ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 30 กว่าบาท ผมว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแล้วครับ เพราะความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มขยับสูงขึ้น ประกอบกับช่วงปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันไม่นิ่ง และไม่มีทีท่าว่า จะลดลงให้ชื่นใจสักนิด ยิ่งต้นปี 2550 รัฐบาลประกาศยกเลิกการผลิตน้ำมันเบนซิน ออคเทน 95
เชื่อว่าผู้ใช้รถเก่าอีกหลายล้านคน เตรียมตัวเดือดร้อนได้เลย ลำพังแค่ราคาน้ำมันอย่างเดียว ก็อ่วมอรทัยพออยู่แล้ว นี่ยังมากำหนดให้ประชาชนหันไปใช้แกสโซฮอล แทนน้ำมันเบนซิน ยิ่งไม่เหลือทางรอดให้คนทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ ได้ตัดสินใจ

ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 30 กว่าบาท ผมว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแล้วครับ เพราะความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มขยับสูงขึ้น ประกอบกับช่วงปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันไม่นิ่ง และไม่มีทีท่าว่า จะลดลงให้ชื่นใจสักนิด ยิ่งต้นปี 2550 รัฐบาลประกาศยกเลิกการผลิตน้ำมันเบนซิน ออคเทน 95 เชื่อว่าผู้ใช้รถเก่าอีกหลายล้านคน เตรียมตัวเดือดร้อนได้เลย ลำพังแค่ราคาน้ำมันอย่างเดียว ก็อ่วมอรทัยพออยู่แล้ว นี่ยังมากำหนดให้ประชาชนหันไปใช้แกสโซฮอล แทนน้ำมันเบนซิน ยิ่งไม่เหลือทางรอดให้คนทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ ได้ตัดสินใจ ชั่วโมงนี้ เห็นทีทางเลือกของประชาชน จะเหลือไม่เยอะ ส่วนทางรอดนั้น นอกจากเราจะรัดเข็มขัด ลด ละ เลิก กับการบริโภคสินค้าราคาแพงกันตามสภาพเศรษฐกิจของแต่ละคนแล้ว ดูเหมือนว่า ภาระของครอบครัวยังเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่นับวันจะทารุณ และสาหัสกับปัญหารถติด ที่ยังรอวันแก้ไข ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ลงมือแบบจริงจัง ปล่อยให้หน่วยงานเล็กๆ ทำ เห็นทีชาตินี้ เราคงต้องเผชิญปัญหานี้ตลอดชีพแน่นอน ! พอถึงสมัยเลือกตั้งแต่ละที บรรดาลิ่วล้อ และว่าที่ สส. สก. สข. สว. สจ. และอีกสารพัดผู้แทนจะออกมาออดอ้อนขอเสียงสนับสนุนให้เป็นผู้อาสามาแก้ปัญหาจราจรกันเป็นแถว พอได้เป็น กว่าจะได้ทำ ก็หมดสมัยต้องมาเลือกตั้งกันใหม่ วนเวียนซ้ำซากเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้เรื่อยมา ฟังดูมันน่าเบื่อพิลึก จากข้อมูลสถิติ ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ปี 2546 เรามีการนำเข้าน้ำมันและพลังงานอื่นๆ มากถึง 373,778 ล้านบาท ปี 2547 มีมูลค่า 531,708 ล้านบาท และปี 2548 มีมูลค่า 838,948 ล้านบาท แม้ว่าราคาน้ำมันดิบ จะขยับราคาจาก 25 เหรียญสรอ./บาร์เรล เป็น 75 เหรียญสรอ./บาร์เรล โดยประมาณ แต่ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุนั้นมาจากปัญหาการจราจรติดขัด ระบบขนส่งมวลชนในเมืองไม่ดี ไม่สามารถอำนวยความสะดวก และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน หันมาใช้บริการได้เท่าที่ควร จะมีก็แต่เส้นทางในเมืองเท่านั้น ที่มีบริการรถไฟฟ้า ทั้งลอยฟ้าและใต้ดิน ประชาชนที่อยู่รอบนอก ยังต้องพึ่งพารถยนต์เป็นปัจจัยหลัก แถมถนนหนทางก็มีเท่าเดิม แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวได้อย่างไร ? ส่วนโครงการรถไฟฟ้า ที่มีข่าวให้เห็นประปรายนั้น รอวันแจ้งเกิดอยู่ร่ำไป ไอ้ที่แจ้งเกิดและลงมือทำอยู่ขณะนี้ มีเพียงแค่ 1 สายเท่านั้น คือ สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 50 กม. 15 สถานี) ช่วงแรกกำลังก่อสร้างจากพญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2551 ส่วนบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะเริ่มก่อสร้างในปี 2550 ที่เหลืออีก 9 สาย (สายสีแดงเข้ม จากรังสิต-มหาชัย ระยะทาง 65 กม. 31 สถานี, สายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย บางซื่อ-ท่าพระ-หัวลำโพง และท่าพระ-บางแค ระยะทาง 27 กม. 21 สถานี, สายสีม่วง จากบางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 43 กม. 32 สถานี, สายสีส้ม จากบางกะปิ-บางบำหรุ ระยะทาง 24 กม. 17 สถานี, สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 1 จากสนามกีฬาแห่งชาติ-พรานนก และอ่อนนุช-สมุทรปราการ ระยะทาง 24 กม. 19 สถานี, สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 2 จากสะพานตากสิน-บางหว้า และหมอชิด-สะพานใหม่ ระยะทาง 19 กม. 19 สถานี, สายสีเหลือง จากลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 32 กม. 20 สถานี, สายสีชมพู จากแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 33 กม. 17 สถานี และสายสีน้ำตาล จากบางกะปิ-มีนบุรี ระยะทาง 9.5 กม. 5 สถานี) ยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างการพิจารณารูปแบบ 5 สาย รอกรุงเทพมหานคร ดำเนินการอีก 2 สาย และกำลังจะก่อสร้างในปีหน้าอีก 3 สาย ยังพอเห็นแสงทองที่ปลายอุโมงค์บ้างครับ ถ้าเสร็จจริง และรีบดำเนินการส่วนที่เหลือ ผมว่าน่าจะเป็นการแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้ดีทีเดียว เพราะทุกวันนี้ เวลาที่ผมและเพื่อนๆ จะไปงานแถลงข่าวของบริษัทลูกค้า ที่จัดตามโรงแรมชั้นนำในเมือง เรามักจะอาศัยรถไฟฟ้าเป็นพาหนะในการเดินทาง ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาในการขับรถเข้าไปเอง และถ้ารัฐจะกรุณาดำเนินการให้เสร็จไวๆ ผมจะจอดรถไว้ที่บ้าน และหันมาพึ่งพารถไฟฟ้าในการเดินทางมาทำงาน เพราะผมเบื่อรถติดเต็มทีแล้วครับ !