ทั่วไป
เคยได้ยินเรื่อง โครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ หรือ บีอาร์ที กันบ้างหรือเปล่า ที่นี่เคยเอามาเล่าอยู่หลายหน ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างสายแรก แต่ก็ปรากฏว่า มีแต่เสียงคนไม่เห็นด้วย เพราะไปสร้างเอาสายที่มีแต่รถ 10 ล้อ วิ่ง ประชาชนธรรมดาไม่ค่อยเดินทางเส้นนั้นกัน
เคยได้ยินเรื่อง โครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ หรือ บีอาร์ที กันบ้างหรือเปล่า ที่นี่เคยเอามาเล่าอยู่หลายหน ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างสายแรก แต่ก็ปรากฏว่า มีแต่เสียงคนไม่เห็นด้วย เพราะไปสร้างเอาสายที่มีแต่รถ 10 ล้อ วิ่ง ประชาชนธรรมดาไม่ค่อยเดินทางเส้นนั้นกัน
ก็ต้องคอยดูว่าเริ่มโครงการแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ท่านผู้ว่าก็โดยสอบเรื่อง รถดับเพลิง เรือดับเพลิง แค่นั้นก็งงไปหมดแล้ว
เอาเป็นว่า หนนี้เก็บเอามาเล่าสู่กันฟัง เพราะเหตุว่ามันเป็นข่าว
ข่าวแรก กทม. ก็เตรียมประมูลซื้อรถโดยสารประจำทางชนิดใช้แกสธรรมชาติ CNG เป็นเชื้อเพลิง ขนาดเครื่องยนต์ไม่น้อยกว่า 220 กิโลวัตต์ หรือ 300 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ มีลักษณะเป็นรถพ่วง ARTICULATED BUS จำนวน 30 คัน เพื่อใช้ในโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ ด้วยวิธีการทางอีเลคทรอนิคส์ โดยผู้ขายต้องรับประกันความชำรุดบกพร่อง หรือดำเนินการตามเงื่อนไขในการบำรุงรักษา เป็นเวลา 2 ปี
มันติดอยู่ตรงรายละเอียดที่ว่า เจ้ารถโดยสารแบบนี้ ต้องขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แกสธรรมชาติอัด ผลิตภัณฑ์ของยุโรป หรืออเมริกาเหนือ ที่ได้มาตรฐานไอเสียไม่ต่ำกว่า ยูโร III โดยมีหนังสือรับรอง อาทิ TUV USEPA หรือ สมอ. ถังบรรจุแกสอัดมีความจุรวมไม่น้อยกว่า 900 ลิตร
เรื่องคงยังไม่ค่อยยุ่งเท่าไรนัก เพราะเพิ่งจะแค่เริ่มต้น แต่เรื่องที่จะเปลี่ยนรถแอร์ 2,000 คัน ให้เป็นรถใช้แกสธรรมชาติน่ะ มันยังยุ่ง เพราะเกิดไปขอยกเว้นอากรนำเข้าของแชสซีส์รถโดยสารพร้อมเครื่องยนต์ใช้แกสธรรมชาติ CNG โดย ขสมก. ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ขอยกเว้นอากรนำเข้า โดยเสนอเป็นยกเว้นของ ซีเคดี หรือยกเว้นแบบสำเร็จรูป
เท่านั้นเองก็เป็นเรื่อง เพราะผู้ผลิตแชสซีส์ หรือเครื่องยนต์ในประเทศก็มีอยู่เยอะ งานนี้ ธนบุรี บัส บอดี้ ฯ พี่ใหญ่ อดรนทนไม่ได้ เลยทำหนังสือคัดค้าน
หลังจากประชุมพิจารณา หมดกาแฟกันไปหลายห่อแล้ว ทั้งคณะกรรมการภาษีอากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สภาอุตสาหกรรมจังหวัดต่างๆ ที่มีโรงงานประกอบแชสซีส์ หรือต่อตัวถังรถยนต์โดยสาร ก็มีความเห็นว่า การยกเว้นอากรขาเข้า จะเป็นการทำลายอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมประกอบตัวถังภายในประเทศ อาจยกเว้นเฉพาะชิ้นส่วนที่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ
กระทรวงคมนาคมก็เลยตอบออกมา ให้ ขสมก. จัดซื้อจัดจ้างรถยนต์โดยสารที่ใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ภายในประเทศ ทั้งนี้ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และหากจะมีการจัดซื้อจากต่างประเทศจริงแล้ว ขอให้นำเข้ามาในรูปแบบชิ้นส่วน เพื่อให้มีการประกอบภายในประเทศ
แต่หากจะมีการลดอัตราอากรขาเข้าสินค้า CBU CHASSIS WITH ENGINE และCKD CHASSIS WITH ENGINE ลง โดยมีเงื่อนไข จะต้องเป็นการนำเข้าเพื่อการผลิตรถยนต์โดยสารที่ใช้แกสเป็นเชื้อเพลิง (NGV) จำนวน 2,000 คัน มีกรอบระยะเวลาการลดภาษีอากรขาเข้าลงจำนวน 2 ปี
แล้วเรื่องก็เตะกลับมาที่กระทรวงการคลังว่า เนื่องจากในการดำเนินงานจัดซื้อรถโดยสารสำเร็จรูปที่ใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก รัฐบาลจึงเห็นว่าควรจะระงับไว้ก่อน เพื่อจะไม่สร้างภาระผูกพันไว้ โดยจะให้รัฐบาลชุดต่อไปเป็นผู้พิจารณาดำเนินการอนุมัติโครงการ ฯ
จบข่าว
ไปที่เรื่องมันยังยุ่งอีกเรื่องดีไหมครับ
รู้จักเจ้ามาตรฐานโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกันบ้างไหม มันเริ่มกันมาตั้งแต่ ISO 9000: 2000 แล้วก็ระเรื่อยมาให้หลายๆ ผลิตภัณฑ์ต้องวุ่นวายกับการดำเนินการภายใน เพื่อให้ผ่านเจ้ามาตรฐานที่ว่า
ทีนี้มันก็เกิดมีน้องใหม่ขึ้นมาอีกหมายเลขหนึ่ง เป็นมาตรฐานระบบการจัดการ ISO/TS 16949: 2002 ชื่อเต็มยศของมันเรียกว่า
มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ISO/TS 16949
จัดทำขึ้นโดยกลุ่มองค์กรความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยานยนต์จากประเทศต่างๆ ซึ่งร่วมกันพัฒนามาตรฐานนี้มาจากมาตรฐาน ISO 9001 และ QS 9000 เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์โดยเฉพาะ ดังนั้น มาตรฐาน ISO/TS 16949 จึงเป็นมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการส่งมอบชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับบริษัทรถยนต์รายใหญ่ทั่วโลก ถึงแม้ว่ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นหลายรายจะยังไม่ได้มีการบังคับใช้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนของตนก็ตาม
ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของหลายค่ายทั้งจากสหรัฐอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละบริษัทได้กำหนดนโยบายในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และการคัดเลือกผู้ส่งมอบชิ้นส่วนที่แตกต่างกันไป แต่ต่างก็มีรูปแบบอยู่บนพื้นฐานเพื่อให้เกิดความมั่นใจในด้านคุณภาพของชิ้นส่วนที่ส่งมอบ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการผลิตยานยนต์ และความเชื่อมั่นของลูกค้าทั้งใน และนอกประเทศด้วย
สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยที่สามารถได้รับการรับรองระบบ ฯ ตามมาตรฐาน ISO/TS 16949 นั้น จึง เท่ากับเป็นการรับรองคุณภาพในการผลิตของตนว่าสามารถผลิตได้ตามข้อกำหนดของลูกค้า โรงงานผลิตรถยนต์ และสามารถส่งมอบชิ้นส่วนให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายได้ โดยไม่จำเป็นต้องขอรับการรับรองหลายๆ ระบบ ซึ่งจะทำให้ลดความซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่ายในการขอรับการรับรองมาตรฐานต่างๆ และทำให้สามารถบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานอยู่เสมอได้ง่ายขึ้น และเป็นการยกระดับการผลิตไปสู่สากล เพื่อสร้างความพร้อมในการรับกับการจัดหาชิ้นส่วนจากฐานการผลิตรถยนต์จากประเทศต่างๆ ด้วย
ที่ว่าเรื่องมันยังยุ่งก็เพราะ ยังมีผู้ผลิตชิ้นส่วนอีกมากที่ยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานระบบการจัดการ ซึ่งส่วนหนึ่ง คือ เป็นกลุ่มที่เคยได้รับการรับรองในมาตรฐานระบบอื่นแล้ว และมีพื้นฐานหรือศักยภาพในการจะจัดทำตามระบบมาตรฐาน ISO/TS 16949 ได้
อีกส่วนหนึ่ง คือ กลุ่มที่ยังไม่ได้จัดทำระบบมาตรฐานการจัดการในองค์กรเลย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายเล็กในระดับ 2ND หรือ 3RD TIER ยังขาดความพร้อม และอาจจำเป็นต้องจัดทำระบบมาตรฐาน ISO/TS 16949 ในระยะต่อไปตามเงื่อนไขความต้องการของลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ได้
ในกลุ่มนี้ การสร้างพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในมาตรฐานดังกล่าว นับเป็นสิ่งจำเป็นในระยะเร่งด่วน เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้เตรียมปรับโครงสร้างพื้นฐานในองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหามันไปอยู่ในส่วนของผู้ให้บริการปรึกษาแนะนำ และการตรวจประเมินตามมาตรฐาน มีผู้ที่ให้บริการในมาตรฐาน ISO/TS 16949 อยู่ในปัจจุบันไม่มากนักเมื่อเทียบกับการให้บริการในมาตรฐานอื่นๆ เนื่องจากยังมีผู้เชี่ยวชาญในมาตรฐานนี้ไม่มากนัก ต่างจากจำนวนผู้เชี่ยวชาญในด้านมาตรฐาน ISO 9001 ซึ่งมีอยู่จำนวนมากเพราะได้ดำเนินการมาแล้วเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำนวนผู้ตรวจประเมิน หรือ AUDITOR ตามมาตรฐาน ISO/TS 16949 ที่ยังมีจำนวนจำกัดมาก
จึงเรียนมาเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบไว้ด้วย แต่ท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อนั้น ไม่ต้องแจ้งมาที่นี่หรอก เพราะเรามีหน้าที่ค้นคว้ามานำเสนอท่านผู้ชมอยู่สม่ำเสมอแล้วครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย formula@autoinfo.co.tn
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/14381