลตามที่เราเน้นไว้ ว่าตรงตามที่เคยตกลงกันไว้หรือเปล่า
ตัวอย่างข้อความที่ต้องดูในกรมธรรม์
ซื้อประกันภัยรถยนต์ของบริษัทไหนดี ?
เรามีหลักง่ายๆ ดังนี้ อันดับแรกสำคัญที่สุด คือ พิจารณาความมั่นคงของบริษัท อย่าสับสน และเหมารวมว่าบริษัทที่มีชื่อเสียงจากการโฆษณาบ่อยๆ คือ บริษัทที่มั่นคงเสมอไป แต่ให้ดูข้อมูลด้านธุรกิจ เช่น การจ่ายปันผลกองทุนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
อันดับ 2 พิจารณานโนบาย หรือประสบการณ์ของบริษัท และคุณภาพบุคลากรของเขา
อันดับ 3 พิจารณาจากเครือข่าย และพันธมิตรของเขาว่าเป็นอย่างไร ศูนย์ซ่อมเป็นอย่างไร มีคนรู้จักมากน้อยขนาดไหน การจัดการค่าสินไหมทดแทน การจ่ายสำรองให้กับอู่ และมาตรฐานของอะไหล่ แต่ถ้ายังสงสัยสามารถโทรศัพท์ถามไปที่ คปภ. สายด่วน 1186 ได้ทันที
ซื้อประกันภัยรถยนต์ทางโทรศัพท์ ดีไหม ?
เดี๋ยวนี้โทรศัพท์ กลายเป็นช่องทางหนึ่งในการขายประกันภัยรถยนต์ โดยมักจะได้ชื่อลูกค้าจากข้อมูลบัตรเครดิท กรณีนี้คุณต้องเหนื่อยกับการใช้วิจารณญาณมากๆ เนื่องจากคุณจะได้ยินเพียงเสียงตามสาย แถมไม่มีเอกสารใดๆ ประกอบ ยิ่งกว่านั้น คุณไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้ที่โทรศัพท์มาเป็นคนของบริษัทประกัน ฯ จริงหรือไม่ ปัจจุบันมีการลักลอบขายข้อมูลบัตรเครดิทเป็นจำนวนมาก อาจเป็นช่องทางหากินของมิจฉาชีพ
เอกสารอะไรที่ต้องเตรียมให้พร้อม ?
ไม่ต้องเตรียมอะไรมากมายหรอก แต่เวลาเกิดอุบัติเหตุขึ้นแต่ละครั้ง ความหนักเบาไม่เท่ากัน ถ้าเบา คุณยังสามารถลงมาจัดแจงปัญหาได้ แต่ถ้าหนักจนคุณบาดเจ็บสาหัสแล้ว สถานการณ์จะเปลี่ยนไปทันที ฉะนั้นจึงมีทั้งสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ในรถ และสิ่งที่ต้องเอาออกจากรถ
สิ่งที่ต้องเตรียมไว้ในรถอยู่เสมอ มีสำเนากรมธรรม์ และใบยืนยันการเกิดเหตุตัวจริงเพื่อให้การเคลมเป็นไปโดยสะดวก
ส่วนสิ่งที่ต้องเอาออกจากรถ บอกไว้อย่างแรกเลยว่า คือ กรมธรรม์ตัวจริง เพราะถ้ารถหายคุณจะไม่มีหลักฐานใดๆ เหลือไว้เลย แนะนำว่าให้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ดีกว่า อีกอย่าง ปัจจุบัน ประกัน ฯ ประเภท 1 เกือบทุกบริษัทมักจะให้ ไอดี คาร์ด มาด้วย คุณควรพกติดตัว เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหนัก ถูกนำส่งโรงพยาบาล จะได้มีหลักฐาน
เมื่อเกิดเหตุต้องทำอย่างไร ?
เมื่อเกิดเหตุ สิ่งที่ต้องทำอันดับแรก คือ ต้องตั้งสติ ถ้าไม่รุนแรงมากเช่นถ้าไม่มีคนเจ็บหรือว่ารถวิ่งได้ตามปกติ ถ้าตกลงกันได้ง่ายๆ ถ้าอีกฝ่ายมีประกัน ฯ แลกใบเคลมกันได้เลย (ใบยืนยันการเกิดเหตุ CLAME FORM) โดย
1. ตรวจหมายเลขทะเบียนรถในเอกสารใบเคลมของอีกฝ่ายว่าตรงกับหมายเลขทะเบียนรถของเขาหรือไม่ หากไม่ตรงให้ติดต่อบริษัทประกันภัยของ คุณแต่หากตรงให้ทำตามข้อต่อไป
2. กรอกรายละเอียดของคุณลงในเอกสาร และบันทึกรายการเสียหายของคุณ และคู่กรณีให้ตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย
3. เซ็นชื่อในเอกสารของคุณ และคู่กรณี ใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิดให้ลงตามช่องถูกหรือผิดนั้น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ถือความเห็นของตำรวจจราจร
4. แลกเอกสารยืนยันการเกิดเหตุกับอีกฝ่าย แล้วแยกย้ายกันได้เลย
5. นำเอกสารที่แลกมา ไปติดต่อบริษัทประกันของคุณภายใน 7 วัน เพื่อคุ้มครองสิทธิสินไหมทดแทนนำรถไปซ่อม
6. ขอเอกสารใบใหม่จากบริษัทประกัน ฯ ของคุณ เผื่อใช้ในคราวต่อไป
ในกรณีที่รุนแรง หรือตกลงกันไม่ได้ วิธีง่ายๆ คือ ให้ติดต่อบริษัทประกัน ฯ ของคุณทันที และทุกครั้งที่แจ้งประกัน ฯ ให้ถามชื่อ และรหัสประจำตัวของพนักงานไว้ เนื่องจากบางบริษัทมีพนักงานหลายพันคน เวลาตามเรื่องจะได้ง่าย
รถอะไร ประกันภัย ฯ ไม่รับทำ ?
ส่วนใหญ่รถที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ไม่รับทำประกันภาคสมัครใจ คือ รถที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รถแข่ง รถแต่ง หรือรถที่มีวัตถุไวไฟ เสี่ยงที่จะเกิดการระเบิดสูง นอกเหนือจากนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทว่าจะมีข้อจำกัดของรถที่ขอทำประกันอย่างไร
76 บริษัทประกันภัยรถยนต์ในเมืองไทยที่ คปภ. รับรอง
1. บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โทร. 0-2643-0280
2. บริษัท กมลสุโกศลประกันภัย จำกัด โทร. 0-2222-2277-88
3. บริษัท การ์เดียนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-285-6691-5
4. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2285-8888, 1620
5. บริษัท กรุงไทยพาณิชประกันภัย จำกัด โทร. 0-2302-0111
6. บริษัท คิงส์โบรกเกอร์ จำกัด โทร. 0-2915-3105-6, 0-2719-4327
7. บริษัท คิวบีอี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2651-8780
8. บริษัท คุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2214-0033
9. บริษัท คูเนียประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2670-2100
10. บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2276-1024
11. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2638-3030
12. บริษัท ซีจียู ประกันภัย (ไทย) จำกัด โทร. 0-2318-8318
13. บริษัท ซันน์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2231-2640
14. บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2670-4444
15. บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2248-0059, 0-2643-2900
16. บริษัท ไทยเจริญประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2237-7700
17. บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2638-0100-33
18. บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด โทร. 0-2235-0300-9, 0-2235-7881-2
19. บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2652-2880
20. บริษัท ไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด โทร. 0-2236-0035
21. บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2256-6822
22. บริษัท ไทยวิวัฒน์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2644-6400
23. บริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด โทร. 0-2234-7020, 0-2234-7227
24. บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2630-9055
25. บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด โทร. 0-2878-7111
26. บริษัท ไทยศรีซูริคประกันภัย จำกัด โทร. 0-2439-4800
27. บริษัท ธนชาติประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2661-7999
28. บริษัท ธนวัฒน์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2237-3870-4
29. บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2636-7900
30. บริษัท นารายณ์สากลประกันภัย จำกัด โทร. 0-2953-1234
31. บริษัท นิวอินเดียแอสชัวรันซ์ จำกัด โทร. 0-2245-9803, 0-2245-9811
32. บริษัท นิวแฮมพ์เซอร์ อินชัวรันซ์ จำกัด โทร. 0-2634-8888, 0-2638-7423
33. บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) 0-2911-4567, 0-2911-4488
34. บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2238-4111
35. บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2254-7850-9
36. บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2248-0900
37. บริษัท ประกันภัยสากล จำกัด โทร. 0-2658-1919, 0-2254-7861
38. บริษัท ประกันภัยศรีเมือง จำกัด โทร. 0-2266-7468-77
39. บริษัท พระนครธนบุรีประกันภัย จำกัด โทร. 0-2221-2627
40. บริษัท พรภัทรประกันภัย จำกัด โทร. 0-2665-9357
41. บริษัท พาณิชย์การประกันภัย จำกัด โทร. 0-2440-0004
42. บริษัท ไพบูลย์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2246-9635-54
43. บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด โทร. 0-2910-7450-69
44. บริษัท ไพศาล ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2634-8888
45. บริษัท พัชรประกันภัย จำกัด โทร. 0-2658-6058
46. บริษัท มิตซุยสุมิโตโมประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2679-6165
47. บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2640-7777
48. บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด โทร. 0-2693-3456
49. บริษัท ยูพีดี โบรคเกอร์ จำกัด โทร. 0-2540-4444
50. บริษัท โรยัลแอนด์ซันอัลลายแอนซ์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2207-0266-85
51. บริษัท วชิระธนสินประกันภัย จำกัด โทร. 0-2207-0535
52. บริษัท วิธสินประกันภัย จำกัด โทร. 0-2677-3999
53. บริษัท ศรีเมืองประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2686-8888
54. บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2263-0335
55. บริษัท สยาม โกลเบิล แอดไวโซรี จำกัด โทร. 08-9689-2058
56. บริษัท สยามซิตี้ อินชัวรันส์ จำกัด โทร. 0-2267-1110
57. บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2541-5050
58. บริษัท สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2955-0100-29
59. บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2379-3140, 1596
60. บริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด โทร. 0-2235-2510-9
61. บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด โทร. 0-2223-2015
62. บริษัท สหวัฒนาประกันภัย จำกัด โทร. 0-2662-7000-9
63. บริษัท อลิอันซ์ ซี. พี. ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2638-9000
64. บริษัท อวีว่า ประกันภัย (ไทย) จำกัด โทร. 0-2318-8318
65. บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2285-6385
66. บริษัท แอ๊ดวานซ์ อินชัวรันส์ จำกัด โทร. 02-648-3713.
67. บริษัท เอราวัณประกันภัย จำกัด โทร. 0-2224-0056
68. บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2236-7614
69. บริษัท เอ็กซ์เปอร์ตประกันภัย จำกัด โทร. 0-2274-9794-6
70. บริษัท เอเชียประกันภัย (1950) จำกัด โทร. 0-2221-0181-2
71. บริษัท เอเซียไดนามิคประกันภัย จำกัด โทร. 0-2541-4765
72. บริษัท เอเชียสากลประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2622-4020-24
73. บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด โทร. 0-2661-6000
74. บริษัท โอสถสภาประกันภัย จำกัด โทร. 0-2732-3671-4
75. บริษัท ไอเอจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2207-0266
76. บริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2247-9261
การทำประกันภัยไม่ได้ช่วยให้การเกิดอุบัติเหตุลดลง เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการต่างๆ อันเนื่องมาจากความเสียหายนั้นๆ การป้องกันอุบัติเหตุที่ดีที่สุด คือ มีความระมัดระวังในการขับขี่ของตนเอง
จำไว้ว่า การจะทำประกันภัยรถยนต์นั้น อย่าดูแต่ราคาที่ถูกกว่าเพียงอย่างเดียว ให้ดูเงื่อนไขของการคุ้มครอง ว่าครอบคลุมกรณีใดบ้าง มีวงเงินมากน้อยเพียงใด การบริการรวดเร็วขนาดไหน รวมถึงมาตรฐานอะไหล่ และอู่ที่รับซ่อมมีมากน้อยเท่าไร และที่ขาดไม่ได้ คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ไม่เช่นนั้นท่านอาจต้องช้ำใจกับบริษัทประกันภัยที่ดีแต่โฆษณา
ขอขอบคุณ กฤชกมล นิติธรรมโกศล ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัย
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26282