ผลทดสอบ
นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ทำการทดสอบรถกระบะ 6 รุ่น เพื่อเฟ้นหาสุดยอดรถกระบะที่ครองใจมหาชนชาวลุงแซม โดยการที่จะพิสูจน์ความเยี่ยมยอดด้านต่างๆ ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการทดสอบที่สุดโหด ทั้งในและนอกสนาม ในปีนี้ได้เพิ่มวิธีการทดสอบเพื่อหาสมรรถนะที่แท้จริงในการใช้งาน ด้วยการบรรทุกเต็มพิกัด แล้วจึงค้นหาสมรรถนะระดับต่างๆ ของแต่ละคัน
นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ทำการทดสอบรถกระบะ 6 รุ่น เพื่อเฟ้นหาสุดยอดรถกระบะที่ครองใจมหาชนชาวลุงแซม โดยการที่จะพิสูจน์ความเยี่ยมยอดด้านต่างๆ ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการทดสอบที่สุดโหด ทั้งในและนอกสนาม ในปีนี้ได้เพิ่มวิธีการทดสอบเพื่อหาสมรรถนะที่แท้จริงในการใช้งาน ด้วยการบรรทุกเต็มพิกัด แล้วจึงค้นหาสมรรถนะระดับต่างๆ ของแต่ละคัน
ครั้งนี้ได้เลือกสนามทดสอบในสภาพต่างๆ อาทิ เส้นทางทะเลทรายในแคลิฟอร์เนีย โดยทดสอบต่อเนื่องเป็นระยะทางถึง 43.2 กม. ทั้งบนฟรีเวย์ ถนนสองเลน การจราจรในเมือง ทางทุรกันดาร และทางฝุ่น การตัดสินจะทำโดยไม่มีหัวข้อของความเร็วสูง มีแต่ผลการขับขี่ การทรงตัว ความสะดวกสบาย ความนุ่นนวล และคุณภาพการผลิต โดยให้เป็นคะแนนดิบ
จากนั้นก็จะนำมาพิจารณากับน้ำหนักบรรทุกที่ทำได้ และนำมาวิเคราะห์เพื่อประกาศผล
ดอดจ์ แรม1500
ดีที่สุด ตั้งแต่เคยสร้างมา
ดอดจ์ แรม 1500 (DODGE RAM 1500) ได้รับเลือกเข้ามาในปีนี้ ด้วยรูปทรงภายนอกที่ไม่แตกต่างจากปีก่อน แต่ในส่วนอื่นมีความแตกต่างกัน เริ่มจากโคมไฟหน้า ได้รับการออกแบบใหม่ กระจังหน้าแบบชุบโครเมียม ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของกันชนหน้า และสปอยเลอร์
นอกจากนั้น ยังมีการปรับเปลี่ยนอีกหลายรายการ ด้วยเฟรมแบบใหม่ที่ใช้วิธีขึ้นรูปแบบไฮโดรฟอร์ม ทำให้มีความทนทานต่อแรงกดเพิ่มขึ้น 17 % และทนแรงบิดได้ 5.5 % แถมยังมีการออกแบบให้มีส่วนรับแรงกระแทกที่ใหญ่ขึ้น และเฟรมในส่วนท้าย สามารถถอดออกได้ เพื่อความสะดวกในการซ่อมแซม
ระบบรองรับผ่านการปรับปรุงขนานใหญ่ ด้วยการอัพเกรดขึ้นเป็นระดับสปอร์ท มีการปรับเปลี่ยนทั้งชุดสปริง บุช และชอคอับแบบกระบอกเดียว ในด้านหน้ามีการเปลี่ยนมาใช้คอนทโรล อาร์ม ชุดใหม่ ในรุ่น 4WD ใช้ชอคอับ แบบคอยล์โอเวอร์ ชอค แทนระบบทอร์ชันบาร์ ของรุ่นปี 2005
บนทางเรียบจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ระบบรองรับมีการตอบสนองที่ดีขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น แต่เมื่อเข้าไปลองในสนามทดสอบ พบว่าการควบคุมการขับขี่ ทำได้ไม่ดีนัก แม้จะใช้ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว และยางแก้มเตี้ยก็ตาม การขับขี่บนทางราดยาง มีการโคลงตัวน้อยลง แต่มีอาการกระเด้งเมื่อเจอเนิน
ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงใหม่ มีการเก็บเสียงที่ดีขึ้น ด้วยการใช้กระจกที่หนาขึ้น ซีลประตูแบบ 3 ชั้น แผงอุปกรณ์ได้รับการปรับปรุงใหม่ พร้อมติดตั้งระบบนำทางด้วยดาวเทียม
พละกำลังจากเครื่องยนต์ วี 8 สูบ ของ ดอดจ์ เฮมิ ความจุ 5.7 ลิตร ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อเทียบความสิ้นเปลือง ในเมือง/ไฮเวย์ ได้เท่ากับ 13/17 เป็น 14/18 ด้วยการใช้ระบบ MULTI DISPLACEMENT SYSTEM โดยเป็นระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์ให้เหลือ 4 สูบ ขณะที่เครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบา
กำลังสูงสุดวัดได้ถึง 345 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 51.8 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังอย่างต่อเนื่องผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 8.6 วินาที ทำอัตราเร่ง 0-400 ม. ได้ใน 16.5 วินาที และทำความเร็วที่เส้นชัยได้ 134 กม./ชม. ทั้งหมดคือ ข้อมูลในการส่งประกวดจากค่าย ไครสเลอร์ ที่บอกว่าเป็น ดอดจ์ แรม ที่ดีที่สุด ตั้งแต่เคยสร้างมา !
ดอดจ์ แรม เมกา แคบ
ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี แต่
ไม่บ่อยนักที่ผู้ใช้รถ จะใช้รถที่มีสมรรถนะในการลากทเรเลอร์ พิกัด 7,264 กก. และยังมีความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่ถูกใจ นอกจากนี้ ยังทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 10 วินาที
ดอดจ์ แรม เมกา แคบ (DODGE RAM MEGA CAB) มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ตั้งแต่รุ่น 1500, 2500 และรุ่น เฮวีดิวที 3500 โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้ง เบนซิน วี 8 สูบ ดอดจ์ เฮมิ ขนาด 5.7 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล คัมมินส์ (CUMMINS) ความจุ 5.9 ลิตร ซึ่งมีให้กับรุ่น 2500 และ 3500 เท่านั้น
ดอดจ์ ทำการบัญญัติรถประเภทใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัวได้อย่างเกินพอ ถ้าเทียบขนาดกับ ดอดจ์ แรม 1500 ควอด แคบ 2500 4x4 จะเห็นว่า ดอดจ์ แรม เมกา แคบ มีขนาดใหญ่กว่าทั้งความยาวที่มากกว่า 20 นิ้ว และความสูงที่มากกว่า 3 นิ้ว ซึ่งส่วนที่ยาวกว่า 20 นิ้ว เป็นส่วนของห้องโดยสารที่ขยายใหญ่ขึ้น เพื่อให้มีเนื้อที่เลกรูมมากขึ้น ทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า แม้เทียบกับ มายบัค (MAYBACH) ก็ตาม
ดอดจ์ แรม แต่ละรุ่นไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเหมือนค่าย ฟอร์ด ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 1500, 2500 หรือแม้แต่ 2500 ก็แทบจะเหมือนกันทั้งหมด แต่ที่แตกต่างกันคือ ภายใน เมื่อเทียบกับ แรม 1500 แล้วอาจมีความน่าประทับใจที่เหนือกว่า โดยเฉพาะการควบคุมบนทางเรียบ
ด้วยสมรรถนะระดับ 325 แรงม้า กับแรงบิดระดับ 84.3 กก.-ม. มาจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ คัมมินส์ ทำให้ เมกา แคบ 2500 สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 9.7 วินาที และทำอัตราเร่ง 0-400 ม. ได้ภายใน 17.3 วินาที โดยมีความเร็วปลาย 126.9 กม./ชม.
ด้วยสัดส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ มีฐานล้อที่กว้างถึง 13 ฟุต กำลังถูกถ่ายทอดลงสู่พื้นด้วยล้อที่มีหน้ากว้างเพียง 265 แต่ก็สามารถทำอัตราเร่งได้ถึง 0.71 จี บนสกิดแพด (SKIDPAD) ทำเวลาบนสนามทดสอบได้ภายใน 29.9 วินาที และทำระยะเบรคจากความเร็ว 0-96 กม./ชม. ได้เพียง 81 ฟุต ซึ่งมากกว่า แรม 1500 เพียง 21 ฟุต ทั้งที่ แรม 1500 ใช้ล้อขนาด 20 นิ้ว
สำหรับสมรรถนะการลากจูงนั้น สามารถทำได้ถึง 5,584 กก. และบรรทุกได้ 681 กก. ถ้าเทียบกับ แรม 1500 คงจะต้องพิจารณาความคุ้มค่าที่มีราคาที่สูงกว่า กับขนาดที่ใหญ่กว่า
เชฟโรเลต์ โคโลราโด
เน้นประหยัด แถมบรรทุกเก่ง
โดยพื้นฐานแล้ว เชฟโรเลต์ โคโลราโด และจีเอมซี แคนยอน เป็นรถกระบะขนาดกลางที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เป็นโครงการที่ได้รับการออกแบบมากว่าสิบปี โดยทีมวิศวกรของ อีซูซุ และจีเอม ได้นำโครงการนี้มาปัดฝุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นการกำหนดแนวทางรถกระบะของบริษัท ฯ ในอนาคต
โคโลราโด มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อผ่านชุดทรานสเฟอร์ ที่โด่งดัง และมีอายุการรับประกันยาวที่สุดถึง 7 ปี หรือ 120,000 กม. ทั้งยังมีระบบการควบคุมการทำงานที่ง่าย ด้วยการกดปุ่มควบคุมบนแผงอุปกรณ์ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก อีซูซุ เต็มๆ
การออกแบบ และการใช้งานสามารถเทียบได้กับรถกระบะจากค่าย เชฟโรเลต์ หรือจีเอมซี ได้อย่างสบาย ทาง อีซูซุ มีแผนจะทำการผลิตให้ได้อย่างน้อย 10,000 คัน/ปี โดยมีรุ่น ไอ 280 ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ และรุ่น ไอ 350 วางเครื่องยนต์ 5 สูบ โดยมีตัวถังให้เลือกใช้ทั้งรุ่นแคบ และ 4 ประตู สำหรับคันที่ทดสอบเป็นรุ่นทอพ แอลเอส 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
การตอบสนองการขับขี่ ไม่แตกต่างไปจากรถกระบะทั่วไป ที่ไม่สามารถเก็บการกระแทกจากสภาพพื้นผิวจราจร และสภาพเส้นทางวิบาก ได้ดีพอ
เครื่องยนต์แบบ 5 สูบแถวเรียง เป็นเครื่องยนต์เวอร์ชันเดียวกับเครื่องยนต์วอร์เทค 4200 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง แล้วนำมาตัดกระบอกสูบออกหนึ่งสูบ ผลคือเป็นเครื่องยนต์ที่มีการตอบสนองคันเร่งเร็วขึ้น ส่วนระบบถ่ายทอดกำลังเป็นหน้าที่ของระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ที่ได้รับความนิยมมากว่า 20 ปี และอาจได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะต่อไปในอนาคต
ภายในห้องโดยสารแปลกตา ด้วยเบาะนั่งแบบแถวยาวของรถกระบะ ที่ไม่โอบกระชับ แต่มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่า ระบบการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอก โดยการใช้ซีลยาง และแผ่นดูดซับเสียง ซึ่งสามารถป้องกันเสียงได้อย่างดีเยี่ยม จนอาจจะได้รับตำแหน่งรถกระบะขนาดเล็กที่มีระบบดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารที่ดีที่สุด
สำหรับรุ่น ไอ 350 สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 508 กก. (ทำได้ดีกว่า ดอดจ์ แรม และมิตซูบิชิ เรเดอร์ วี 8 ด้วยซ้ำ) แต่มีน้ำหนักลากจูงเพียง 1,816 กก. เท่านั้น
ลินคอล์น มาร์ค แอลที
ลดความหรู แต่ยังไปไม่ถึงดวงดาว
นับเป็นการพัฒนาอีกระดับหนึ่ง สำหรับรถกระบะจากค่ายนี้ หลังจากที่เคยสร้างผลงานออกมา ด้วยรุ่น แบลควูด (BLACKWOOD) สำหรับรุ่น มาร์ค แอลที (MARK LT) มีการปรับเปลี่ยน
การออกแบบที่เรียบง่าย
ด้วยพื้นฐานที่นำมาจาก ฟอร์ด เอฟ-150 ซูเพอร์ ครูว์ ภายนอกโดดเด่น และแสดงตัวตนอย่างชัดเจน ด้วยกระจังหน้า และสัญลักษณ์โครเมียม และมีออพชันเป็นล้อพิเศษสำหรับรุ่นนี้ แม้ว่า มาร์ค แอลที ไม่สามารถแสดงความเป็น ลินคอล์น ได้ชัดเจน แต่ก็มากเพียงพอที่จะดึงลูกค้าที่จะเลือก แคดิลแลค เอสกาเลด อีเอกซ์ที (CADILLAC ESCALADE EXT) ให้เปลี่ยนใจได้
มาร์ค แอลที มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย ชุดลายไม้สีดำตัดกับเบาะสีครีมได้อย่างลงตัว ส่วนอื่นๆ ภายในห้องโดยสาร แทบไม่ผิดเพี้ยนจาก ฟอร์ด เอฟ-150 เบาะนั่งเพิ่มความหรูหราสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยเบาะนั่งแบบกัปตันที่มีความเป็นส่วนตัว และปรับได้ตามต้องการ แผงหน้าปัดแตกต่างจาก ฟอร์ด ด้วยรูปแบบน้ำตก ไล่ลงมาเป็นเซนเตอร์ คอนโซล ที่ติดตั้งคันเกียร์อัตโนมัติเข้าไปด้วย
เมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งทั้งหมด ในส่วนของสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ช้าที่สุด แต่มีดีที่อัตราการเร่งแซง และมีการตอบสนองการขับบนฟรีเวย์ ที่นุ่มนวล และต่อเนื่องที่สุด
การตอบสนองการขับขี่ยังไม่สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอ โดยเฉพาะในเส้นทางวิบาก
ลินคอล์น มีการตั้งราคาค่อนข้างสูง ซึ่ง ฟอร์ด ตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องทำยอดขายให้ได้ 15,000 คัน หาก ฟอร์ด ต้องการทำยอดให้ได้ขนาดนั้น ควรปรับปรุงเพิ่มสมรรถนะให้มีความเร้าใจมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ทำให้เห็นข้อแตกต่างที่เหนือกว่า ในขณะที่ มาร์ค แอลที แตกต่างจากคู่แข่งคือ ตราของ แคดิลแลค และราคาที่สูงกว่าเท่านั้น
มิตซูบิชิ เรเดอร์
ตัวเล็ก แต่ลุยถึงใจ
ค่าย มิตซูบิชิ นำรุ่น เรเดอร์ (RAIDER) เข้ามาด้วยรูปแบบของรถนำเข้าเครื่องยนต์ วี 8 สูบ สำหรับเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการรถขนาดเล็ก แต่ไม่ต้องกังวลกับการซ่อมบำรุงในระยะยาว โดยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ ดอดจ์ ดาโกตา (DODGE DAKOTA) ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่หลายค่ายใช้ชิ้นส่วนร่วมกัน ภายในเครือเดียวกัน
แหล่งพละกำลังมาจากเครื่องยนต์ เบนซิน วี 8 สูบ 4.7 ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ นับว่าเป็นสเปคที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ผลการทดสอบไม่สวยหรูอย่างที่คิด !
เรเดอร์ จัดว่าเป็นรถกระบะที่เล็กที่สุดในกลุ่ม มีน้ำหนักบรรทุกน้อยที่สุดเพียง 440 กก. ซึ่งน้อยกว่า อีซูซุ ถึง 99.9 กก. และน้อยกว่า ฮอนดา ริดจ์ไลน์ (HONDA RIDGELINE) ถึง 227 กก.
การออกแบบรูปทรงภายนอก เน้นความดุดันด้วยการเสริมขอบบังโคลน เพื่อคลุมล้อขนาดใหญ่ รูปทรงที่โค้งมนลู่ลมแตกต่างไปจาก ดาโกตา รวมไปถึงด้านในที่มีการปรับเปลี่ยนแผงหน้าปัดที่ลาดเทมากกว่า เป็นการสร้างความรู้สึกว่า ห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้น
สำหรับ เรเดอร์ คันที่ทดสอบได้เลือกใช้เครื่องยนต์ ดูโร ครอสส์ (DURO CROSS) ซึ่งเป็นออพชันของรถรุ่นนี้ นอกจากนั้น ยังได้ปรับแต่งพิเศษ ทั้งการอัพเกรดระบบรองรับ เสริมขอบบังโคลน และสติคเกอร์ของรุ่นพิเศษ
การตอบสนองการขับขี่มีความเป็นกลาง ระบบรองรับปรับแต่งมาอย่างดีโดยเฉพาะการใช้ความเร็วสูงบนทางเรียบ ระบบเกียร์ให้การตอบสนองการขับขี่ดี ทั้งการชิฟท์อัพ และคิคดาวน์ หากมีการปรับอัตราทดของระบบเกียร์จะทำให้รถมีความยืดหยุ่นที่ดีกว่านี้ เกียร์ชุดนี้ยังมีอนาคต หากมีการปรับเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จะน่าสนใจมากขึ้น
ในบรรดารถที่ร่วมทดสอบครั้งนี้ เรเดอร์ จัดว่าเป็นรถที่มีการตอบสนองการขับขี่ดีที่สุด และจะโดดเด่นมากขึ้น ถ้ามีการพัฒนาระบบส่งกำลัง และแชสซีส์ น่าจะทำให้ได้รับความนิยมไม่น้อย
ฮอนดา ริดจ์ไลน์
แชมพ์ ออฟ เธอะ แชมพ์
ใครจะคิดว่า รถกระบะนอกรีตอย่าง ฮอนดา ริดจ์ไลน์ จะได้รับการโหวทอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้เป็น "รถกระบะยอดเยี่ยมแห่งปี 2006" แต่มันเป็นความจริง หลังจากผ่านบททดสอบสุดโหด ทั้งบนฟรีเวย์ สนามทดสอบ และเส้นทางวิบาก โดยรวมแล้วมันไม่ได้เป็นรถกระบะที่โดดเด่นมาก เพียงแต่มีส่วนประกอบที่สมบูรณ์แบบ จนทำให้มันกลายเป็นรถกระบะที่เพียบพร้อมในขณะนี้
ฮอนดา ริดจ์ไลน์ หยุดทุกสายตาด้วยบอดีทรงเหลี่ยม พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ไม่มีในคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น มูนรูฟ ระบบนำทางด้วยดาวเทียม และอื่นๆ
แล้วขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ จะสามารถประมือกับคู่แข่งอื่นๆ ได้อย่างไร โดยเฉพาะแชมพ์เก่าอย่าง ฟอร์ด เอฟ-150 ที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ฮอนดา มีคำตอบให้แล้วด้วยอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 8.5 วินาที พร้อมการตอบสนองการขับขี่ที่โดดเด่น ให้การควบคุมที่ความเร็วสูงดีกว่า
ระบบควบคุมทิศทางแม่นยำ การทำงานของระบบเบรครวดเร็ว บนสกิดแพดตอบสนองการควบคุมได้อยู่มือ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากรถเก๋ง แม้การขับขี่ในเมืองไม่จำเป็นต้องทิ้งระยะห่างเหมือนกับการขับรถกระบะทั่วไป
ที่เหนือความคาดหมาย คือความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้างหลักแบบโมโนคอค ที่พัฒนาให้มีความทนทานต่อแรงกดมากกว่ารถกระบะธรรมดาถึง 2.5 เท่า ระบบรองรับ อิสระทั้งด้านหน้า และหลัง ให้การทรงตัวที่เหนือกว่า
ความสะดวกสบายในการขับขี่ เหมือนนั่งในยานอวกาศ เพียงแต่มียางใหญ่ขนาด P245/65 R17 พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ภายในห้องโดยสารมีการเก็บเสียงที่ดีเทียบเท่ากับรถเก๋งชั้นดี
มีเพียงค่าความสิ้นเปลืองที่ยังต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น จากผลการทดสอบในเมือง/ฟรีเวย์ 6.8/9.4 กม./ลิตร
ริดจ์ไลน์ คือประสบการณ์ใหม่ของรถกระบะที่เปี่ยมประโยชน์ใช้สอย ทั้งงานหนัก และงานประจำวัน ด้วยประตูท้ายรถแบบ DROP DOWN และ SWING OUT ทั้งยังมีช่องเก็บของเปียกใต้พื้นกระบะ และอีกหลากหลายประโยชน์ใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถกระบะได้เป็นอย่างดี
ฮอนดา ริดจ์ไลน์ มีความแตกต่างจากกระบะธรรมดาหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างที่มาจากรถมีนีแวนของค่าย ระบบรองรับอิสระ พลังขับเคลื่อนระดับ 247 แรงม้า และแรงบิด 33.9 กก.-ม. ที่มาจากเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ ความจุ 3.5 ลิตร วางขวาง
จากการพัฒนาให้โครงสร้างแบบยูนิทบอดี สามารถทนแรงกดได้มากกว่ารถกระบะธรรมดาถึง 2.5 เท่า ทำให้ ริดจ์ไลน์ สามารถเอาชนะคู่แข่ง ผ่านการทดสอบสมรรถนะพร้อมบรรทุกเต็มพิกัดได้อย่างสบายๆ
ความหมายของคำว่า "รถกระบะ" ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากรถที่ใช้งานหนักสำหรับบรรทุกของ ถูกเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้บรรทุก หรือใช้งานเทียบเท่ารถเก๋งก็ได้ และนี่คือ รถที่สมควรครอบครองตำแหน่ง TRUCK OF THE YEAR ประจำปี 2006
เรื่องโดย : อกนิษฐ์ ทัพภะสุต
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ผลทดสอบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13664