ทดสอบ(formula) 1 Jun 2015
Mazda 2 Sports XD High Plus/MINI Cooper 5 Door SD
“ตัวทอพ” ใครที่ได้ยินคำนี้ต้องคิดไว้ก่อนว่า เครื่องยนต์ที่วางอยู่จะต้องมีขนาดใหญ่ สมรรถนะแรง และเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ “เบนซิน” เท่านั้น ! แต่ครั้งนี้แตกต่งจากที่เคย เพราะเราจับเอาแฮทช์แบค 2 รุ่น ต่างระดับ ที่วางเครื่องยนต์ “ดีเซล” เป็นขุมกำลังเหมือนกัน ซึ่งเดิมเครื่องยนต์ชนิดนี้มักจะเน้นแค่ความประหยัด แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า “ตัวทอพ” แล้ว สมรรถนะในแง่ของความแรงก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจประนีประนอมได้ ลองมาดูกันว่า ดีเซล ทั้ง 2 คันนี้จะพลิกโฉมหน้า “ฮอตแฮทช์” เดิมๆ ได้อย่างไร ?
EXTERIOR ภายนอก
มาซดา 2 ตัวถังแฮทช์แบครุ่นล่าสุด ยังคงรูปแบบจากรุ่นก่อนหน้า นั่นคือเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว มาดสปอร์ท แต่เพิ่มรูปแบบ "KODO DESIGN" เห็นได้จากสันเหลี่ยมข้างที่พลิ้วไหว ตั้งแต่บริเวณเหนือซุ้มล้อหน้า ต่อเนื่องถึงด้านท้าย กระจังหน้าทรง 5 เหลี่ยมขนาดใหญ่ ช่วยให้ช่วงหน้าดูใหญ่โตขึ้นเล็กน้อย ระยะโอเวอร์แฮงสั้น โดยรวมแล้วเรื่องรูปทรงที่เร้าใจ มาซดา เป็นค่ายหนึ่งที่ออกแบบได้อย่างโดดเด่นในจุดนี้
สิ่งที่ยังคงเดิม นั่นคือ ขนาดตัวที่กะทัดรัด ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย ต่างจากค่ายอื่นที่นิยมเพิ่มขนาดรถรุ่นใหม่ๆ ของตนเองอย่างชัดเจน หากเทียบกันแล้ว มาซดา รุ่นล่าสุด (ตัวถังแฮทช์แบค) มีความยาว 4,060 มม. และระยะฐานล้อ 2,570 มม. รุ่นก่อนหน้าอยู่ที่ 3,913 มม. และ 2,490 มม. ตามลำดับ ส่วนคู่แข่งอย่าง ฮอนดา แจซซ์ คือ 3,955 และ 2,530 มม. ส่วน ฟอร์ด ฟิเอสตา อีโคบูสต์ คือ 3,969 และ 2,489 มม. เมื่อพิจารณาจะเห็นว่า มาซดา 2 กลับมีความยาว และฐานล้อมากที่สุด แม้ภายนอกจะดูกะทัดรัดก็ตาม
หันมาดูตัวแรง "ไฮโซ" อย่าง มีนี คูเพอร์ เอสดี บ้าง รูปทรงด้านหน้ายังคงคุ้นเคยกันดี ตามแบบฉบับรถเรทโร สัญชาติอังกฤษ นั่นคือ ไฟหน้าทรงรี ตัวถังเรียบแบบโค้งมน ในรุ่นล่าสุดเพิ่มไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบแอลอีดีที่ขอบ ไฟท้ายทรง 4 เหลี่ยมโค้ง เสริมด้วยไฟแถบ แต่มีขนาดใหญ่ขึ้น กินเนื้อที่ประตูบานท้ายเล็กน้อย ความแตกต่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก คือ รูปแบบตัวถัง แฮทช์แบค 5 ประตู จากเดิมที่แต่ไหนแต่ไรมีแต่แบบ 3 ประตู เป็นทางเลือก (รุ่นที่มี 5 ประตู คือ ครอสส์โอเวอร์ คันทรีแมน)
แน่นอนว่าผลลัพธ์ คือ ความยาวตัวถังโดยรวมที่มากขึ้น มิติตัวถัง ความยาว 4,005 มม. และระยะฐานล้อ 2,567 มม. เทียบกับรุ่น 3 ประตู คือ 3,821 มม. และ 2,495 มม. ถือว่าแตกต่างกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ประตูบานหลังมีขนาดไม่ใหญ่นัก แถมผู้ที่ชื่นชอบความกะทัดรัด คล่องตัว ของรุ่น 3 ประตู อาจไม่พึงใจรุ่น 5 ประตูก็เป็นได้
INTERIOR ภายใน
การตกแต่งของ มาซดา 2 ดูดี เกินราคาคาตัว รุ่นทอพหุ้มหนัง เย็บขอบด้ายแดง ราวรถสปอร์ท ส่วนผู้ขับเน้นความปสอร์ท ล้ำสมัย
เมื่อเข้ามานั่งในห้องโดยสาร เราพบว่า มาซดา มีการออกแบบห้องโดยสารที่ยอดเยี่ยมมาก วัสดุที่ใช้เป็นหนังเย็บ (ไม่ใช่พลาสติคขึ้นรูปแบบที่นิยมทำกัน) เดินด้ายสีแดง จอแสดงผลทรงแบน ดูคล้ายกับรถหรูยุคปัจจุบันอย่าง บีเอมดับเบิลยู หรือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ปุ่มเครื่องปรับอากาศทรงกลม 3 วง ดูคุ้นตา แถมยังมีแป้นหมุนสำหรับใช้งานระบบความบันเทิง ดูคล้ายกับรถหรู ส่วนที่เร้าใจที่สุดยังคงเป็นผู้ขับ กับมาตรวัดทรงล้ำยุค ตรงกลางเป็นมาตรวัดรอบทรงกลมขนาดใหญ่ ราวกับรถสปอร์ทพันธุ์แท้ที่เน้นแสดงผลรอบของเครื่องยนต์ ส่วนความเร็วจะแสดงผลแบบดิจิทอล หากเป็นรุ่นทอพ เอกซ์ดี สปอร์ท พลัส จะแสดงผ่านจอภาพ HUD สะท้อนผ่านแผ่นพลาสติคใสเหนือมาตรวัด ข้อดี คือ ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนมากเกินควร แต่การสะท้อนแสงข้อมูลทางกระจกหน้าจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกว่า
สำหรับเบาะด้านหลัง เราพบว่าพื้นที่โดยสารมากกว่ารุ่นก่อนหน้าพอสมควร แต่ความกว้างขวางยังเป็นรอง แจซซ์ นับว่าน่าแปลกใจเพราะขนาดฐานล้อของ มาซดา 2 มากกว่าใครอื่น เป็นไปได้ว่าพื้นที่บางส่วนเป็นส่วนของห้องเครื่องส่วนหน้าแทน ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารถูกลดทอนลงไปอย่างน่าเสียดาย แต่สำหรับผู้ที่คุ้นชินสไตล์สปอร์ท เน้นความกะทัดรัดของ มาซดา อาจรับได้กับพื้นที่ห้องโดยสารของ มาซดา 2 รุ่นล่าสุด
คอนโซลหน้าเหมือนกับรุ่น 3 ประตู คงเอกลักษณ์ของ มีนี ทุกประการ แผงหน้าปัดย้ายไปไว้หน้าผู้ขับ ตรงกลางแสดงผลระบบความบันเทิง เนวิเกเตอร์
มาถึงตัวแรง และแพงอย่าง มีนี คูเพอร์ เอสดี ภายในยังคงรูปแบบเหมือนรุ่นก่อนหน้า คอนโซลหน้าทรงกลมขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดอีกต่อไปแล้ว บริเวณดังกล่าวเป็นที่ติดตั้งหน้าจอแสดงผลระบบความบันเทิง และเนวิเกเตอร์ รวมถึงระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เนท (ผ่านมือถือ) บรรดามาตรวัดต่างๆ ถูกย้ายมาติดตั้งด้านหน้าคนขับทั้งหมด มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงสไตล์ของ มีนี ตำแหน่งของผู้ขับอยู่ในระดับต่ำ เบาะโอบกระชับสรีระได้ดี ความรู้สึกขณะนั่งจะออกไปทางแน่นหนา ขอบกระจกข้างอยู่ในระดับสูง กระจกหน้าทรงตั้ง อาจทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าลดลงบ้าง แต่เป็นผลดีกับทัศนวิสัยบริเวณเสา เอ ที่มีความปลอดโปร่งกว่า กระจกหน้า และเสา เอ ที่ทำมุมลาดเท แน่นอนว่าเรื่องความเก๋ไก๋ มีนี ไม่น้อยหน้าใคร ในรุ่นล่าสุดมีระบบแสงในห้องโดยสารที่เปลี่ยนสลับไป/มาได้ ให้อารมณ์ราวกับนั่งใน "ไนท์คลับ" บรรดาปุ่มใช้งานเป็นแบบกระดกคล้ายปุ่มบนเครื่องบิน ที่แปลกเล็กน้อย คือ การเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อนจะใช้วิธีหมุนขอบฐานเกียร์ แสดงผลบนจอภาพชัดเจน เหมือนของ บีเอมดับเบิลยู
สิ่งที่ได้เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นแฮทช์แบค 5 ประตู นั่นคือ พื้นที่ผู้โดยสารด้านหลัง ที่มีความกว้างขวางกว่ารุ่น 3 ประตู อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังได้เรื่องความสะดวกสบายของการขึ้น/ลงที่ดีกว่ารุ่น 3 ประตูมาก แต่จากที่เราระบุในหัวข้อก่อนหน้าว่า ประตูบานหลังมีขนาดค่อนข้างเล็ก ระยะห่างระหว่างขอบประตู และเบาะนั่งค่อนข้างน้อย การสอดขาเพื่อขึ้น/ลงของผู้โดยสารด้านหลังจึงไม่สะดวกสบายเหมือนคู่แข่งแฮทช์แบคอย่าง เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ นอกจากนี้พื้นที่วางขาน้อยกว่าคู่แข่งด้วย แต่หากเทียบกับรุ่น 3 ประตูแล้ว มีนี รุ่นนี้สามารถรองรับการโดยสารเป็นระยะทางไกลได้ดีกว่า อีกทั้งพื้นที่เก็บสัมภาระที่มากขึ้นตามขนาดตัว เหมาะกับการใช้งานอเนกประสงค์มากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นจุดด้อยเดิมของรุ่น 3 ประตู
ENGINE เครื่องยนต์
อัตราสิ้นเปลืองที่ความเร็ว 60 กม./ชม. 40.1 กม./ลิตร ประหยัดสุดยอดในช่วงความเร็วต่ำ เทียบเท่ารถไฮบริด นอกจากนี้ยังมีระบบ ไอสตอพ และ ไออีลูป เสริมความประหยัดอีกแรง สมรรถนะน่าพอใจ
สิ่งเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการของ มาซดา 2 รุ่นล่าสุด คือ การหันมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ เป็นรายแรกในเซกเมนท์นี้ กับขุมกำลังรหัส สกายแอคทีฟ-ดี ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเยอะกว่าใครตามสไตล์เครื่องยนต์ดีเซล ที่ 25.5 กก.-ม. เรามาเทียบกับคู่แข่งกลุ่มเดียวกันอย่าง ฮอนดา แจซซ์ (เบนซิน 1.5 ลิตร 117 แรงม้า) และ ฟอร์ด ฟิเอสตา อีโคบูสต์ (เบนซิน เทอร์โบ 1.0 ลิตร 125 แรงม้า)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. มาซดา 2 อยู่ที่ 11.3 วินาที แจซซ์ คือ 11.2 วินาที และ ฟิเอสตา 10.5 วินาที ในช่วงตีนต้นแสดงให้เห็นว่า เครื่องยนต์ดีเซลมีสมรรถนะที่ไม่น้อยหน้าเหล่าเบนซินที่มีแรงม้ามากกว่า แม้คันเร่งช่วงแรกของ มาซดา 2 จะตอบสนองน้อยไปหน่อย ต้องกดลึกปานกลางเพื่อกระตุ้นการทำงานของเทอร์โบ
อัตราเร่ง 0-1,000 ม. มาซดา 2 ทำได้ที่ 32.9 วินาที (ที่ความเร็ว 157.5 กม./ชม.) แจซซ์ 32.7 วินาที (ที่ความเร็ว 161.7 กม./ชม.) ฟิเอสตา 32.3 วินาที (ที่ความเร็ว 162.1 กม./ชม.) แม้จะอัดกันยาวถึงช่วงความเร็วปลาย มาซดา ก็ยังมีอัตราเร่งที่ตามคู่แข่งมาแบบ "หายใจรดต้นคอ" แสดงให้เห็นว่าจุดอ่อนเดิมๆ นั่นคือ อาการแผ่วปลายของเครื่องยนต์ดีเซลถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
อัตราเร่งยืดหยุ่น 60-100 และ 80-120 กม./ชม. มาซดา 2 มีตัวเลขที่ 6.1 และ 8.2 วินาที แจซซ์ 6.3 และ 8.2 วินาที ส่วน ฟิเอสตา 5.7 และ 7.7 วินาที แม้ในการเร่งแซง แฮทช์แบคของ มาซดา มีสมรรถนะเทียบเคียงกับคู่แข่ง มีเพียง ฟิเอสตา ที่อาศัยแรงม้ามากกว่า และเกียร์แบบอัตโนมัติคลัทช์คู่ มีสมรรถนะที่ดีกว่าเล็กน้อย
มาถึงหัวข้อสำคัญ นั่นคือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย เริ่มที่ความเร็วตีนต้นก่อนช่วง 60 และ 80 กม./ชม. มาซดา 2 ทำได้ที่ 40.1 และ 35.2 กม./ลิตร !! นับว่าน่าเหลือเชื่อมาก ตัวเลขเกือบจะเทียบเท่าเหล่าเครื่องยนต์ไฮบริดอยู่แล้ว ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง แจซซ์ ที่ทำได้ 26.5 และ 21.9 กม./ลิตร ส่วน ฟิเอสตา คือ 25.2 และ 22.6 กม./ลิตร นอกจากนี้ทาง มาซดา 2 ยังมีระดับ ไอสตอพ (ISTOP) ที่จะดับเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อจอดนิ่ง และระบบไออีลูพ (IELOOP) ใช้แรงหน่วงจากการเบรค หรือถอนคันเร่ง มาชาร์จกระแสไฟฟ้า เรื่องความประหยัดจึงเป็น "อาวุธหนัก" ของ มาซดา 2 อย่างไม่ต้องสงสัย
ขยับความเร็วขึ้นมาที่ช่วง 100 และ 120 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองของ มาซดา 2 ทำได้ตามนี้ 22.1 และ 17.9 กม./ลิตร ส่วนคู่แข่ง แจซซ์ 17.1 และ 12.9 กม./ลิตร และ ฟิเอสตา 18.6 และ 14.5 กม./ลิตร แม้จะน่าเสียดายอยู่บ้างที่อัตราสิ้นเปลืองของ มาซดา 2 จะลดลงจากช่วงตีนต้นค่อนข้างมาก แต่นั่นก็ยังทำได้ดีกว่าคู่แข่งระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด และอย่าลืมว่าน้ำมันดีเซล มีราคาถูกกว่าน้ำมันชนิดอื่นอีกต่างหาก จะมีเทียบเคียงได้บ้างก็คือ แจซซ์ ที่เติม อี 85 ได้ แต่จำนวนสถานียังมีไม่แพร่หลายเท่าน้ำมันทั่วไป
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 8.7 วินาที แรงไม่น้อยหน้ารหัส เอส ของเครื่องยนต์เบนซิน ส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง แม้เป็นเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง อัตราสิ้นเปลืองทำได้ดีมาก เมื่อเทียบกับสมรรถนะ
ถัดมาก็ได้เวลาอย่างเครื่องยนต์ดีเซลแบบ "ไฮโซ" กันบ้าง มีนี คูเพอร์ เอสดี ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ แบบ "ทวินเพาเวอร์" ขนาด 2.0 ลิตร แต่มีเพียง 3 สูบเรียง กำลังสูงสุด 170 แรงม้า เห็นรหัส "เอส" ก็แปลว่า มีนี รุ่นนี้ คือ ตัวแรงในสายพันธุ์ เรานำมาเทียบกับตัวแรง เครื่องยนต์เบนซิน มาดสปอร์ทเต็มขั้นอย่าง มีนี คูเพอร์ เอส คูเป เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และอีกหนึ่งคู่ปรับสำคัญ นั่นคือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ 250 เอเอมจี สปอร์ท เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 211 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. มีนี คูเพอร์ เอสดี 8.7 วินาที มีนี คูเพอร์ เอส คูเป 8.1 วินาที และ เอ 250 คือ 8.7 วินาที แค่ช่วงตีนต้นก็สูสีกันเอาเรื่องแล้ว มาต่อกันที่ช่วงความเร็วปลาย 0-1,000 ม. มีนี คูเพอร์ เอสดี 29.7 วินาที (ที่ความเร็ว 179.2 กม./ชม.) มีนี คูเพอร์ เอส คูเป 29.1 วินาที (ที่ความเร็ว 181.4 กม./ชม.) และ เอ 250 คือ 29.6 วินาที (ที่ความเร็ว 181.0 วินาที) ในช่วงความเร็วปลาย เครื่องยนต์ดีเซลไม่น้อยหน้าเหล่าเบนซินทั้งหลายแม้แต่น้อย
อัตราเร่งยืดหยุ่นช่วง 60-100 และ 80-120 กม./ชม. มีนี คูเพอร์ เอสดี 4.0 และ 5.3 วินาที มีนี คูเพอร์ เอส คูเป 3.9 และ 4.9 วินาที และ เอ 250 คือ 4.0 และ 4.9 วินาที พิจารณาดูแล้วตัวเลขใกล้เคียงกันมาก ในแง่สมรรถนะแบบเร่งแซง เครื่องยนต์ดีเซลยังตอบสนองได้ดี ไม่แพ้เหล่าเครื่องยนต์ "ปั่นรอบสูง" อย่างเบนซินทั้งหลาย
แต่ละคันมีสมรรถนะแรงแบบหายห่วงสมความเป็น "ฮอทแฮทช์" มาดูกันว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเป็นอย่างไรบ้าง (มีนี คูเพอร์ เอส คูเป ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้) ที่ความเร็ว 60/80/100/120 กม./ชม. มีนี คูเพอร์ เอสดี ทำตัวเลขออกมาได้ที่ 32.2/28.1/24.0/18.0 กม./ลิตร และ เอ 250 คือ 21.3/20.5/17.1/13.4 กม./ลิตร เรียกได้ว่างานนี้ มีนี ตัวแรงขุมกำลังดีเซล เอาชนะได้แบบ "ขาดลอย" ในแง่ของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง นับว่าเหนือชั้นสำหรับรถที่มีสมรรถนะเทียบเคียงกับคู่แข่งได้
SUSPENSION ระบบรองรับ
แม้เครื่องยนต์ดีเซลจะถูกนำมาใช้ในรถยนต์นั่งสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์หรู ราคาแพง เทคโนโลยีอัดแน่น แต่ มาซดา 2 พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าภายใต้ราคาที่ "เอื้อมถึง" ประสิทธิภาพอันโดดเด่นของดีเซลยุคใหม่สามารถเข้ากันได้ดีกับรถยนต์ระดับ บี-เซกเมนท์ สมรรถนะนั้นไม่น้อยหน้า แต่สิ่งที่เหนือกว่า คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ "กินขาด" ทุกช่วงความเร็ว ผนวกกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ก็ครบครันสมเป็นรถยนต์สมัยใหม่ แม้ราคาค่าตัวจะสูงกว่าคู่แข่งระดับเดียวกัน แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อแลกกับประสิทธิภาพที่ครบครันรอบด้าน อยู่เคียงข้างการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของในระยะยาว
ทางด้าน มีนี คูเพอร์ เอสดี มาพร้อมกับรูปแบบตัวถังล่าสุด ในสไตล์ แฮทช์แบค 5 ประตู ได้ประโยชน์เรื่องความอเนกประสงค์ และความสะดวกสบายของการโดยสารมากขึ้น กับรหัส เอสดี ที่มีไว้สำหรับตัวแรงระดับ "ฮอทแฮทช์" ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ แม้จะมีเพียง 3 สูบ แต่อาศัยเทคโนโลยี "ทวินเพาเวอร์" จาก บีเอมดับเบิลยู เข้าเสริม ทำให้สมรรถนะไม่น้อยหน้า รหัส เอส เบนซิน ดั้งเดิม และจี้ติดเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ของคู่แข่ง แต่ที่ทิ้งขาดไม่เห็นฝุ่น คือ ความประหยัดเชื้อเพลิงที่ทำได้อย่างเหนือชั้น ทั้งแรงและประหยัดในหนึ่งเดียวเช่นนี้ ลบความเชื่อเดิมๆ ออกไปโดยสิ้นเชิง
ยอดเยี่ยมครบครันแบบนี้ นี่สิถึงจะเหมาะกับนิยามของคำว่า "ตัวทอพ" !!