ทดสอบ(formula) 26 Aug 2017
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี/โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด
โลกยานยนต์กำลังเข้าสู่ยุคของขุมพลังที่แตกต่างจากเดิม เครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด ถูกท้าทายทั้งในแง่ของสมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิง โจทย์สำคัญ คือ การลบจุดด้อยของเครื่องยนต์สันดาปเดิมๆ ระบบยุคใหม่จะมีดีแค่ไหน มาพิสูจน์กันกับรถหรู 2 สไตล์ ทั้งซีดาน เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี และ โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด
EXTERIOR ภายนอก
หันมาที่รถยนต์ไฮบริดในรูปแบบซีดานกันก่อนกับ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี เส้นสายโดยรวมเน้นความหรูหรา ดูจากภายนอกไม่มีอะไร บ่งบอกความเป็นรถยนต์ขุมพลัง “รักษ์โลก” นอกจากโลโกของรุ่น อี 350 อี ด้านท้ายของตัวถัง ซึ่งเป็นแนวทางการทำตลาดของค่ายดาว 3 แฉกในบ้านเราที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดเป็นทางเลือกหลัก แน่นอนว่าเครื่องยนต์สันดาปเดิมถูกแทนที่โดยสิ้นเชิง (เช่นเดียวกับ ซี-คลาสส์/เอส-คลาสส์ และ จีแอลอี) รุ่นที่เรานำมาทดสอบ คือ รุ่นย่อย เอเอมจี ไดนามิค เสริมมาดสปอร์ทด้วยชุดตกแต่งรอบคัน ทั้งกันชนหน้า สเกิร์ทข้าง และล้อแมกลายเฉพาะตัวของ เอเอมจี ขนาด 19 นิ้ว ไฟหน้าแบบ แอลอีดี ปรับการส่องสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง และสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ ถึงอย่างนั้น อี 350 อี มีรูปทรงที่เน้นความหรูหรา เส้นสายเน้นความยาวของตัวถังดูภูมิฐานตั้งแต่แรกเห็นจากภายนอก
ถัดมา คือ เอสยูวี หรู จากค่ายรถสปอร์ท โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด ตัวลุยสายพันธุ์สปอร์ท เครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด ตัวถังนี้เป็นทายาทลำดับที่ 2 ของ เอสยูวี รุ่นใหญ่ประจำค่าย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เส้นสายโดยรวมถูกพัฒนาให้มีความลงตัวมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด และดูปราดเปรียว ผสมความบึกบึน ไฟหน้าทรงเรียวโค้ง พร้อมฝากระ-โปรงหน้าทรงโค้ง ดูใกล้เคียงกับรถสปอร์ทร่วมค่ายอย่าง 911 คาร์เรรา หรือ 718 เคย์แมน ล้อแมกขนาด 20 นิ้ว ทางผู้ผลิตระบุว่าตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ 0.36 ถึงว่าค่อนข้างน่าพอใจสำหรับ เอสยูวี ขนาดใหญ่ เรารู้สึกว่า เส้นสายสามารถเพิ่มเติมความโฉบเฉี่ยวได้มากกว่านี้อีก แต่ในแง่ของผู้ที่ชื่นชอบเส้นสายตามแบบฉบับ โพร์เช คงถูกใจ เอสยูวี รุ่นนี้ได้ไม่ยาก
INTERIOR ภายใน
จุดเด่นของ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี คือ ห้องโดยสารที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว รูปแบบของคอนโซลหน้ามีความทันสมัย อิงรูปแบบจากรุ่นพี่ตัวธงอย่าง เอส-คลาสส์ นั่นคือ จอแสดงผลแบบดิจิทอลขนาดใหญ่ แสดงผลระบบการทำงานต่างๆ รวมถึงการส่งกำลังของเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ขับเคลื่อน และรวมถึงสถานะการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่แบทเตอรี นอกจากนี้แผงมาตรวัดดิจิทอล ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลาย อุปกรณ์ที่ว่ามาถูกติดตั้งภายใต้รูปทรงของคอนโซลหน้าที่โค้งมน ไหลลื่น ชุดไฟส่องสว่างในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนสีได้ ไฟส่องสว่างทั่วถึง แม้เป็นรุ่นประกอบในประเทศ แต่การประกอบก็มีความแน่นหนา สวยงามอย่างลงตัว วัสดุดูหรูหราสมกับมาดหรูของตัวรถ นอกจากนี้ความกว้างขวางของเบาะแต่ละตำแหน่ง คือ สิ่งที่ อี-คลาสส์ ทำได้ดีเสมอมา แม้จะติดตั้งชุดแบทเตอรีสำหรับระบบพลัก-อิน ไฮบริด อี 350 อี มีความกว้างขวางที่น่าพอใจเหมือนเดิม
ทางด้าน โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด มีความแตกต่างกับซีดานพลัก-อิน ไฮบริด ของ เมร์เซเดส-เบนซ์ การออกแบบของ เอสยูวี หรูรุ่นนี้อิงมาดสปอร์ทจากรถยนต์ร่วมค่ายในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดแบบแอนาลอกจำนวน 5 วงซ้อนกัน ตรงกลางเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ราวกับรถสปอร์ทพันธุ์แท้ ส่วนตัวเลขแบบดิจิทอล มองเห็นค่อนข้างยากเล็กน้อย เบาะนั่งมีรูปทรงโอบกระชับสรีระได้ดี รวมถึงเบาะด้านหลัง ให้ความรู้สึกคล้ายรถสปอร์ท พนักพิงมีโลโกของ โพร์เช บ่งบอกเอกลักษณ์ของค่ายรถแห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น นั่งสบายทั้งเบาะคู่หน้า และเบาะด้านหลัง มีพื้นที่ช่วงศีรษะ และช่วงขาเหลือเฟือ ไม่อึดอัด แม้การออกแบบโดยรวมจะเน้นความสปอร์ทก็ตาม การประกอบ และการใช้วัสดุต่างๆ รอบห้องโดยสาร ดูดีสมฐานะยี่ห้อรถหรู สมรรถนะสูงอย่าง โพร์เช
ENGINE เครื่องยนต์
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี ใช้เครื่องยนต์ระบบพลัก-อิน ไฮบริด มีสเปคโดยรวมดังนี้ คือ เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ส่งกำลังร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 88 แรงม้า คิดเป็นกำลังทั้งระบบที่ 286 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ระบบของเครื่องยนต์โดยรวมใกล้เคียงกับซีดานร่วมค่ายอย่าง ซี 350 อี แต่มอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังสูงสุด 86 แรงม้า และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
คู่แข่งซีดานหรูระดับเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด ยังไม่ทำตลาดในตอนนี้ เราจึงลองหันมาเปรียบเทียบสมรรถนะของ อี-คลาสส์ เครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นก่อนหน้านี้ กับ อี 300 บลูเทค ไฮบริด เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.1 ลิตร พ่วงระบบไฮบริด กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 27 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อี 350 อี ทำเวลาได้ 7.6 วินาที ส่วน อี 300 บลูเทค ไฮบริด คือ 8.7 วินาที นับว่าแตกต่างกันพอสมควร มาดูกันต่อที่ช่วงความเร็วสูง ระยะ 0-1,000 ม. อี 350 อี ทำได้ที่ 27.8 วินาที (ความเร็ว 195.7 กม./ชม.) ทางด้าน อี 300 บลูเทค ไฮบริด ตามกันมาที่ 29.9 วินาที (ความเร็ว 177.8 กม./ชม.) ในแง่อัตราเร่งขณะออกตัว ทั้งตีนต้น และตีนปลาย เครื่องยนต์แบบพลัก-อิน ไฮบริด มีอัตราเร่งที่ดีกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไฮบริด ของรุ่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวล สมมาดรถหรู แต่หากกดคันเร่งลงไป อี 350 อี สามารถตอบสนองได้อย่างฉับไวเช่นกัน พละกำลังถูกปลดปล่อยออกมาทันทีตั้งแต่ออกตัว
อัตราเร่งยืดหยุ่น ช่วง 60-100 และ 80-120 กม./ชม. อี 350 อี ทำเวลาที่ 3.7 และ 4.5 วินาที ขณะที่ อี 300 บลูเทค ไฮบริด ทำได้ที่ 4.5 และ 5.6 วินาที นับว่าเป็นอัตรายืดหยุ่นที่ทำได้ดีทั้งคู่ แต่ขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด ยุคใหม่ยังมีอัตราเร่งที่ฉับไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยขณะที่เราทดสอบสมรรถนะ ระดับแบทเตอรีของ อี 350 อี อยู่ในสถานะพร้อมใช้งานเสริมกำลังการขับเคลื่อนได้เต็มที่
หันมาดูสมรรถนะของ โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด สเปคโดยรวมดังนี้ คือ เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 333 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 95 แรงม้า คิดเป็นกำลังทั้งระบบที่ 416 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะของ โพร์เช
คู่เปรียบเทียบสมรรถนะ เรานำเอสยูวี สไตล์สปอร์ท เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ สมรรถนะสูง นั่นคือ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 คูเป เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 367 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. กาเยนน์ เอส อี- ไฮบริด ทำเวลาได้ที่ 6.4 วินาที ขณะที่ จีแอลอี 450 คูเป คือ 6.5 วินาที นับว่าสูสีกันมาก แต่ เอสยูวี ของ โพร์เช มีน้ำหนักที่มากกว่าจากการติดตั้งระบบพลัก-อิน ไฮบริด แต่อัตราเร่งตีนต้นยังทำได้ดีไม่แพ้เครื่องยนต์เบนซินสมรรถนะสูง ในส่วนของอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด มีตัวเลขที่ 26.4 วินาที (ที่ความเร็ว 197.7 กม./ชม.) ส่วน จีแอลอี 450 คูเป คือ 26.7 วินาที (ที่ความเร็ว 200.2 กม./ชม.) แสดงให้เห็นว่าอัตราเร่งของระบบพลัก-อิน ไฮบริด มีความฉับไวมาก สามารถชนะเครื่องยนต์เบนซินไปได้ ไม่เกี่ยงเรื่องน้ำหนักตัว และระบบไฮบริดที่ซับซ้อน
ทางด้านอัตราเร่งยืดหยุ่นที่ 60-100 และ 80-120 กม./ชม. กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด ทำเวลาที่ 3.1 และ 5.3 วินาที ขณะที่ จีแอลอี 450 คูเป มีตัวเลขที่ 3.3 และ 4.1 วินาที แม้โดยรวมจะยังสูสีกัน แต่ช่วงความเร็วสูง เอสยูวี มาดสปอร์ทของ โพร์เช สามารถยืดระยะห่างได้เล็กน้อย
ในส่วนของการประหยัดเชื้อเพลิง แม้เราไม่ได้วัดผลออกมาเป็นตัวเลขชัดเจน แต่รถทั้ง 2 รุ่นต่างก็ใช้ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ยุคปัจจุบัน สามารถเสริมการขับเคลื่อนได้อย่างลงตัว สามารถชาร์จไฟฟ้าได้จากครัวเรือนด้วยการเสียบปลั๊ก หากชาร์จเต็มแล้ว สามารถแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางพอสมควร (ตามแต่สภาพแวดล้อม และลักษณะการขับขี่) การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนทำได้อย่างเรียบเนียน และนุ่มนวล แม้ตัวถังของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น จะมีขนาดใหญ่ก็ตาม
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบรองรับของ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี เป็นแบบถุงลม สามารถปรับเปลี่ยนการตอบสนองได้หลากหลาย โดยในโหมดปกติ จะเน้นความนุ่มนวล แต่ไม่มีอาการโคลงแต่อย่างใดในขณะที่เข้าโค้ง มีความหนึบแน่นที่พอเหมาะ ส่วนโหมดสปอร์ท ระบบรองรับจะหนึบขึ้นเล็กน้อย พวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้น พร้อมคันเร่งที่ตอบสนองไวขึ้น เน้นอารมณ์ขับสนุก แต่ยังคงบุคลิกซีดานหรู มาดเฉียบเอาไว้
อีกหนึ่งจุดเด่นของ อี 350 อี คือ ระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ที่ทันสมัย หนึ่งในนั้น คือ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ โดยการเข้าจอดเป็นหน้าที่ของตัวรถล้วนๆ ต่างจากระบบเดิมๆ ที่ผู้ขับยังต้องเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง และมีโหมดช่วยจอดที่หลากหลายทั้งการจอดแบบคู่ขนาน จอดแบบเข้าซอง แยกซ้าย/ขวา หรือจะแบบถอยจอด หรือเอาหน้าเข้าก็ย่อมได้
โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด ปรับแต่งระบบรองรับเน้นความหนึบ แต่เผื่อเหลือให้ความนุ่มนวลบางส่วน สำหรับการลุยบนเส้นทางขรุขระ ปรับแต่งความสูงได้ตามใจชอบ นอกเหนือจากปรับแต่งโหมดการขับเคลื่อน ในช่วงความเร็วสูงมีความมั่นคง จุดเด่นของ เอสยูวี รุ่นนี้ คือ ระยะเบรคที่สั้น แม้มีตัวถังขนาดใหญ่ และระบบเบรคแบบชาร์จกระแสไฟฟ้าในตัว โดยมีระยะเบรคที่ความเร็ว 100 กม./ชม. คือ 39.2 ม. (แรงหน่วงขณะเบรค 1.00 จี)
แม้รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นจะมีความแตกต่างกันคนละแนวทาง แต่กลับมีจุดร่วมที่เหมือนกัน นั่นคือ ขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด ที่ตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในแง่ของสมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิง โดยในปัจจุบันระบบไฮบริดดังกล่าวมีขนาดที่พอเหมาะ ไม่กินเนื้อที่ห้องโดยสาร สามารถออกแบบได้หรูหรา หรือเพิ่มอุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ได้ไม่จำกัด จนไม่น่าแปลกใจว่า นี่คือขุมพลังขับเคลื่อนหลักให้กับยานยนต์ในปัจจุบันอย่างแท้จริง เพราะมีคุณสมบัติที่ “ครบเครื่อง” อย่างที่เครื่องยนต์สันดาปไม่เคยทำได้มาก่อน