พิเศษ 28 Apr 2024
Editไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจและทิศทางของการเมืองจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคาซื้อ/ขาย น้ำมันดิบในตลาดโลก ลงได้ โดยเฉพาะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นขาขึ้น
และยุคทองของการซื้อขายน้ำมัน หลังจากปรับเปลี่ยนมาใช้กลไกตลาดแบบราคาน้ำมันลอยตัว ทำให้ทุกคนต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในด้านน้ำมันสูงขึ้นเกือบเท่าตัว
ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจและทิศทางของการเมืองจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคาซื้อ/ขาย น้ำมันดิบในตลาดโลก ลงได้ โดยเฉพาะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นขาขึ้น
และยุคทองของการซื้อขายน้ำมัน หลังจากปรับเปลี่ยนมาใช้กลไกตลาดแบบราคาน้ำมันลอยตัว ทำให้ทุกคนต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในด้านน้ำมันสูงขึ้นเกือบเท่าตัว
นี่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการแสวงหา ค้นคว้าและวิจัย พลังงงานทดแทนรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน
ปัจจุบันนี้พลังงงานทดแทน ที่จำหน่ายกันอยู่ในตลาด เท่าที่ได้รับความนิยม มี 4 รูปแบบ คือ เบนซินแกสโซฮอล ทั้ง 91 และ 95, น้ำมันดีเซลแบบไบโอดีเซล, แกสธรรมชาติ CNG หรือ
บ้านเรานิยมเรียกกันว่า NGV, แกส LPG
พลังงานเหล่านี้เริ่มได้รับความนิยมจากผู้บริโภค แต่เชื่อว่าหลายคนต้องการรู้จักและเข้าใจมันมากขึ้น ก่อนตัดสินใจเลือกใช้
เราจึงได้รวบรวมที่มาที่ไปของพลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ มาแนะนำให้รู้จัก
แกสโซฮอล
ประเทศไทยได้ส่งเสริมการใช้น้ำมันแกสโซฮอลอย่างต่อเนื่อง มีโรงงานผลิตเอธานอล เพื่อนำมาผสมทำน้ำมันแกสโซฮอล จำหน่ายที่ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ ตอนนี้มีการผลิตเอธานอล
ออกสู่ตลาดวันละ 125,000 ล้านลิตร โดยนำมาผสมกับน้ำมันในสัดส่วน 10 % เพื่อเป็นน้ำมันแกสโซฮอล 1,250,000 ล้านลิตร
วันที่ 1 มกราคม 2550 รัฐบาลกำหนดให้มีการใช้น้ำมันแกสโซฮอล 95 ทั่วประเทศ และยกเลิกเบนซิน 95 ในปี 2548 ได้เร่งขยายสถานีให้บริการจาก 730 แห่ง ให้มีมากถึง 4,000 แห่ง
และส่งเสริมการใช้น้ำมันแกสโซฮอลให้ได้ถึง 4 ล้านลิตร หรือประมาณร้อยละ 50 ของน้ำมันเบนซิน 95 และปี 2551 จะส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแกสโซฮอล 91 และ 95 ทั่วประเทศ โดยมีการปรับราคาแกสโซฮอล 95 ให้มีส่วนต่างจากน้ำมันเบนซิน ออคเทน 95 อยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาท จากเดิมที่มีส่วนต่างเพียง 75 สตางค์/ลิตร สำหรับผู้ที่ต้องการเติมน้ำมันแกสโซฮอลจะ
เน้นรถยนต์ที่มีระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดเท่านั้น
แกสโซฮอล เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่ใช้ทดแทนน้ำมันเบนซิน มีส่วนผสมระหว่างเอธานอลหรือเอธิลแอลกอฮอล์ ที่มีความบริสุทธิ์ 99.5 % ผสมกับน้ำมันเบนซิน ในอัตราส่วน น้ำมัน 9 ส่วน เอธานอล 1 ส่วน ได้เป็นน้ำมันแกสโซฮอล ที่มีออคเทนเท่ากับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ใช้สาร MTBE (METHYL TERTIARY BUTYL ETHER) เป็นสารเพิ่มค่าออคเทน ซึ่งสาร MTBE มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดการปนเปื้อนกับน้ำใต้ดินและน้ำดื่ม ในหลายประเทศจึงมีนโยบายเลิกใช้สาร MTBE แล้ว
บริษัทผู้ผลิตยังให้ข้อมูลว่าแกสโซฮอล มีการเผาไหม้สมบูรณ์กว่าน้ำมันเบนซิน เนื่องจากมีส่วนผสมของเอธานอล ซึ่งมีโมเลกุลของออกซิเจนในเนื้อน้ำมันมาก ส่งผลให้เกิดมลพิษน้อยกว่า น้ำมันเบนซิน และพบว่าทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีขึ้น หรือเท่ากับการใช้น้ำมันเบนซินปกติ ปัจจุบันบริษัทผู้ค้าน้ำมันแกสโซฮอล ต่างออกมายืนยันว่าสามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซินที่มีระบบเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดได้ โดยรถยนต์รุ่นต่างๆ จะถูกชี้แจงผ่านทางเอกสารแนะนำ หรือสามารถโทรศัพท์เข้าไปสอบถามกับทางบริษัทได้ว่ารถรุ่นไหนสามารถเติมได้บ้าง
แต่แกสโซฮอล พลังงานที่จะบังคับใช้กันทั่วประเทศในปี 2550 ดูแล้วก็ยังเป็นพลังงานที่ขาดการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่ชัดแจ้งมากกว่านี้ ถึงแม้จะมีบริษัทผู้ค้าน้ำมันหลายราย
ต่างๆ ออกมายืนยันและรับประกันการซ่อม หากมีความเสียหายที่เกิดจากการเติมน้ำมันแกสโซฮอล แต่ต้องเป็นรถในรุ่นที่บริษัทผู้ค้าน้ำมันให้การรับรองเท่านั้น ส่วนรุ่นอื่นๆ คงต้องหาข้อมูลกับทางกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน หรือสอบถามกับทางบริษัทผู้ผลิตรถ และบริษัทผู้ค้าน้ำมัน
และหากบังคับใช้น้ำมันแกสโซฮอล ในปี 2550 แล้วบรรดาผู้ใช้รถเก่าซึ่งยังเป็นเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ รวมทั้งบรรดาสิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งหลาย จะสามารถเติบน้ำมันแกสโซฮอลได้หรือไม่ ใช้แล้วรถจะสึกหรอมากขึ้นหรือไม่ สึกหรอแค่ไหน ไม่มีใครออกมายืนยัน
แม้ภาครัฐจะส่งสัญญาณให้เห็นแล้ว แต่เมื่อยังไม่ใกล้ตัว ปัญหาต่างๆ ยังไม่เกิด ผู้ใช้รถหลายๆ รายพยายามเลือกเติมน้ำมันเบนซิน 95 และแกสโซฮอลสลับกันไป เพราะข้อมูลที่ออกมายังไม่ชัดเจน แม้กระทั่งการเติมน้ำมันแกสโซฮอลในราคาที่ถูกกว่า ลิตรละ 1.50 บาท ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เมื่อเติมน้ำมันในจำนวนลิตรเท่ากันกับเติมน้ำมันเบนซิน 95 จะวิ่งได้ระยะทางเท่ากันหรือไม่ ถ้าเติมแกสโซฮอลแล้วได้ระยะทางที่สั้นกว่า ก็คงจะไม่คุ้มค่าแน่ๆ นอกจากนี้ ระยะยาวจะมีผลกับการสึกหรอหรือไม่ เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ยังไม่เตรียมผลิตรถยนต์ที่ใช้กับน้ำมันเบนซินแกสโซฮอลมาโดยเฉพาะ
ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ และไบโอดีเซล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทยอาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมันในภาวะราคาน้ำมันแพง จึงทรงดำริให้โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ร่วมดำเนิน
การวิจัยกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานของรัฐ และเอกชน ในเรื่องพลังงานทดแทน ปัจจุบันทรงจดสิทธิบัตรการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์
ผสมกับน้ำมันดีเซล เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยแล้ว
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สนองพระราชดำริด้วยการร่วมมือกับโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ทำการวิจัยพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ จนสามารถใช้กับ
รถยนต์ดีเซลของโครงการส่วนพระองค์ ฯ ได้โดยไม่ประสบกับปัญหาแต่อย่างใด รวมทั้งได้เปิดจำหน่ายดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ให้แก่ประชาชนที่สนใจด้วย
ปัจจุบัน ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ จำหน่ายโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ผสมกับน้ำมันดีเซล ในสัดส่วนน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ไม่เกิน
ร้อยละ10 โดยปริมาตร สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลได้ มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับน้ำมันดีเซล ตามข้อกำหนดของกระทรวงพาณิชย์
ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ที่ ปตท. ออกจำหน่ายขณะนี้ มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับน้ำมันดีเซลสำหรับใช้กับเครื่องยนต์หมุนเร็ว ไม่มีความแตกต่างกันในเชิงคุณสมบัติของน้ำมัน ตามประกาศ
กระทรวงพาณิชย์ฉบับปัจจุบัน สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว กล่าวคือ คุณสมบัติที่สำคัญ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ ค่าซีเทน ไม่ต่ำกว่า 47 ของน้ำมันดีเซลจะบ่งชี้ถึงคุณภาพในการต้านทานการนอค หรือความสามารถของน้ำมันดีเซลที่จะเผาไหม้โดยปราศจากการนอคในเครื่องยนต์ ค่าความหนืดที่ 40 ในช่วง 1.8-4.1 CST. ซึ่งเหมาะสมต่อการใช้งาน
ค่าความร้อนจากการเผาไหม้ กากถ่าน ไม่สูงกว่าร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนัก ค่าของกากถ่าน จะบ่งชี้ถึงการสะสมของกากถ่านในเครื่องยนต์มากน้อยเพียงใด หากมีมากเครื่องยนต์จะสกปรก อาจมีการอุดตันในส่วนต่างๆ ทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่ราบเรียบ เครื่องยนต์จะเดินไม่สม่ำเสมอ
คุณสมบัติในการหล่อลื่น ทดสอบโดยวิธี HFRR จะเกิดการสึกกร่อนไม่เกิน 460 ไมโครเมตร ปริมาณธาตุกำมะถัน ไม่สูงกว่าร้อยละ 0.05 โดยน้ำหนัก เนื่องจากเมื่อมีการเผาไหม้ น้ำมัน
ก็จะก่อให้เกิดมลภาวะของกำมะถันต่อสภาพของงานที่ใช้และต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงนี้ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ จะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับน้ำมันดีเซล ตามข้อกำหนดของกระทรวงพาณิชย์ทุกประการ รถยนต์สามารถเติมดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ ผสมกับน้ำมันที่เหลือในถังได้เลย โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันในถังหมด และผู้ใช้รถไม่ต้องปรับแต่งเครื่องยนต์แต่อย่างใด เพราะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเครื่องยนต์
สามารถช่วยลดปริมาณมลพิษจากท่อไอเสีย โดยสามารถลดปริมาณควันดำลงได้อย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิงสะอาด มีปริมาณกำมะถันน้อยมาก เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซล
เมื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงในเมืองใหญ่และพื้นที่ที่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมได้
ผู้ที่ใช้ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ เติมในรถยนต์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับแต่งเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังมีผลดีกับเศรษฐกิจของประเทศ คือ ช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศในการลด
การนำเข้าน้ำมันดีเซล สร้างความพึงพอใจด้านราคาให้กับเกษตรกร รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์ม การช่วยลดมลพิษทางอากาศส่งผลดีต่อสุขภาพ
โดยรวมของประชาชน
ปัจจุบัน ปตท. มีสถานีบริการน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลปาล์ม 4 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาสุขาภิบาล 3 สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาสวัสดิการสำนัก
พระราชวัง สนามเสือป่า สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขากรมช่างอากาศ สะพานแดง สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สวัสดิการ ร. 1 รอ. (ถ. วิภาวดีรังสิต) โดยกำหนดราคาจำหน่าย
ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล ประมาณ 50 สตางค์/ลิตร
นอกจากนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ยังให้การสนับสนุนโครงการพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด โดยร่วมทดลองผลิตและ
จำหน่ายไบโอดีเซล (B2 ในระยะแรก และ B5 ในปัจจุบัน) ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ถ. มหิดล จ. เชียงใหม่ เมื่อกลางปี 2547
ในระยะแรก จำหน่ายให้แก่รถยนต์รับจ้างสองแถวที่เข้าร่วมโครงการ 1,300 คัน (ในราคาที่ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 50 สตางค์/ลิตร) ต่อมาได้ขยายการจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไป
และเปิดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่งที่ อ. สันกำแพง
นอกจากนี้ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการ "กรุงเทพ ฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล" ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ในการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสูตร B5 โดยระยะแรกจะเปิดจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพ ฯ 4 แห่ง ที่สาขาประชาชื่น เรวดี บางบัวทอง และวัดกำแพง ทั้งนี้เพื่อให้ชาวกรุงเทพ ฯ มีโอกาสใช้น้ำมันซึ่งมีราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 50 สตางค์/ลิตร เป็นการช่วยลดรายจ่ายของผู้ใช้น้ำมันในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง และยังเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศในเมืองหลวงด้วย
ไบโอดีเซล (BIODIESEL) คือน้ำมันเชื้อเพลิง หรือน้ำมันสัตว์ รวมทั้งน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหาร มาทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแอลกอฮอล์ เรียกอีกอย่างว่า สารเอสเตอร์ (METHYL ESTER) มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมาก และในกระบวนการผลิตยังได้ กลีเซอรอล เป็นผลพลอยได้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมและเครื่องสำอางอีกด้วย
คุณค่าของไบโอดีเซลต่อการใช้งาน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มการหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ได้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ของ
เครื่องยนต์ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ และลดการปล่อยแกสเรือนกระจก (GREEN HOUSE EFFECT) เพราะผลิตจากพืช การผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว ช่วยลดการนำไป
ประกอบอาหารซ้ำ หรือนำไปประกอบอาหารสัตว์ เพราะน้ำมันพืชใช้แล้วมีสารก่อมะเร็งและก่อมลพิษทางน้ำ ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร เพราะผลิตจากพืชเกษตร ลดการนำเข้าน้ำมัน
ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งทดแทนการนำเข้าสารหล่อลื่นจากต่างประเทศ
ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และไบโอดีเซล จึงเป็นพลังงานทดแทนของน้ำมันดีเซล ที่สามารถเลือกเติมได้ตามต้องการ แต่คงต้องมองไปที่ความเหมาะสมกับรถแต่ละรุ่นด้วย อย่างเครื่องยนต์ดีเซลสมัยใหม่ ที่มีระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรล ที่มีการฉีดจ่ายน้ำมันแบบแรงดันสูง หัวฉีดเล็กและฉีดเป็นฝอยละเอียด ก็ควรที่จะสอบถามจากบริษัทผู้ผลิตน้ำมันก่อนเลือกเติม
เพื่อความปลอดภัยและการรับประกันจากบริษัทรถยนต์ ส่วนเครื่องยนต์ทั่วไป ที่ใช้ในรถยนต์ หรือในอุตสาหกรรมด้านการเกษตรหรือโรงงาน ก็สามารถเลือกใช้น้ำมันปาล์มดีเซล และไบโอดีเซล ได้ในราคาที่ถูกกว่า 50 สตางค์
แกสธรรมชาติ (CNG)
ประเทศไทยได้สำรวจแหล่งแกสธรรมชาติในอ่าวไทยและนำขึ้นมาใช้ตั้งแต่ปี พศ. 2524 เริ่มแรกใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้า และในโรงงานอุตสาหกรรม ทดแทนการใช้ถ่านหินและน้ำมันเตา ที่มีราคาสูงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่ามหาศาล ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
การนำแกสธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการพึ่งพาพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศของเราเองอย่างเป็นรูปธรรม และเนื่องด้วยแกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
ที่สะอาด คุณภาพดีและราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ทำให้ปริมาณการใช้แกสธรรมชาติของไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตแกสจึงได้เสาะแสวงหาแหล่งแกส
ใหม่ๆ เพื่อนำแกสจากแหล่งที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้พยายามนำแกสธรรมชาติมาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด นอกเหนือจากการนำไป
เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และยานพาหนะ
แกสธรรมชาติเผาไหม้ได้ดีกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และไม่มีกากของเชื้อเพลิงหลังจากการเผาไหม้ แกสธรรมชาติไม่มีฝุ่นออกไซด์ของกำมะถันและไนโตรเจน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อน และปล่อยความร้อนสู่บรรยากาศโลกน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น นอกจากนี้ยังขนส่งโดยทางท่อ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมมากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ซึ่งขนส่งทางรถยนต์หรือทางเรือ แกสธรรมชาติมีประสิทธิภาพในการสันดาปดีกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น เช่น ถ่านหินหรือน้ำมัน ไม่ทำลายหรือกัดกร่อนอุปกรณ์ และวัสดุในกระบวนการผลิต
ปัจจุบันแกสธรรมชาติจากอ่าวไทย ยังคงมีราคาอยู่ในระดับเดียวกับ 20 ปีที่แล้วเมื่อประเทศไทยเริ่มผลิตแกสครั้งแรก ราคาแกสของไทยขณะนี้ ประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐ/ต่อค่าความร้อน 1 ล้านบีทียู ในขณะที่ในสหรัฐอเมริการาคา 4 ดอลลาร์สหรัฐ และในญี่ปุ่น 5-6 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันนี้แกสธรรมชาติผลิตขึ้นมาใช้ในตลาดทั่วโลก จึงทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ราคาแกสต่ำตามหลักเศรษฐศาสตร์
อุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทยคาดว่าปริมาณแกสที่รองรับความต้องการของตลาดในเมืองไทยในช่วง พศ. 2543 มีอยู่อย่างน้อย 45-58 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
15 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้แกสไปทั้งสิ้นประมาณ 4.2 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หากไม่ค้นพบแหล่งแกสใหม่เพิ่มเลย ด้วยอัตราการใช้ในปัจจุบัน ประเทศไทยจะยังมีแกสธรรมชาติเหลือ
เพียงพอใช้อีกถึง 60-70 ปี ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมยังค้นพบแหล่งแกสใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จากสถิติของ บริษัท ยูโนแคล ฯ ผู้สำรวจและผลิตแกสรายใหญ่ที่สุดของไทย พบว่าใน
5 ปีที่ผ่านมา บริษัท ฯ สามารถค้นพบแหล่งแกสใหม่ๆ ได้มากกว่าการผลิตขึ้นมาใช้ถึง 1.5 เท่า
CNG มีส่วนประกอบของแกสหลายชนิด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า กาชมีเทน อีเทน โพรเทน และบิวเทน แกสพวกนี้เป็นสารไฮโดรคาร์บอนทั้งสิ้น เมื่อจะเอามาใช้ต้องแยกแกสออกจาก
กันและกันเสียก่อน จึงจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ แกสมีเทน ใช้ผลิตไฟฟ้า และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งใช้กับรถยนต์ แกสอีเทน+โพรเทน ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานปิโตรเคมี
แกสโพรเพน+บิวเทน ใช้เป็นแกสหุงต้ม และใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานและรถยนต์
นอกจากนี้ยังเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ แต่มีปัญหาที่หาซื้อยากกว่าถ่านหิน ขนใส่เรือมาไม่สะดวกและราคาแพงมาก จึงต้องวางท่อแกสมายังโรงไฟฟ้า ซึ่งปกติแล้วต้องมีส่วนที่ผ่านป่า ชุมชน และสวนไร่นาของชาวบ้านจึงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอยู่พอสมควร
แกสธรรมชาติ เป็นแกสเชื้อเพลิงที่มีแกสมีเทนเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินและดีเซล แกสธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NATURAL GAS FOR VEHICLE หรือ NGV) โดยทั่วไปเรียกว่า แกส NGV (เอนจีวี) คือ แกสธรรมชาติที่ถูกอัดจนมีความดันสูง (มากกว่า 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว, PSI) ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า COMPRESSED NATURAL GAS (CNG) หรือ แกสธรรมชาติอัด ดังนั้นแกส NGV และแกส CNG คือตัวเดียวกันนั่นเอง
แกส NGV มีส่วนดีตรงที่สัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และมีคุณสมบัติเป็นแกส ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้แกสธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำ หรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน
จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ปัจจุบันแกส NGV เริ่มได้รับความนิยมและความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะราคาน้ำมันที่ยังพุ่งสูงขึ้น และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงมาเท่าเดิมอีกแล้ว นอกจากนี้ NGV ยังเป็นแกสที่ระเหย
ไปในบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว ทำให้โอกาสติดไฟแทบไม่มีให้เห็น ความปลอดภัยค่อนข้างสูง
แต่ NGV ก็ยังมีข้อด้อยกว่าพลังงานอื่นๆ อีกมาก ถึงแม้จะเป็นพลังงานที่ได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากภาครัฐ แต่ยังไม่สามารถสร้างกระแสความนิยมได้มาก ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจาก
จำนวนปั๊มที่ให้บริการมีน้อยมาก ถึงแม้ว่าโครงการติดตั้งปั๊ม NGV จะกำลังเร่งดำเนินการที่แล้วเสร็จครอบคลุมทั่วกรุงเทพ ฯ ปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัด แต่ก็ยังค่อนข้างช้า
นอกจากนี้แรงผลักดันด้านประชาสัมพันธ์ยังมีน้อย การให้ข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจน โดยเฉพาะในวงการรถยนต์ยังไม่เพียงพอ แถมไม่มีการทดสอบเปรียบเทียบกับพลังงานอื่นๆ ให้เห็น
หรือการแนะนำจากผู้รู้ให้เข้าใจ แบบละเอียดถี่ถ้วน อีกทั้งราคาค่าติดตั้งไม่ว่าจะเป็นระบบหม้อต้ม ประมาณราคาชุดละ 30,000-40,000 บาท หรือหัวฉีด อยู่ที่ 45,000-60,000 บาท
เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้อุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด
ผู้ที่ต้องการติดตั้งบางรายจึงรอตัดสินใจอยู่ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ราคาค่าติดตั้งจะถูกลงมาอีกหรือไม่ ไม่มีแม้ข้อมูลข่าวสารว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีผู้ให้บริการติดตั้งในราคาที่ถูกลง
กว่าเดิม แต่ถ้าสามารถผลิตอุปกรณ์ติดตั้งได้เองในประเทศ อาทิ ถัง หรือหม้อต้ม ท่อ ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ราคาติดตั้งต้องถูกไปกว่าเดิมแน่นอน
นอกจากราคาแล้ว ข้อด้อยอีกอย่างของ NGV คือ ต้องเติมแกสบ่อย แม้ถังจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ดังนั้นเมื่อต้องเติมแกสบ่อย แต่จำนวนสถานีบริการยังเติบโตช้ามาก
จึงไม่สามารถรองรับและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่ต้องการติดตั้งแกสในระบบ NGV ได้เหมือนกับ LPG
LPG
แกสหุงต้ม มีชื่อทางราชการว่า "แกสปิโตรเลียมเหลว" (LIQUIDFIELD PETROLEUM GAS) หรือ LPG ที่นิยมเรียกกันว่า แกสหุงต้ม มีส่วนประกอบหลักคือ โพรเพน (PROPANE) บิวเทน (BUTANE) ปัจจุบันแกสหุงต้มใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน ยานพาหนะ และในอุตสาหกรรม มากขึ้น
แกสหุงต้มได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ (โรงกลั่น) คิดเป็นสัดส่วน โพรเพน 20 % บิวเทน 80 % และได้จากกระบวนการการแยกแกสธรรมชาติ ที่โรงแยกแกส ฯ ปตท. ในสัดส่วน
โพรเพน 60 % บิวเทน 40 %
มีคุณสมบัติของแกสหุงต้ม คือ จุดเดือดต่ำประมาณ -17 องศาเซลเซียส โพรเพน -42.07 องศาเซลเซียส บิวเทน -11.73 องศาเซลเซียส เมื่อออกสู่บรรยากาศภายนอกจะระเหยกลายเป็นไอทันที เมื่อเกิดแกสรั่วไหลจะเห็นเป็นหมอก หรือควันสีขาวและเกล็ดน้ำแข็ง จากความชื้นรอบๆ บริเวณได้รับความเย็นจัดขณะแกสระเหย
เป็นแกสที่ไวไฟและติดไฟง่าย สัดส่วนแกสต่ออากาศ ประมาณ 2-9 % โดยปริมาตร (โพรเพน 2.4-9.5 % บิวเทน 1.8-8.4 %) ติดไฟได้เมื่อมีประกายไฟหรือแหล่งความร้อนที่อุณหภูมิ
ประมาณ 500 องศาเซลเซียส น้ำมันเบนซินที่อุณหภูมิ 280-430 องศาเซลเซียส และน้ำมันดีเซล 250-340 องศาเซลเซียส น้ำหนักเบากว่าน้ำและหนักกว่าอากาศ เบากว่าน้ำ
ประมาณ 0.5 เท่า หนักกว่าอากาศประมาณ 1.5-2 เท่า อุณหภูมิเปลวไฟประมาณ 1,900-2,000 องศาเซลเซียส ใช้กับงานที่ต้องการความร้อนสูง และสะอาด สามารถหลอมโลหะได้
แกส LPG เหลว 1.6 ลิตร ขยายตัวเป็นไอได้ประมาณ 250 ลิตร ดังนั้นการเติมควรบรรจุไม่เกิน 85 % ของภาชนะบรรจุ เพื่อให้มีที่ว่างในการขยายตัวของแกส ค่าออคเทนประมาณ 100-115 สูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงสามารถใช้กับรถยนต์ได้สบาย ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น แต่เติมสารประกอบซัลเฟอร์ (เอธิลเมอร์แคพเทน) เพื่อให้ผู้ใช้ รู้หรือทราบเมื่อเกิดแกสรั่ว
ดังนั้นแกส LPG จึงเป็นทางเลือกที่นิยมมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมัน เพราะมีค่าออคเทนสูงพอที่จะสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเบนซิน ที่ใช้อยู่
และกำลังเป็นพลังงานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าอนาคตทิศทางราคาแกสหุงต้มจะเพิ่มสูงขึ้นอีกหรือไม่ ตัวอย่างที่ดีคือ บรรดารถแทกซี ทั้งรุ่นเก่า/ใหม่
ที่ติดตั้งไปแล้วมากมาย จนใช้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับบรรดารถบ้าน ที่สามารถสอบถามปัญหา ข้อดี/ข้อเสีย ของรถใช้แกส LPG ได้
หากเทียบระหว่างแกส LPG และ NGV แน่นอนที่สุดว่า LPG ต้องได้รับความนิยมมากกว่า เพราะราคาค่าติดตั้งที่ถูกกว่าเท่าตัว ประมาณ 12,000-35,000 บาท มีให้เลือกทั้งแบบหม้อต้ม และหัวฉีด เช่นเดียวกับอกส NGV และยังมีสถานีบริการในการเติมแกสมากกว่า ครอบคลุมทั่วกรุงเทพ ฯ ปริมณฑล รวมทั้ง ต่างจังหวัด และในอนาคตน่าจะเปิดให้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสามารถดำเนินการให้บริการโดยเอกชนได้เลย นอกจากนี้ในการเติมแต่ละครั้งในถังขนาดเดียวกัน LPG ยังสามารถใช้งานได้นานกว่า จึงไม่จำเป็นต้องแวะเติมบ่อย
แต่สถานีบริการกลับมีอยู่มากมาย
แกส LPG มีข้อเสียอยู่ที่ ติดไฟง่าย หนักกว่าอากาศ ดังนั้นถ้าเกิดแกสรั่วไหลจึงค่อนข้างอันตรายกว่าแกส NGV ที่มีน้ำหนักเบา ติดไฟยาก นอกจากนี้ยังผ่านการแต่งกลิ่นมาแล้ว
หากอุปกรณ์คุณภาพไม่ดี หรือติดตั้งไม่ดี จะทำให้รถมีกลิ่นเหม็น เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ
ขอขอบคุณกระทรวงพลังงาน และบริษัทน้ำมัน เอื้อเฟื้อข้อมูล
เรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13567
BMW
ผู้ผลิตยานยนต์
บมจ.ยนตรกิจบาวาเรีย หรือ BMW เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมนี บริษัทก่อตั้งในปีค.ศ. 1916 เมื่อแรกก่อตั้งเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
Gallery (10)
Promotions
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
รุ่นรถเพิ่มเติม
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
VDO
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.