ท่ามกลางกระแสตลาดรถที่กำลังหดตัว แต่สถานการณ์ของรถบแรนด์ใหม่ที่จะมาบุกตลาดในเมืองไทย ไม่ได้เป็นไปตามกระแส เพราะในงาน MOTOR EXPO 2007 จะมีรถถึง 3 บแรนด์เข้ามาเปิดตัว เพื่อเขย่าวงการรถยนต์เมืองไทยให้มีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น

ท่ามกลางกระแสตลาดรถที่กำลังหดตัว แต่สถานการณ์ของรถบแรนด์ใหม่ที่จะมาบุกตลาดในเมืองไทย ไม่ได้เป็นไปตามกระแส เพราะในงาน MOTOR EXPO 2007 จะมีรถถึง 3 บแรนด์เข้ามาเปิดตัว เพื่อเขย่าวงการรถยนต์เมืองไทยให้มีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น HYUNDAI กลุ่มโซจิสึ คอร์พอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านชิ้นส่วนยานยนต์และเทรดดิงรายใหญ่ของญี่ปุ่น และได้สิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ฮันเด (HYUNDAI) ในเมืองไทย ก่อตั้ง บริษัท ฮุนไดมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นในบริษัท แบ่งเป็น 400,000 หุ้น จำนวนหุ้นละ 250 บาท โดยกลุ่มโซจิสึ คอร์พอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น 219,992 หุ้น โซจิสึ เอเชีย พีทีอี ลิมิเทด ประเทศสิงคโปร์ 60,000 หุ้น ฮิโรโตะ มูราอิ 120,001 หุ้น ที่เหลือเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น โดยให้บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นผู้ผลิต โดยรถรุ่นแรกที่จะทำตลาด คือ โซนาตา ส่วนแผนการทำตลาดรถยนต์ ฮันเด ในประเทศไทย ช่วงแรก เน้นการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร และรถยนต์ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะเรื่องการบริการ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นกับการเริ่มทำตลาดรถยนต์ ฮันเด อีกครั้งหนึ่ง หลังจากในอดีตที่ผ่านมาการทำตลาดในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จมากนัก สำหรับกลุ่มโซจิสึ คอร์พนั้น ก่อนหน้านี้เคยเปิดตลาดรถยนต์ ฮันเด ในหลายๆ ประเทศมาแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดยรูปแบบการทำตลาดนั้น ถ้าประ เทศใดมีศักยภาพเพียงพอ และยังไม่มีรถยนต์ ฮันเด จำหน่าย ทางโซจิสึ คอร์พ จะเข้าไปบุกเบิกตลาดก่อน หลังจากนั้นเมื่อบริษัทที่ก่อตั้งในประเทศนั้นๆ เข้มแข็งแล้ว ทาง ฮันเด มอเตอร์ ประเทศเกาหลีใต้ จะเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่ง PROTON สำหรับ โปรตอน (PROTON) รถประจำชาติของมาเลเซีย เป็นอีกหนึ่งบแรนด์ที่สนใจเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย แต่ขณะนี้แผนการดังกล่าวยังแขวนอยู่ในอากาศ เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียยังไม่มั่นใจว่า จะได้รับการยกเว้นภาษี 5 % เช่นเดียวกับที่ไทยให้กับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาฟตาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา มาเลเซียไม่ได้ร่วมลงนามตามข้อกำหนดของอาฟตา หากประเทศมาเลเซียไม่ได้รับการยกเว้นภาษี จะส่งผลให้ โปรตอน มีราคาสูงกว่ารถยนต์บแรนด์อื่นในตลาดเมืองไทย ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงการแข่งขันและยอดจำหน่าย ทั้งนี้ คาดว่าหากรัฐบาลไทยได้ข้อยุติเรื่องดังกล่าว ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะได้สัมผัสกับยนตรกรรมจากประเทศเพื่อนบ้านรายนี้แน่นอน โดย โปรตอน น่าจะมาเปิดตัวในงาน MOTOR EXPO 2007 ที่จะจัดขึ้นปลายปีนี้ โปรตอน เป็นรถยนต์ที่จับกลุ่มตลาดระดับล่าง หรือตลาดที่มีราคาจำหน่ายต่ำกว่า 500,000 บาท/คัน ซึ่งประเทศไทย มีโครงการ อีโค-คาร์ รองรับอยู่แล้ว แต่ขณะนี้โครงการดังกล่าวยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร สิ่งหนึ่งที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการ คือ การผลักดันโครงการ อีโค-คาร์ ให้เป็นรูปธรรมอย่างเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย อย่าไปมองว่าการลดภาษีให้รถในกลุ่ม อีโค-คาร์ จะทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ แต่ต้องมองในระยะยาวว่า โครงการนี้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทย TATA ทาทา มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศอินเดีย ร่วมทุนกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด จัดตั้ง บริษัท ตาต้า มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท และเต็มโครงการที่ 1,200 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการร่วมทุนคือ ทาทา มอเตอร์ส 70 % และกลุ่มบริษัทธนบุรี ฯ 30 % เพื่อผลิตรถพิคอัพในโรงงานประกอบรถยนต์ของกลุ่มธนบุรี ฯ ทั้งนี้ทั้ง 2 บริษัทจะบริหารงานและทำการตลาดเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค การร่วมทุนครั้งนี้จะทำให้ ทาทา มอเตอร์ส เจาะตลาดรถพิคอัพในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดรถพิคอัพที่ใหญ่เป็นที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัท รถที่ผลิตออกมานั้นจะมีมาตรฐานสากล ทั้งด้านคุณภาพ และความปลอดภัย รวมทั้ง ธนบุรี ฯ สามารถใช้ประโยชน์ของการร่วมทุนไปทำประโยชน์ให้แก่โรงงานของธนบุรี ทั้งนี้จากการศึกษาตลาดจะเน้นทำตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค โดยเน้นทำตลาดรถพิคอัพทุกเซกเมนท์ ทั้ง 4x2 ซิงเกิลแคบ สเปศแคบ ดับเบิลแคบ 4x4 ส่วนเป้าหมายแรกจากตลาดรถพิคอัพในประเทศไทยขอส่วนแบ่งทางการตลาด 3-5 % ซึ่งรถคันแรกจะสามารถออกจากสายการผลิตภายในปีนี้ แต่การเปิดตัวรถนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดในปัจจุบัน ส่วนตลาดส่งออกนั้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 20 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดูสถานการณ์ตลาดในประเทศก่อนว่าจะเป็นอย่างไร เพราะหากตลาดในประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก คงต้องชะลอตลาดส่งออก เพื่อไม่ให้กระทบกำลังการผลิต แต่เรื่องของตลาดส่งออกนั้นไม่มีปัญหา เนื่องจากประเทศอินเดีย มีข้อตกลงเรื่องของ เอฟทีเอ และอาฟตา เรียบร้อยแล้ว หากมีความพร้อมเรื่องของการส่งออก สามารถส่งออกได้ทันที โดยจะส่งออกไปยังประเทศที่ใช้พวงมาลัยขวาก่อน