ท่องเที่ยว
ย้อนรอยทราย...บนเส้นทางแพรไหม (2) หลังจากที่พาท่านผู้อ่านเที่ยวชมเมืองซีอัน ต้นทางของเส้นทางแพรไหมเมื่อเดือนที่ผ่านมา ต่อไปนี้คือ เรื่องราวของการเดินทาง กับหลากหลายอุปสรรคที่รอพวกเราอยู่เบื้องหน้า บางครั้งหนาวเข้าถึงกระดูก บางคราวผ่านทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ผ่านเทือกเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุม และผ่านเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทุกสิ่งเหล่านี้จะต้องพบเจอบนเส้นทางสายนี้
หลังจากที่พาท่านผู้อ่านเที่ยวชมเมืองซีอัน ต้นทางของเส้นทางแพรไหมเมื่อเดือนที่ผ่านมา ต่อไปนี้คือ เรื่องราวของการเดินทาง กับหลากหลายอุปสรรคที่รอพวกเราอยู่เบื้องหน้า บางครั้งหนาวเข้าถึงกระดูก บางคราวผ่านทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ผ่านเทือกเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุม และผ่านเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทุกสิ่งเหล่านี้จะต้องพบเจอบนเส้นทางสายนี้
แม้คณะเราจะเดินทางด้วยรถยนต์ โตโยตา ไฮลักช์ วีโก ที่มีสมรรถนะสูงแล้วก็ตาม แต่ใช่ว่าจะผ่านพ้นไปโดยง่าย หากขาดฝีมือและความทรหดทั้งรถและคน ทว่าหากมองย้อนไปสมัยก่อน ที่ต้องเดินด้วยเท้า มีม้า และอูฐเป็นพาหนะบรรทุกสัมภาระ กับระยะทางไกลกว่า 7,000 กิโลเมตร เพื่อไปทำการค้า สิ่งนี้ยังคงเป็นคำถามที่ค้างคาในใจผมเสมอ ว่าพวกเขาแข็งใจเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร ?
ซีอัน-หลันโจว ระยะทาง 702 กม.
ขับรถวันแรกบนเส้นทางแพรไหม
6-7-8 คือ สูตรของการเดินทางวันนี้ ตื่น 6 โมง กินข้าว 7 โมง และล้อหมุน 8 โมงเช้า สภาพการจราจรตอนอรุนรุ่งของเมืองซีอัน วุ่นวายไม่แพ้เมืองใหญ่ที่อื่นๆ (แต่ถ้าเทียบกับกรุงเทพ ฯ ก็ยังห่างกันหลายขุม) การขับรถเลนขวาในประเทศจีนวันแรก ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถทั่วไปที่อยากจะเลี้ยวตอนไหนก็เลี้ยว บางทีอยู่ซ้ายสุด กลับเลี้ยวปาดหน้าเพื่อเข้าซอยด้านขวา จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งทีเดียว
ออกจากตัวเมืองมาได้ประมาณ 15 กม. ขบวนคาราวานทั้ง 22 คัน แวะถ่ายภาพกับสัญลักษณ์ของเส้นทางแพรไหม ซึ่งเป็นรูปแกะสลักหิน สีน้ำตาลอมส้ม เป็นรูปขบวนกองคาราวานของพ่อค้าวานิช มีความยาว 55.9 เมตร กว้าง 3 เมตร เป็นรูปพ่อค้าชาวจีนสมัยราชวงศ์ถัง 3 คน พ่อค้าชาวเปอร์เซีย 3 คน อูฐ 14 ตัว สุนัข 3 ตัว และม้าอีก 2 ตัว กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เพื่อทำการค้า ซึ่งสลักโดยสถาบันศิลปวิทยาการแห่งเมืองซีอัน เมื่อปี 1988 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแพรไหมอันยาวไกลกว่า 7,000 กิโลเมตร
ตามกำหนดการ เราจะแวะทานข้าวเที่ยงกันที่เมืองเทียนชุย (TIANSHUI) ที่อยู่ห่างออกไปอีกราวๆ 350 กิโลเมตร แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศที่มีหมอกหนาปกคลุมตลอดการเดินทาง พื้นถนนที่ลดเลี้ยวไปตามไหล่เขาที่เต็มไปด้วยเศษดินที่อยู่บนพื้น เมื่อผสมกับหมอกเม็ดหนาที่เกือบจะเป็นเม็ดฝน จึงทำให้กลายเป็นครีมฉาบหน้าบางๆ ทั้งลื่นและแฉะ ทำให้ขบวนคาราวานเราไม่อาจใช้ความเร็วได้มากนัก ที่หนักกว่านั้นคือ ต้องมาพบกับการจราจรที่ติดขัด เพราะดินที่ถล่มปิดถนนไป 1 ช่องทางเป็นช่วงๆ ยิ่งทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดการเป็นอย่างมาก
ล่วงเข้าบ่าย 2 โมง ขบวนคาราวานเราเดินทางมาถึงร้านอาหาร รสชาติของอาหารที่นี่ค่อนข้างถูกปากคนไทยอย่างเราๆ ทั้งเผ็ด ทั้งร้อน เรียกเหงื่อได้ดีทีเดียว แต่เมื่อเดินออกไปนอกร้านนี่สิ อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียส ลมก็แรง ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว ต้องหาถุงมือและผ้าพันคอกันอย่างอุตลุดทั้งคณะ บริเวณลานด้านหน้าร้านอาหารจะมีแม่ค้านำแอพเพิลใส่ตะกร้ามาขายในราคาไม่แพง แค่ 10 กว่าบาท/1 กิโลกรัม เหตุเพราะละแวกนี้ชาวบ้านทำสวนแอพเพิลกันค่อนข้างมาก
เมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารและแอพเพิลท้องถิ่น บ่าย 3 โมงกว่าจึงออกเดินทางต่อ พร้อมทั้งแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 100 กิโลเมตร จากที่นี่เราเริ่มการทดสอบความประหยัดน้ำมัน โดยมีความท้าทายรออยู่ที่เนินทรายหมิงซาซา ที่เมืองตุนหวง ระยะทางรวม 1,489 กิโลเมตร กับน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถัง
5 ทุ่มกว่าๆ เราเดินทางมาถึงเมืองหลันโจว (LANZHOU) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลกานสู (GANSU) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำฮวงโห หรือแม่น้ำเหลือง ต้นกำเนิด 1 ใน 4 แหล่งอารยธรรมของโลก ที่พักคือโรงแรมหลันโจว เลเจนด์ (LANZHOU LEGEND HOTEL) หลังจากทานอาหารมื้อเย็น หรือจะเรียกว่ามื้อดึกก็คงไม่ผิด จึงแยกย้ายกันพักผ่อน
กว่า 10 ชั่วโมงของการขับรถในวันแรก กับสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่ไม่คุ้นชิน ต้องบอกว่าสะบักสะบอมไปตามๆ กัน เพียงชั่วหัวถึงหมอน หนังตาก็รูดม่านปิดสนิท จบภารกิจในการขับรถวันแรกบนแผ่นดินมังกร
หลันโจว-จางเย่ ระยะทาง 545 กม.
ผจญหนาวบนความสูงกว่า 2,000 เมตร
การเดินทางกว่า 700 กิโลเมตรในวันแรกของเรา จากเมืองซีอันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก โดยวิ่งคู่ขนานไปกับแม่น้ำแยงซีเกียงที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนด้านขวามือ คือ แม่น้ำฮวงโห และกำแพงเมืองจีนที่อยู่ถัดออกไป วันที่สองนี้เราเดินทางตัดขึ้นเหนือ ข้ามแม่น้ำฮวงโหที่เมืองหลันโจวแห่งนี้ เพื่อไปยังเมืองจางเย่ (ZHANGYE) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งของเส้นทางแพรไหม
หลังจากแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองอู่เว่ย (WUWEI) จึงเริ่มออกเดินทางต่อ ซึ่งเหลือระยะทางประมาณ 280 กิโลเมตร ทิวทัศน์ 2 ข้างทางแปลกตากว่าที่ผ่านมา ภูเขาไร้ต้นไม้ มีทุ่งหญ้าบ้างในบางช่วง ส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่ง พื้นเป็นกรวดปนหิน ความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร อากาศหนาวจัด ลมแรง ต้นหญ้าที่อยู่ 2 ข้างทาง ถูกน้ำแข็งเกาะเต็มไปทั่ว ละอองฝนที่ถูกใบปัดน้ำฝนปัดไปด้านข้าง จับตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะตามขอบกระจก มือและขาทั้ง 2 ข้างเริ่มชาเพราะความหนาวเป็นลำดับ
พอเข้าใกล้เมืองจางเย่ ความสูงเริ่มลดระดับลง อุณหภูมิสูงขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึง 10 องศาเซลเซียส วันนี้จึงเป็นวันที่หนาวที่สุดตั้งแต่คณะเรามาถึงประเทศจีน หลังอาหารเย็นจึงแยกย้ายกันเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย
จางเย่-เจี่ยยี่กวน-ตุนหวง ระยะทาง 668 กม.
สุดกำแพงเมืองจีนด่านสุดท้ายทิศตะวันตก
เช้านี้อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 4 องศาเซลเซียส ยังคงเป็นอากาศที่หนาวมากสำหรับคนไทยอย่างคณะเรา จุดหมายของวันนี้ คือ เมืองตุนหวง ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของนักเดินทางบนเส้นทางแพรไหม ระหว่างทางได้แวะชมด่านเจี่ยยี่กวน ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายและยิ่งใหญ่มาก อยู่ทางทิศตะวันตกของกำแพงเมืองจีน 10,000 ลี้ ที่ทอดตัวจากด่านซานไห่กวน ริมทะเลด้านตะวันออกสุด รวมระยะทาง 12,700 ลี้ จนเป็นที่กล่าวว่า "ความสูงของด่านแม้นกนางแอ่นยังบินผ่านไม่ได้"
ด่านนี้สร้างขึ้นในสมัยต้นราชวงศ์หมิง ในปี 1372 มีความยาวโดยรอบ 733 เมตร สูง 10 เมตร ในอดีตใครจะเข้าด่านต้องมีบัตรอนุญาต และบุคคลที่อยู่นอกด่านหรือนอกกำแพงจะเป็นคนเถื่อน คนสมัยก่อนมักเรียกด่านนี้ว่า "ประตูผี" เพราะด้านนอกกำแพงจะเป็นภูมิภาคที่แห้งแล้งกึ่งทะเลทราย และอากาศจะเลวร้ายมาก ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้
หลังอาหารเที่ยงที่โรงแรมเจี่ยยี่กวน คณะคาราวานมุ่งหน้าไปยังเมืองตุนหวง ที่พักของเราในคืนนี้ เมืองตุนหวง คือ เมืองสุดท้ายของศาสนาพุทธบนเส้นทางสายนี้ เป็นเขตแบ่งแยกชาวฮั่นที่นับถือศาสนาพุทธ กับชาวอุยกูร์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ถัดจากเมืองนี้ไปตลอด 2 ข้างทางจะเป็นชาวมุสลิมแทบทั้งสิ้น
ตุนหวง-ฮาหมิ ระยะทาง 420 กม.
รอนแรมผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้ง
คณะเรายังคงใช้สูตร 6-7-8 ในการเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง หลังอาหารเช้าที่เริ่มมีรสชาติของเครื่องเทศแรงขึ้น ตามแบบฉบับของชาวมุสลิม คาราวานออกเดินทางชมเมืองตุนหวง คำว่า "ตุนหวง" มีความหมายว่า ความเจริญรุ่งโรจน์อันไพศาล สถาปนาขึ้นในสมัยจักรพรรดิฮั่นหวู่ติ (HAN WU DI) จักรพรรดิองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ฮั่น
ห่างจากตัวเมืองไป 5 กิโลเมตร คือ ภูเขาทรายหมิงซาซาน ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันมหัศจรรย์ของเนินทราย เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาฉีเหลียนซาน ตั้งอยู่ในเขตแนวรับลมจากทะเลทรายโกบี เมื่อลมหนาวที่พัดจากไซเบียเรียผ่านทะเลทราย ก็จะหอบเอาเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ลอยตามลมปะทะแนวเขา ทับถมนานวันเข้า จึงเกิดเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ มีความกว้างประมาณ 20 กิโลเมตร ความยาว 40 กิโลเมตร ส่วนความสูงอยู่ที่ 250 เมตร เม็ดทรายมีสีสันมากถึง 5 สี คือ แดง เหลือง เขียว ขาว และดำ
ที่ใกล้ๆ กันนั้น มีทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว "เย่วหยาฉวน" ทะเลสาบกลางทะเลทรายที่ไม่เคยเหือดแห้ง ลมพายุไม่เคยพัดทรายลงถมสระน้ำ ซึ่งนับเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
หลังจากขี่อูฐย่ำทรายกว่า 2 ชั่วโมง คาราวานจึงเริ่มออกเดินทางต่อ ระหว่างทางยังได้แวะชมถ้ำโม่เกา หรือถ้ำพระสหัสพุทธ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองตุนหวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่เจาะผนังหินทรายบนหน้าผาด้านทิศตะวันออกของภูเขาหมิงซาซานสูง 50 เมตร ตลอดความยาวกว่า 12 กิโลเมตร มีจำนวนกว่า 492 ถ้ำ มีรูปปั้นในถ้ำถึง 2,415 องค์
หลังอาหารกลางวัน คาราวานเดินทางมุ่งหน้าสู่มณฑลซินเจียง ที่เมืองฮาหมิ (HAMI) ระยะทางอีกประมาณ 420 กิโลเมตร บนเส้นทางทะเลกรวดอันแห้งแล้งสุดสายตา และทุ่งหญ้าเหลืองร้างผู้คน มณฑลซินเจียง เป็นมณฑลที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม วัฒนธรรมการแต่งกาย ภาษาพูด และหน้าตาจะแตกต่างจากมณฑลอื่นๆ ที่เราผ่านมา
เมืองฮาหมิ มีผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ แตงฮามี่ ซึ่งมีผลคล้ายแตงไทยของบ้านเรา แต่จะมีความกรอบ และหอมหวานเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่ได้ลิ้มลอง เกือบๆ 2 ทุ่ม เราจึงถึงที่พักในเมืองฮาหมิ หลังมื้อค่ำเรายังได้ชมการแสดงระบำหน้าท้อง ซึ่งเป็นการแสดงของชาวอุยกูร์ เรียกเสียงฮือฮาจากสมาชิกคาราวานกันทั่วหน้า เมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงเริ่มแยกย้ายกันเข้านอน
ติดตามตอนสุดท้ายฉบับหน้า
ขอบคุณ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
ถ้ำโม่เกา
ถ้ำโม่เกา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองตุนหวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่เจาะผนังหินทรายบนหน้าผาด้านทิศตะวันออกของภูเขาหมิงซาซาน สูง 50 เมตร ตลอดความยาวกว่า 12 กิโลเมตร มีจำนวนกว่า 492 ถ้ำ มีรูปปั้นในถ้ำถึง 2,415 องค์ และมีภาพจิตรกรรมอันวิจิตรในยุคสมัยต่างๆ วาดบนฝาผนังถ้ำและเพดาน ยาวรวมกันกว่า 45,000 ตารางกิโลเมตร
ตำนานการสร้างถ้ำมีว่า เมื่อปี 366 (ราชวงศ์จิ้นตะวันออก) มีพระภิกษุออกจาริกแสวงบุญรูปหนึ่ง นาม พระเล่อจุ่น ได้ธุดงค์มาถึงเชิงเขาซานเว่ยซานในยามอัสดง แล้วท่านได้มองไปบนยอดเขา เห็นแสงรัศมีอันเรืองรองคล้ายประดุจดั่งมีพระพุทธรูปนับพันองค์มาประดิษฐานเรียงรายอยู่ปรากฏขึ้นแก่สายตา ท่านจึงหาช่างมาทำการขุดถ้ำแรกขึ้น เพื่อใช้ปฏิบัติธรรมและทำสมาธิ ถ้ำที่ท่านขุดอยู่จุดสูงสุดของทะเลทราย จึงเรียกว่า ถ้ำโม่เกา ต่อมาก็ได้ขุดในบริเวณใกล้เคียงเพื่อใช้ประกอบศาสนากิจ และสร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ในถ้ำ
มีการบูรณะซ่อมแซมและขยายการก่อสร้างทุกยุคทุกสมัย จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง จึงมีกว่า 1,000 ถ้ำ อีกชื่อหนึ่งของ ถ้ำโม่เกา คือ ถ้ำเชียนโฝ หรือแปลว่า ถ้ำพระพุทธรูปพันองค์ เนื่องจากถ้ำโม่เกาตั้งอยู่บนเส้นทางแพรไหม ที่เชื่อมตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน จึงได้รับอิทธิพลทางศาสนา วัฒนธรรม และความรู้ทั้งฝ่ายตะวันออก และฝ่ายตะวันตก ความนิยมทางศิลปะอันหลากหลาย ถ้ำโม่เกา จึงกลายเป็นคลังศิลปะอันรุ่งโรจน์จนถึงปัจจุบัน
เรื่องโดย : ขุนเดช
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มกราคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26044