พิเศษ
เปิดบันทึกเดินทาง ตะลุยแดนมังกร (ตอน 1)
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดคาราวานทดสอบรถพิคอัพ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก ขึ้น
โดยใช้เส้นทางเชียงราย-หลวงน้ำทา-สิบสองพันนา-คุณหมิง-ต้าลี-ลีเจียง ระยะทางทั้งสิ้นกว่า
1,700 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถและเครื่องยนต์ ในเส้นทางหลากหลาย
วันแรก
เตรียมความพร้อม
วันแรกเป็นวันที่ทุกคนต้องหอบสัมภาระมากมายเพื่อบินลัดฟ้ามุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงราย พอถึงแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน กลางคืนร่วมฟังบรรยายสรุปเส้นทางและแนะนำทีมงานที่จะพาเราเดินทางตลอดทริพนี้
ทุกคนยังมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจนั้นคงอดคิดถึงการเดินทางในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ เพราะเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับการเดินทางไปจีน โดยใช้รถยนต์ ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
ทุกวันนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่ กับการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งสะดวกรวดเร็วมาก แต่ทางกลับกันเราไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างล่างนั้นได้เลย ฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ทำให้ทุกคน
ตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะมาถึงในวันรุ่งขึ้น...
วันที่สอง
ลุยเมืองลาว แสนหฤโหด
ทุกคนเตรียมพร้อมกันอย่างคึกคักตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะออกเดินทางจากโรงแรม วอเตอร์ฟอร์ท คันทรีคลับ" อ. เวียงชัย จ. เชียงราย ในเวลา 6.30 น. หลังจากถ่ายรูปหมู่ รถทุกคันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ อ. เชียงของ ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ไปถึงสุดแดนสยาม ประตูที่ใช้ไปมาหาสู่กันระหว่างพี่น้องชาวไทยและลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นคั่น ก่อนลงแพข้ามไปลาว สายฝนโปรยปรายลงมาให้เราได้ชุ่มฉ่ำ ไม่ถึง 15 นาที แพของเราเทียบชิดแผ่นดินลาว คาราวาน โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก เตรียมผ่านด่านที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว คณะของเราได้รับการต้อนรับจากการท่องเที่ยวเมืองลาว โดยมี "แม่หญิง เมืองลาว" เป็นผู้มอบดอกไม้ให้แก่ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ สองวิทยากรผู้คร่ำหวอดในด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของประเทศจีน ซึ่งจะร่วมเดินทางและให้ข้อมูลตลอดทริพของเราในครั้งนี้ผ่านทางคลื่นวิทยุ
หลังจากผ่านพิธีการที่ด่านเรียบร้อย รถทุกคันต้องเข้ารับการพ่นยาฆ่าเชื้อภายนอก ก่อนเดินทางต่อ จากนี้ไปทุกคนต้องปรับตัวกับการขับรถชิดขวา ซึ่งตรงข้ามกับเมืองไทยและท่องจำไว้ในใจว่า "ชิดขวา-แซงซ้าย" ถนนหลวงหมายเลข 3 มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เหมืองภูคา ถนนสายนี้เป็นถนนสายหลักของประเทศลาว ที่จะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางพิเศษ คุนหมิง-กรุงเทพ ฯ จากนี้ไประยะทางในลาวเกือบ 300 กิโลเมตร จะต้องผ่านเส้นทางฝุ่นทุรกันดาร ถนนเป็นลูกรังอัดแน่น หลุมบ่อ และทางโคลนสลับกันไปตลอดทาง ในเส้นทางนี้ผู้ขับขี่จะรู้ถึงระบบรองรับที่เซทใหม่แบบ ทอพพแลทฟอร์ม ด้านหน้าแบบคอยล์สปริงและด้านหลังเป็นแหนบ พร้อมชอคอับหน้า/หลัง ที่เซทมาให้มีสมรรถนะและความนุ่มนวลที่ดีขึ้น สามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ
ในเส้นทางนี้รถในขบวนจะใช้ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 60-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกือบบ่ายโมง จึงถึงเหมืองภูคา แวะพักทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆ ที่ห่อติดมาจากเมืองไทย ปิดท้ายด้วย
กาแฟกึ่งสำเร็จรูปร้อนๆ
เราออกเดินทางต่อเพื่อจะให้ถึงที่หมาย ด่านบ่อเต็น ชายแดนจีน ให้ทันเวลา 17.00 น. เพราะจากนี้ไปไม่รู้ว่าจะเจอกับอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่เราผ่านอุปสรรคในช่วงเช้าและ
เสียเวลาไปบ้างแล้ว หลังจากเราเดินทางไปได้ไม่นานนักสภาพเส้นทางในช่วงนี้ค่อนข้างเดินทางได้ลำบาก เพราะมีหลุมและบ่อโคลนเยอะ รถหลายคันในขบวนเริ่มติดหล่ม แต่ก็ยังพากันออกมาได้ในที่สุด ขบวนลัดเลาะแนวเขาที่ค่อนข้างอันตราย มีรถบรรทุกใหญ่สวนมาเป็นระยะ ต้องใช้ความระมัดระวังมาก ยังดีที่อาศัยเสียงวิทยุรับ/ส่ง จากรถเบอร์ 01 ที่เป็นผู้นำทางคอยแจ้งให้ทราบ ไม่นานนักเราต้องมาเจอกับอุปสรรค รถทุกคันในขบวนหยุดทั้งหมด เพราะมีรถบรรทุกใหญ่ติดหล่มขวางถนน แถมหม้อน้ำยังรั่วอีก
เส้นทางที่แคบและเป็นโคลนลึก ตลอดระยะทางประมาณ 300 เมตร เป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับขบวนคาราวานของเรา พวกเราค่อยๆ ลงไปเคลียร์ทางเพื่อจะให้ขบวนผ่านไปได้ แต่เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงทุกคนก็หนักใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่า จะนำรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีอยู่ในขบวน 13 คัน ออกเดินทางไปก่อน ส่วนรถขับเคลื่อนสองล้อที่เหลืออีก 12 คัน ต้องรอเคลียร์ทางให้เรียบร้อย รถเบอร์ 01 ซึ่งเป็นรถนำขบวนและมีวินช์ลุยผ่านไปได้อย่างสบายด้วยยางดอกมัด เทอร์เรน และไปกลับรถมาเพื่อจะวินช์รถในขบวนซึ่งถึงแม้จะเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังเครื่องยนต์ดี รถคันแรกๆ ที่จะต้องลุยโคลนออกไปยังทำได้ลำบาก หลังจากวินช์ช่วยไปได้ รถที่ผ่านไปคันแรกรีบนำไกด์และผู้นำทางเดินทางไปก่อนบางส่วน เพื่อติดต่อทางด้านเอกสารระหว่างด่านชายแดนลาวและจีน
ที่เหลือพากันช่วยรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ถูกจัดใหม่ไว้ต้นขบวนผ่านไปก่อน ไม่นานนักทางเริ่มเปิดทำให้รถในขบวนผ่านไปได้เร็วขึ้น ทีมงานและสตาฟฟ์ขอความช่วยเหลือจากรถแทรคเตอร์เกลี่ยถนน ซึ่งกว่ารถจะเดินทางมาถึงใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างนี้พวกเราต่างก็ต้องช่วยกันเข็น/ดัน/ขย่ม รถขับเคลื่อนสองล้อที่เหลือให้ทยอยกันออกมาเพราะรถที่ตามมาข้างหลังเริ่มติดและต้องรอกันเป็นแถวยาว รองเท้าเสื้อผ้าของเราต่างเลอะไปด้วยโคลนจนจำสภาพและยี่ห้อที่ใส่ไม่ได้อีกแล้ว
ระหว่างนั้นเหลือบไปเห็นอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และอาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ อยู่ในรถพิคอัพขับเคลื่อนสองล้อ ก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจารย์จะคิดอย่างไรบ้างเมื่อเจอกับสภาพเส้นทางหฤโหดแบบนี้ เวลาผ่านไปถึง 17.00 น. รถแทรคเตอร์มาถึงพร้อมเกลี่ยเส้นทางให้รถทุกคันออกไปได้ เราต่างก็มุ่งหน้าต่อ แต่ที่ลืมไปอย่างคือเวลา 17.00 น. ในนาฬิกาข้อมือที่เห็นอยู่ตอนนั้น ที่ลาวก็ 18.00 น. แล้ว...!
ไม่นานนักความมืดก็เข้ามาเยือน ตอนนี้ขบวนของเราเป็นขบวนรั้งท้าย หลังจากที่กลุ่มรถขับเคลื่อนสี่ล้อล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เสียงสัญญาณวิทยุยังสามารถติดต่อกับกลุ่ม 1 ได้เป็นบางช่วง
เรารีบเดินทางกันต่อ ทำให้ลืมล้างไฟหน้าก่อนเดินทาง พอกลางคืน เส้นทางที่คดเคี้ยวบนเหวลึก ประกอบกับแสงไฟที่ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาจากโคมไฟที่ปกคลุมไปด้วยโคลน
สภาพทางที่เป็นหลุมบ่อ ทำให้รถที่ใช้ความเร็วสูงกระแทกไปมาและควบคุมยาก จนทำให้รถของอาจารย์ทั้งสอง กระโจนลงหลุมขนาดใหญ่และลอยออกไปติดอยู่บนเนินข้างทาง
ต้องเสียเวลาวินช์รถกันออกมาอีกครั้ง จากนั้นเราก็ทำความเร็วมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงน้ำทา ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ร่วมเดินทางกลุ่มหนึ่งที่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อรออยู่ เมื่อรถทุกคันมาถึง เราจึงรีบมุ่งหน้าเดินทางต่อไปจนถึงด่านบ่อเต็น จุดเชื่อมต่อแผ่นดินลาวและจีน และเดินทางต่อผ่านจุดฟรีแลนด์ 2 กิโลเมตร จนถึงด่านบ่อเต็น ในเวลา 4 ทุ่ม ด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรย เรี่ยวแรงที่หายไป กอปรอาหารมื้อเย็นที่ยังไม่ตกถึงท้อง ทุกคนจึงอยู่ในสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาหารสำเร็จรูปทุกแบบถูกนำมาประทังหิว และทุกคนกำลังลุ้นว่าจะสามารถผ่านด่านไปได้หรือไม่เพราะด่านปิดแล้ว
อากาศเย็นสร้างบรรยากาศให้เราทุกคนต้องลุ้นถึงการเจรจาในครั้งนี้ เราใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จีนจึงเปิดด่านตรวจเอกสารและรถแล้วให้ขบวนคาราวานผ่านไปได้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมีขึ้นอีกครั้งก่อนพวกเราจะเดินทางต่อไปยังเมืองลา ในระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางราดยางแต่แคบบนเขาสูงชัน รถทุกคันเริ่มใช้ความเร็วมากขึ้นเพราะทุกคนอิดโรยและหิว 1 ชั่วโมงผ่านไปเราเดินทางถึง "โรงแรมจินเสียว" อาหารมื้อแรกบนแผ่นดินจีน หมดไปจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อนในเวลา 02.00 น.
วันที่สาม
ฝ่าพันโค้ง บนเส้นทางอารยธรรม
ตื่นเช้ากับอากาศเย็นสบาย ก่อนนำรถไปตรวจสภาพที่ กรมขนส่งเมืองลา ห่างจากโรงแรมประมาณ 3 กิโลเมตร การตรวจสภาพจะเน้นที่ระบบรองรับ ระบบเบรค สัญญาณแตร และไฟหน้าไฟท้าย เป็นหลัก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจของจีนได้ให้คำแนะนำกับผู้ขับถึงการใช้เส้นทางในจีน ก่อนขบวนคาราวานจะกลับไปเติมน้ำมันเต็มถัง ซึ่งเป็นถังแรกในจีนและถังที่สองของทริพเดินทางอันยาวไกลครั้งนี้ และเตรียมความพร้อมที่โรงแรม เพื่อเริ่มออกเดินทางต่อ จากนี้ไปนอกจากคำว่า "ขับชิดขวา-แซงซ้าย" ต้องเพิ่ม "สัญญาณแตร" เข้าไปด้วย เพราะการใช้สัญญาณแตรที่นี่เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องคอยระวังรถจักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ และรถการเกษตร
จากนี้ไปเราต้องเดินทางต่อไปอีกในระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ด้วยการนำของ "หมาต๋า" หรือตำรวจในประเทศจีน ซึ่งเป็นตำรวจทางหลวง ที่มาอำนวยความสะดวกให้กับขบวนคาราวาน และปิดท้ายด้วย โตโยตา ปราโด จากทีมงานไกด์ผู้นำทางในจีน วันที่สองเริ่มมีการสลับกันขับบ้าง เพื่อไม่ให้ร่างกายอิดโรยเกินไป บนทางราดยางลื่นและแคบมีฝนตกลงมาอยู่ตลอดเวลา พื้นผิวถนนลื่น สองข้างทางเป็นป่าทึบและเหวลึกสลับกัน ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติและความงดงามของป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ อากาศที่เย็นสบาย ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าที่ผ่านมาได้ เราแวะทานอาหารเที่ยงกันที่เมืองสิบสองพันนา ชิมรสชาติอาหารและรูปแบบของยูนาน ที่มีความคล้ายกับอาหารทางเหนือของไทย จากนั้นจึงออกเดินทางในรูปแบบท่องเที่ยวต่อไปยัง "ก่านลานป้า" หรือหมู่บ้านไทลื้อ ที่มีสภาพคล้ายเมืองโบราณของบ้านเรา พร้อมแวะนมัสการวัดเก่าแก่ของที่นั่น
ช่วงบ่ายจึงเดินทางเลียบน้ำโขง ลัดเลาะไปตามไหล่เขา วนไปมาตามแนวก่อสร้างทางขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังเร่งสร้าง เราได้รับคำยืนยันว่าเป็นการสร้างทางด่วนเส้นคุนหมิง-กรุงเทพ ฯ เราใช้เส้นทางคู่ขนานเส้นทางด่วนที่กำลังก่อสร้างเส้นนี้เดินทางสู่เมืองซือเหมา สภาพเส้นทางเป็นทางฝุ่นและขรุขระ แต่ยังดีกว่าถนนในลาว ใกล้ถึงเมืองซือเหมา ขบวนคาราวานได้แวะทักทายกับคาราวานจากประเทศมาเลเซีย ที่วิ่งผ่านมา พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกัน จากนั้นรถทุกคันกดคันเร่งเพื่อรีบทำเวลาเข้าที่พักที่โรงแรมเกาเด็ง ก่อนเข้าเมืองสภาพเส้นทางเป็นสะพานทอดยาวสวยงามเพราะเป็นเมืองใหม่ สภาพตัวเมืองเป็นตึกสร้างใหม่สวยงามขนาดย่อมๆ สองฟากฝั่ง ผู้คนอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมและอพาร์ทเมนท์เป็นส่วนใหญ่ หลังจากถึงโรงแรม ก็ปิดท้ายด้วยอาหารมื้อค่ำ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซึ่งบางคนก็เลือกพักผ่อน บางคนก็เลือกเดินชมเมืองท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ แหล่งชอพพิงไม่เยอะ อยู่กันอย่างเงียบสงบไม่คึกคึกมาก เท่าที่เห็นคงจะมีเพียงสาวพื้นเมืองที่คอยต้อนรับกันอยู่รอบๆ โรงแรม
วันที่สี่
สู่ความเจริญ อันยิ่งใหญ่
เราออกเดินทางตั้งแต่เช้า จากเมืองซือเหมา ประมาณ 60 กิโลเมตร พวกเราได้แวะเติมน้ำมันเต็มถังเป็นครั้งที่ 2 ที่ปั๊มซีโนแพค ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันแห่งชาติจีน ตรงปั๊มนี้มีสายยางไว้บริการล้างรถที่หัวจ่ายด้วย เมื่อรถทุกคันเข้าเติมน้ำมันทางปั๊มจะบริการล้างรถให้ฟรี แต่เราก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องลงมือเอง
หลังจากรถใหม่เอี่ยมแล้ว เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ด่านเก็บเงิน ต. เม่อเหอ จุดเริ่มต้นทางด่วนพิเศษเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพ ฯ ที่สร้างเสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว คาราวานใช้ความเร็วในขบวนเพิ่มขึ้นเป็น 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง บางครั้งขบวนเริ่มห่างก็ต้องกดคันเร่งทำความเร็วถึง 140-150 กิโลเมตร/ชั่วโมงบ้าง แต่เมื่อกดคันแร่งแล้วแม้เครื่องยนต์ยังตอบสนองดีมากก็ตาม แต่ก็ได้ยินเสียงเครื่องเขกหรือนอค ออกมาด้วย ซึ่งจากการที่สอบถามไปก็น่าจะมาจากคุณภาพและสูตรของน้ำมันแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ขบวนคาราวานเสียเวลา เราแวะพักถ่ายรูปที่สะพานหงเหอ สะพานข้ามแม่น้ำที่สูงที่สุดของเส้นทางสายนี้ ซึ่งสูงถึง 160 เมตร และยาว 801 เมตร สะพานนี้มาจากชื่อบุหรี่ที่ขายดีที่สุดในประเทศจีน และเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ผู้ได้รับสัมปทานในการสร้างทางด่วนช่วงนี้ เราออกเดินทางต่อไปยังโรงแรมสโตนฟอเรสต์ เพื่อทานอาหารกลางวันอีกครั้ง
หลังจากอิ่มท้อง ล้อหมุนอีกครั้งมุ่งหน้าตามทางด่วนเลาะชานเมืองคุนหมิง สู่ป่าหิน (STONE FOREST) แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของเมืองคุนหมิง ซึ่งเกิดขึ้นเอง
ตามธรรมชาติ มีหน้าตาแตกต่างกันไปหลากหลาย
หลังจากเที่ยวชมและถ่ายรูปกันเต็มที่ ในช่วงค่ำเราเดินทางกลับเข้าเมืองคุนหมิง ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร เข้าพักที่โรงแรมจินเจียง และขึ้นรถบัสโดยสารเพื่อไปทานอาหารค่ำ
ชมการแสดงวัฒนธรรม "ระบำพื้นเมือง" อันงดงามของจีน พร้อมรับโล่ที่ระลึก สำหรับการเดินทางอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ และช่วงอาหารค่ำ มีคุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เดินทางมาสมทบพร้อมกับอาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย วิทยากรผู้คร่ำหวอดกับการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเราจะเดินทางต่อในเส้นทางจากคุนหมิง-ตาลี-ลีเจียง กับคาราวาน โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก (ตอน 2)
เรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มกราคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/12915