ท่องเที่ยว
ย้อนรอยทราย...บนเส้นทางแพรไหม (จบ) กว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ HILUX VIGO CHALLENGER CARAVAN TRIP TO SILK ROAD เดินทางจากเมืองซีอัน สาธารณรัฐประชาชนจีน สู่เมืองทาชเคนต์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน นี้คือ มหากาพย์ของการเดินทางด้วยรถยนต์บนเส้นทางแพรไหม คนไทยกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งได้ถูกจารึกว่าเป็นกลุ่มแรกที่ขับรถยนต์บนเส้นทางนี้ โดยวิ่งผ่าน 3 ประเทศ ได้แก่ จีน-คาซัคสถาน-อุซเบกิสถาน แม้เรื่องเล่าของประสบการณ์การเดินทางจะเปี่ยมล้นจนเป็นอนันต์ แต่นี่จำต้องเป็นเรื่องเล่าคราวสุดท้ายของการเดินทางทริพนี้
กว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ HILUX VIGO CHALLENGER CARAVAN TRIP TO SILK ROAD เดินทางจากเมืองซีอัน สาธารณรัฐประชาชนจีน สู่เมืองทาชเคนต์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน นี้คือ มหากาพย์ของการเดินทางด้วยรถยนต์บนเส้นทางแพรไหม คนไทยกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งได้ถูกจารึกว่าเป็นกลุ่มแรกที่ขับรถยนต์บนเส้นทางนี้ โดยวิ่งผ่าน 3 ประเทศ ได้แก่ จีน-คาซัคสถาน-อุซเบกิสถาน แม้เรื่องเล่าของประสบการณ์การเดินทางจะเปี่ยมล้นจนเป็นอนันต์ แต่นี่จำต้องเป็นเรื่องเล่าคราวสุดท้ายของการเดินทางทริพนี้
ฮาหมิ-ทูลู่ฟาน ระยะทาง 425 กม.
มุ่งสู่แอ่งกระทะบนเตาเพลิง
เช้านี้เป็นวันที่อากาศดีในรอบ 6 วันที่อยู่บนแผ่นดินมังกร อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 16 องศาเซลเซียส เห็นแสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านปลายต้นสนหน้าโรงแรม ช่วยให้คลายหนาวได้บ้าง เมื่อถึงเวลา 08.00 น. ขบวนคาราวานจึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เมืองทูลู่ฟาน (หรือทูร์พาน ตามภาษาอุยกูร์) "แอ่งอารยธรรมบนเตาเพลิง" ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นเมืองโบราณเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งบนเส้นทางแพรไหม สาเหตุที่เรียกเมืองแห่งนี้ว่าเป็น "แอ่ง" ก็เพราะตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 155 เมตร
ที่แห่งนี้เป็นบริเวณที่ต่ำที่สุดของประเทศจีน และมีอุณหภูมิร้อนที่สุด โดยใน 1 ปี จะมีอุณหภูมิเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ถึง 99 วัน ส่วนในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส หรือบางทีร้อนจัดถึง 49 องศาเซลเซียส เป็นดินแดนที่แห้งแล้งที่สุด ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีเพียง 16.75 มิลลิเมตรเท่านั้น และบ่อยครั้งที่ความชื้นสัมพัทธ์มีค่าเท่ากับ 0 เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีภูมิประเทศและภูมิอากาศค่อนข้างโหดร้ายทารุน
แม้ว่าทูลู่ฟานจะมีลักษณะภูมิอากาศแห้งแล้ง แต่ด้วยภูมิปัญญาของชาวพื้นเมือง ได้คิดค้นหาวิธีนำน้ำจากเทือกเขาเทียนซานมาหล่อเลี้ยงเมือง สร้างความเขียวชอุ่มท่ามกลางภูมิประเทศที่ร้อนและแห้งแล้งมานานเกือบ 2,000 ปี ด้วยการสร้างระบบชลประทาน "คันเอ๋อจิ่ง" หรือในภาษาอุยกูร์ เรียกว่า "คาเรซ" (KAREZ) หรืออุโมงค์ส่งน้ำ ซึ่งส่งผ่านใต้ทะเลทรายโกบีอันร้อนระอุ และส่งแยกไปตามบ้านเรือน เมื่อนำความยาวของอุโมงค์ทั้งหมดมาต่อกันจะมีระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร เป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเมืองทูลู่ฟานมานาน สามารถปลูกองุ่นและแตงโมได้รสชาติหอมหวานจับใจ ทั้งยังเป็นเมืองที่ผลิตองุ่นได้มากที่สุดของจีน
ถึงแม้ทูลู่ฟานจะเป็นเมืองในประเทศจีน แต่ก็มีความเป็นจีนน้อยมาก เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด ต้นตระกูลดั้งเดิมของชาวอุยกูร์จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ "เติร์ก" เหมือนชาวตุรกี แต่เมื่อครั้งเจงกิสข่านแผ่ขยายอาณาจักร จึงจับเป็นเชลยกลับมาด้วย ภายหลังได้ทำกินแถบมองโกเลีย และผสมกับชาติพันธุ์รัสเซีย จึงกลายเป็น "แขกขาว" ที่หล่อเข้ม สวยคม ครึ่งเอเชีย ครึ่งยุโรป มีความชำนาญในการล่าสัตว์ และรบบนหลังม้าได้เก่งฉกาจ ("อุยกูร์" แปลว่า นักล่าสัตว์) แต่ยามว่างก็ร้องรำทำเพลงได้ไพเราะ และสนุกสุดๆ ไม่แพ้กัน
ก่อนถึงเมืองทูลู่ฟานประมาณ 90 กิโลเมตร ขบวนคาราวานได้แวะชม "เมืองโบราณเกาชาง" ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายบนเส้นทางสายนี้ที่พระถังซำจั๋งได้แวะพัก เมื่อครั้งออกจาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 100 ปี ก่อนคริสต์กาล มีอาณาเขตกว่า 20 ตารางกิโลเมตร จัดเป็นซากเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน การที่จะเข้าไปชมนั้นต้องอาศัยรถลาเป็นพาหนะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ เกวียนในบ้านเรา แต่เปลี่ยนจากวัวหรือควายมาใช้ลาลากแทน คันหนึ่งนั่งได้ประมาณ 6-8 คน เมืองนี้ถูกทำลายลงเพราะสงครามตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 และปล่อยทิ้งร้างมาจนปัจจุบัน
หลังออกจากเมืองโบราณเกาชาง ขบวนคาราวานยังได้แวะชม "เมืองโบราณเจียวเหอ" ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 13 กิโลเมตรทางฝั่งตะวันตก เป็นเมืองที่มีอายุกว่า 1,000 ปี บริเวณทางทิศตะวันตกของเมือง จะมีกลุ่มบ่อน้ำจืดมากมาย ซึ่งปัจจุบันยังมีน้ำใสสะอาดผุดขึ้นมา จึงได้รับฉายาว่า "เมืองในอ้อมกอดของสายน้ำ" แต่หลังจากสิ้นราชวงศ์หยวน (มองโกล) เมื่อปี คศ. 1368 เมืองแห่งนี้ก็ได้ล่มสลายลง และถูกปล่อยทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
วันนี้เราเดินทางมาถึงที่พัก TURPAN OASIS HOTEL เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่เร็วกว่าทุกวัน ทำให้หลังอาหารเย็นได้มีเวลาพักผ่อนชาร์จพลังกันเต็มที่
ทูลู่ฟาน-อุรุมชี ระยะทาง 200 กม.
ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น กำหนดการไม่ได้รีบร้อนนัก เพราะโพรแกรมวันนี้เดินทางเพียง 200 กิโลเมตรเท่านั้น เวลา 09.00 น. หลังอาหารเช้า ขบวนคาราวานจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองอุรุมชี (URUMUGI) หรือ อูลู่หมู่ฉี ตามภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลซินเกียง เมืองนี้มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3,000,000 คน มีเทือกเขาอันไต ทอดผ่านทางทิศเหนือ เทือกเขาเทียนซาน ถิ่นกำเนิดของบัวหิมะ (พืชวิเศษที่ช่วยเพิ่มกำลังภายในให้จอมยุทธ์ในหนังจีน) พาดผ่านตอนกลาง และเทือกเขาคุนลุ้น กั้นทางทิศใต้ มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา จึงมีคนเปรียบเปรยไว้ว่า
"ถ้าไม่ไปทิเบต จะไม่รู้สีสันของท้องฟ้าราวสวรรค์"
"ถ้าไม่ไปซินเกียง จะไม่รู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นดิน"
มณฑลซินเกียงเป็นมณฑลที่ปกครองตนเอง มีพื้นที่ 1.66 ล้านตารางกิโลเมตร มีน้ำมันและแกสธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ตลอด 2 ข้างทางเราจะเห็นแท่นดูดน้ำมันเรียงรายอยู่เป็นระยะ สมัยก่อนเคยต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากจีน แต่ไม่สำเร็จ ปัจจุบันรัฐบาลจีนได้อพยพชาวฮั่นเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับชาวอุยกูร์ และที่น่าทึ่งก็คือ ทั้งมณฑลใช้กระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากกังหันลม ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น และที่สำคัญคือ ได้มาฟรีๆ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 600 กิโลวัตต์ ภายใน 1 ชั่วโมง ต่อกังหันลม 1 ต้น ที่นี่มีกังหันทั้งหมดกว่า 800 ต้น เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังลมใหญ่ที่สุดในเอเชีย และขณะนี้ยังสร้างเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
เราเดินทางถึงอุรุมชีประมาณเที่ยงวัน แล้วต่อด้วยรถบัส เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองซินเกียง ในพิพิธภัณฑ์นอกจากจัดแสดงโบราณวัตถุ ที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของเส้นทางแพรไหมแล้ว ยังจัดแสดงซากมัมมีที่เก่าแก่ มีอายุไม่ต่ำกว่า 3,800 ปี และส่วนสำคัญของพิพิธภัณฑ์อีกส่วนหนึ่ง คือ การจัดแสดงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่างๆ ในมณฑลซินเกียง ซึ่งมีทั้งหมด 12 เผ่า หลังจากนั้นไปเดินชอพพิงที่ตลาดกแรนด์บาซาร์ ต้นตำรับของตลาดบาซาร์ที่มีสินค้าวางขายตามทางเดิน มื้อเย็นรับประทานอาหารพร้อมดูการแสดงพื้นเมือง ก่อนกลับเข้าที่พัก WORLD PLAZA HOTEL
อุรุมชี-ยี่หนิง ระยะทาง 700 กม.
มุ่งสู่เมืองชายแดนด้านทิศตะวันตก
วันนี้คณะเราได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เพราะกำหนดการออกเดินทางประมาณ 9 โมงกว่าๆ และไม่มีโพรแกรมแวะเที่ยวชมสถานที่ไหนอีกในระหว่างการเดินทาง อีก 700 กิโลเมตร คือ เมืองยี่หนิง เมืองชายแดนด้านทิศตะวันตก ระยะทางค่อนพันกิโลเมตร ถือว่ายาวนานพอสมควรในการขับรถ แต่ก็ไม่ใช่วันแรกของทริพที่เราเดินทางด้วยระยะทางไกลแบบนี้ สมาชิกเริ่มปรับตัวกับการขับรถทั้งวันได้แล้ว จึงทำให้การเดินทางไหลลื่น และทำเวลาได้มากขึ้น
เวลา 6 โมงเย็น เราแวะดื่มกาแฟบริเวณทะเลสาบไซราม (SAYRAM) บนความสูงกว่า 2,000 เมตร อุณหภูมิคงอยู่เฉียดๆ เลขศูนย์ เพราะบริเวณใกล้เคียงปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ได้พบเพื่อนเดินทางชาวเยอรมนี ซึ่งขี่จักรยานย้อนเส้นทางเรา คือ จากประเทศตุรกี จุดสิ้นสุดของเส้นทางแพรไหม จุดหมายอยู่ที่เมืองซีอัน ต้นทางของเส้นทางสายนี้ โดยมีกำหนดเวลาการเดินทางไว้ 3 เดือน จากจุดที่เราพบกันนี้มีระยะทางห่างจากเมืองซีอัน อีกกว่า 3,000 กิโลเมตร แต่เขาเหลือเวลาอีกเพียง 20 วันเท่านั้น ที่ต้องเดินทางไปให้ถึง พวกเราจึงได้แต่เอาใจช่วย และอวยพรให้เขาทำสำเร็จ
ระยะทางอีกประมาณ 300 กิโลเมตรจะถึงที่พัก เราออกเดินทางต่อ เวลาประมาณ 20.00 น. แต่ที่นี่พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า หากไม่ดูนาฬิกาก็คงยังนึกว่าเป็นเวลา 5 โมงกว่าๆ อยู่แน่ๆ
เกือบๆ 5 ทุ่ม คณะเราจึงมาถึงที่พัก SHUANG CHEN HOTEL ในเมืองยี่หนิง เพื่อรอข้ามชายแดนไปสาธารณรัฐคาซัคสถาน ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 60 กิโลเมตร
ยี่หนิง-อัลมาตี ระยะทาง 450 กม.
เปิดประตูสู่เอเชียกลาง
เวลา 07.00 น. ขบวนคาราวานออกจากที่พัก มุ่งหน้าสู่ชายแดนที่ด่าน HORGOS PASS เพื่อข้ามไปยังประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน (KAZAKHSTAN) สู่เมืองอัลมาตี (ALMATY) อดีตเมืองหลวง ปัจจุบันย้ายไปที่เมืองอัสตานา (ASTANA) กำหนดการที่วางไว้จะใช้เวลาในการข้ามแดนประมาณ 3 ชั่วโมง แต่เวลาจริงที่คณะเรากว่าจะข้ามแดนได้ เกือบๆ 7 ชั่วโมงเลยทีเดียว และต้องมาเสียเวลาทำเรื่องเข้าประเทศที่ฝั่งคาซัคสถาน อีกนานพอสมควร
เมื่อข้ามฝั่งผมปรับเวลาของนาฬิกาบนข้อมืออีกครั้ง เพราะเวลาของที่นี่ช้ากว่าประเทศจีนถึง 2 ชั่วโมง เวลาทุ่มกว่าๆ ขบวนคาราวานเริ่มออกจากด่าน ระยะทางที่เหลืออีก 350 กิโลเมตร ทำให้เราต้องเพิ่มความเร็วในการเดินทาง ด้วยสภาพถนนที่เป็นถนนราดยางที่ชำรุดเป็นบางช่วง และมีรถวิ่งสวนเลน ประกอบกับสภาพอากาศที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นตัวถ่วงทำให้เราไปถึงที่หมายได้ล่าช้ากว่ากำหนดการ
ถึง EUASAI HOTEL ที่พักในคืนนี้ เวลาประมาณตี 3 เหลือเวลาพักไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะต้องตื่นเวลา 6 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
อัลมาตี-ซิมเคนต์ ระยะทาง 700 กม.
เยือนเอเชียกลางดินแดนใหม่ที่น่าจับตา
เช้านี้ก่อนเดินทางไปยังเมืองซิมเคนต์ (SYMKENT) ขบวนคาราวานได้เที่ยวชมเมืองอัลมาตี ซึ่งเป็นเมืองที่สะอาดสวยงาม ต้นไม้ร่มรื่น และอยู่ในช่วงผลัดใบสีเขียวสลับเหลืองบ้างแดงบ้าง ทำให้ดูแล้วสวยแปลกตา ก่อนออกจากเมืองนี้ได้แวะชมโบสถ์ไม้โบราณทรงหัวหอม สถาปัตยกรรมแบบรัสเชีย ซึ่งเมื่อครั้งแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทำให้สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ พังเสียหาย แต่โบสถ์แห่งนี้กลับไม่เป็นอะไร จึงเป็นสถานที่เคารพบูชาของชาวเมือง
ระหว่างการขับรถออกจากเมือง เราจะเห็นชาวเมืองโบกรถตลอดทาง ไกด์ของคณะเราบอกว่า ที่นี่จะไม่มีรถแทกซี มีเพียงรถโดยสารประจำทาง หากใครต้องการความรวดเร็ว ก็โบกรถยนต์ส่วนบุคคลที่วิ่งผ่านไปมา หากรถคันนั้นไปทางเดียวกันก็ขออาศัยไปด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นแล้วแต่จะตกลงกันเอง ผมอดแปลกใจไม่ได้ ว่าคนที่นี่เขาไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยกันบ้างหรือ เพราะที่นี่ผู้หญิงส่วนใหญ่หน้าตาจัดว่าสวยสะดุดตา สามารถเป็นดาราในบ้านเราได้สบายๆ แถมมาโบกรถขบวนเราตลอดทางที่ผ่าน (ใจก็อยากจะรับไปส่ง แต่ก็กลัวเสียเวลาในการเดินทาง) แต่ก็คงเป็นเพราะมาตรฐานของคนที่นี่ค่อนข้างสูง สามารถแยกแยะถูกผิด รวมถึงกฎหมายที่มีบทลงโทษค่อนข้างจะรุนแรงอีกประการหนึ่ง
อีก 700 กิโลเมตร กับการเดินทางหลังอาหารมื้อเที่ยงแสนทรมาน "หนังท้องตึง หนังตาหย่อน" ประโยคนี้ยังถูกต้องเสมอ ขบวนคาราวานต้องจอดดื่มกาแฟเป็นช่วงๆ พอช่วยให้หายง่วงได้บ้าง กว่าจะถึง SYMKENT HOTEL ที่พักคืนนี้ ก็ปาเข้าไปเกือบตี 3 เล่นเอาสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า
ซิมเคนต์-ทาชเคนต์ ระยะทาง 100 กม.
สุดท้ายปลายทาง 5,000 กม.
เช้าวันใหม่ เรายังคงตื่นในเวลาที่คล้ายๆ กัน กับการขับรถเช่นทุกวันที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการขับรถบนเส้นทางแพรไหม แต่ก่อนจะถึงจุดหมายที่เมืองทาชเคนต์ (TASHKENT) ประเทศสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน (UZBEKISTAN) คณะเราต้องผ่านด่านทดสอบสุดท้ายให้ได้ก่อน นั่นคือ การข้ามแดนจากฝั่งสาธารณรัฐคาซัคสถานไปอุซเบกิสถาน ซึ่งประเทศในกลุ่มเอเชียกลางถึงแม้จะเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน แต่ก็ยังเป็นประเทศที่เปิดใหม่ เทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้บริเวณด่านพรมแดนยังคงล้าสมัยอยู่มาก
ที่สำคัญคือ เราเป็นคณะแรกที่นำรถจากประเทศไทยข้ามพรมแดน จีน-คาซัคสถาน-อุซเบกิสถาน ฉะนั้นการข้ามแดนแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสมอ เจ้าหน้าที่ต้องตรวจรถยนต์อย่างละเอียดทุกขั้นตอน แต่จากประสบการณ์ของ บริษัท ทรานซ์เอเซีย รูท จำกัด โดยมี กิตติ นิลถนอม ในฐานะผู้นำคาราวาน พร้อมด้วยทีมงาน ที่นำคาราวานรถยนต์ข้ามประเทศมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงสามารถผ่านพ้นไปด้วยดี
กว่า 5 ชั่วโมง ที่นั่งจับเจ่าอยู่ที่ด่าน ขบวนรถก็เริ่มทยอยข้ามพรมแดนไปทีละคัน จนครบ 22 คัน ก่อนถึงที่พักตอนบ่ายแก่ๆ ที่ MARKAZA HOTEL และร่วมรับประทานอาหารเย็นกันด้วยความครื้นเครง พร้อมมอบของรางวัลให้แก่ผู้ที่สามารถขับรถผ่านระยะทางท้าทาย ซึ่ง ไฮลักซ์ วีโก พรีรันเนอร์ มีระยะทางท้าทายอยู่ที่ 1,200 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง ส่วน ไฮลักซ์ วีโก 2.5 IC มีระยะทางท้าทายที่ 1,400 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถังเช่นกัน
ผลการทดสอบสมรรถนะความประหยัด ไฮลักซ์ วีโก พรีรันเนอร์ คันแรก ทำระยะทางได้ทั้งสิ้น 1,312 กิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีก 2 คัน มาสิ้นฤทธิ์ที่ระยะทาง 1,414 และ 1,460 กิโลเมตร ส่วน ไฮลักซ์ วีโก 2.5IC นั้น ทำระยะได้สูงสุดถึง 1,515 กิโลเมตร โดยที่น้ำมันยังไม่หมดถังเลยทีเดียว
เช้านี้คณะเราทั้งหมดได้เดินทางโดยรถบัสเที่ยวชมเมืองทาชเคนต์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ซึ่งอดีตเคยเป็นชุมทางสำคัญของการเดินทางบนเส้นทางแพรไหม "ทาชเคนต์" มาจากภาษาตุรกี แปลว่า "เมืองของหิน" เมื่อวันที่ 25 เมษายน 1966 เคยประสบกับแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง จนทำให้บ้านเมืองพังเสียหายแทบทั้งหมด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และได้รับการช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ในการฟื้นฟูประเทศ
นอกจากนี้ยังร่วมถ่ายภาพปักธงชาติไทย ณ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งนี้ เพื่อฉลองความสำเร็จของการเดินทาง ในฐานะคาราวานรถยนต์ไทยกลุ่มแรก ที่นำรถยนต์รุ่นยอดนิยมอย่าง โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก ขับตามรอย "เส้นทางแพรไหม" สายประวัติศาสตร์ของโลก
เวลา 23.20 น. ล้อของเจ้านกเหล็ก สายการบิน UZBEKISTAN AIRWAYS เที่ยวบินที่ HY 533 ก็ลอยขึ้นพ้นพื้นรันเวย์ของสนามบินเมืองทาชเคนต์ ประเทศอุซเบกิสถาน ระบบนำทางถูกลอคไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพ ฯ ประเทศไทย ในเวลา 7 โมงเช้าของวันใหม่
ขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
ขอบคุณ บริษัท ทรานซ์เอเซีย รูท จำกัด อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
พลังกังหันลม
กังหันลม (WIND TURBINE) คือ เครื่องจักรกลอย่างหนึ่งที่สามารถรับและแปลงพลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ของลมให้เป็นพลังงานกลได้ จากนั้นนำพลังงานกลมาใช้โดยตรง หรือผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า การพัฒนากังหันลมเพื่อนำมาใช้ประโยชน์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณจนถึงยุคปัจจุบัน โดยการออกแบบกังหันลมต้องอาศัยความรู้ทางด้านพลศาสตร์ของลม และหลักวิศวกรรมศาสตร์ในแขนงต่างๆ เพื่อให้ได้กำลังงาน พลังงาน และประสิทธิภาพสูงสุด
หลักการทำงานของกังหันลมผลิตไฟฟ้านั้น เมื่อมีลมพัดผ่านใบกังหัน พลังงานจลน์ที่เกิดจากลม จะ ทำให้ใบพัดของกังหันเกิดการหมุน และได้เป็นพลังงานกลออกมา พลังงานกลจากแกนหมุนของกังหันลม จะถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออยู่กับแกนหมุนของกังหันลม จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านระบบควบคุมไฟฟ้า และจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบต่อไป โดยปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จะขึ้นอยู่กับความเร็วของลม และความยาวของใบพัด
เรื่องโดย : ขุนเดช thanagrit@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2551
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26200