เรื่องเด่น Quattroruote
ทดสอบ MERCEDES-BENZ EQA
ครอสส์โอเวอร์ไร้มลพิษ ถือเป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ GLA (จีแอลเอ) สู่การเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวร่วมกับเพื่อนร่วมค่ายพลังไฟฟ้าอื่นๆ รถคันนี้ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน และร่ำรวยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย สมรรถนะอาจไม่ใช่จุดเด่น แต่การประหยัดพลังงาน คือ สิ่งที่ทำให้รถคันนี้น่าสนใจมากๆ
รุ่น 250 PREMIUM
ราคา (ของรถทดสอบ)
- 55,790 ยูโร (ประมาณ 2,320,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
กำลังสูงสุด
- 190 แรงม้า
ความจุแบทเตอรี
- 66.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน
- จากผู้ผลิต 5.2 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง
- จากการทดสอบ 4.5 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง
- ความคุ้มค่า (ชาร์จจากครัวเรือน) 4.47 ยูโร/100 กม.
- ความคุ้มค่า (ชาร์จเร่งด่วน) 11.16 ยูโร/100 กม
ระยะทำการสูงสุด
- จากผู้ผลิต 398 กม.
- จากการทดสอบ 322 กม.
ย้อนไปในปี 1997 การมาถึงของน้องเล็กประจำค่าย นั่นคือ A-CLASS (เอ-คลาสส์) ถือเป็นมิติใหม่ของค่ายรถหรูแห่งนี้ในเวลานั้น ซึ่งแต่เดิมเน้นผลิตรถยนต์หรูที่ใหญ่โตโอ่อ่าเท่านั้น การมาถึงของรถยนต์รุ่นเล็กเสริมทัพรถขนาดเล็กของค่ายอย่างได้ผล เน้นกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นสำหรับค่ายดาวสามแฉก จวบจนปัจจุบัน แนวคิดของการเป็นรถยนต์ขนาดเล็กยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากรูปทรงโดยรวม ขนาดที่กะทัดรัด และการใช้งานอเนกประสงค์ ยังคงมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ อีกที่ต้องทำให้สำเร็จ กับการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของโลกยานยนต์ ยอมละทิ้งเครื่องยนต์สันดาป และแทนที่ด้วยการขับเคลื่อนผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มตัว
ท่ามกลางการพัฒนารถยนต์หลากหลายรุ่น ห้อมล้อมด้วยรถร่วมค่ายที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล หรือแม้แต่รูปแบบไฮบริด รวมถึงพลัก-อิน ไฮบริด EQA (อีคิวเอ) มีความ โดดเด่นในแง่ของการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไร้มลพิษของ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) จัดเป็นรถยนต์หรูขนาดเล็ก พร้อมจุดเด่นเรื่องการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มตัว แถมยังได้ประโยชน์จากการงดเว้นภาษีต่างๆ (ในบางประเทศ) ในบางกรณีผู้สนใจสามารถรับส่วนลดร่วม 6,000 ยูโร และอาจถึง 10,000 ยูโร หากมีรถยนต์มือสองเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง นอกจากนี้ ในบางภูมิภาคก็ให้สิทธิพิเศษอื่นๆ สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
ใช้โครงสร้างร่วมกัน
ใครที่คิดว่า EQA คือ รถที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด อาจต้องคิดใหม่ โครงสร้างโดยรวมถูกใช้ร่วมกับรถยนต์ขนาดเล็กของค่าย นั่นคือ GLA การออกแบบที่ชาญฉลาดทำให้โครงสร้างตัวถังสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ปรับแต่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และชุดแบทเตอรีได้ไม่ยากเย็น เส้นสายโดยรวมยังคงมีความคุ้นเคยของค่ายดาวสามแฉก มีการปรับแต่งให้มีความแตกต่างในบางจุด เช่น แผงกระจังหน้าแบบปิดทึบ ปราศจากช่องรับอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ MERCEDES-BENZ เสริมรอบๆ ด้วยชุดไฟแอลอีดี เรียงตัวเชื่อมต่อชุดไฟหน้าทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ ยังมีช่องรับอากาศด้านล่างขนาดใหญ่ ดูดุดันกว่า GLA อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อหันมาดูห้องโดยสาร บรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลไม่เปลี่ยนแปลง การประกอบที่ลงตัว และการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม ผสานกับการออกแบบที่มีสไตล์เฉพาะตัว และติดตั้งอุปกรณ์ใช้งานที่ทันสมัยมากมาย หน้าจอขนาด 10.3 นิ้ว 2 ชุด สำหรับการเป็นแผงหน้าปัด ระบบความบันเทิง ช่องแอร์รูปทรงคล้ายเครื่องยนต์เจท เส้นสายภายในที่เน้นความเรียบหรู ทำให้ห้องโดยสารมีความหรูหรา และยังสะดวกสบายราวกับห้องนั่งเล่นในบ้าน
ในแง่ของการโดยสาร เราพบว่าพื้นที่โดยรวมแทบไม่แตกต่างจาก GLA มิติต่างๆ ในห้องโดยสารแทบจะเท่ากัน นั่นคือ ผู้โดยสาร 4 คน สามารถโดยสารได้สบาย มีความสะดวกสบายที่น่าพอใจ รวมถึงการขนสัมภาระต่างๆ ที่มีความจุมากพอ ความสูงจากพื้นถนนมีความเหมาะสม ช่วยให้ขนสัมภาระได้สะดวก ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเป็นผู้ใหญ่ หรือเด็กวัยรุ่นก็ตาม
คนที่ไม่คุ้นเคยกับหนึ่งในเอกลักษณ์ของค่ายรถแห่งนี้ จะพบว่าตำแหน่งของคันเกียร์กลับถูกติดตั้งใกล้กับก้านใช้งานระบบปัดน้ำฝน ขณะที่ตำแหน่งของคันเกียร์ตามปกติ เป็นจุดติดตั้งแป้นระบบสัมผัสสำหรับควบคุมการใช้งานต่างๆ รวมถึงปุ่มระบบสัมผัสบนพวงมาลัย สามารถเปลี่ยนเมนูการใช้งานต่างๆ และเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลาย (มีทั้งหมด 4 รูปแบบ) ผู้ขับควรทำความคุ้นเคยให้ดี หากไม่เช่นนั้นการใช้งานอาจรบกวนสมาธิการขับขี่ได้เช่นกัน
ส่วนแป้นควบคุมทรงแบนบริเวณคอนโซลเกียร์เดิมมีการใช้งานที่สะดวกกว่า ใช้ควบคุมระบบความบันเทิง MBUX มีการติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง สามารถเข้าใจประโยคที่มีความซับซ้อนได้ และทำงานได้อย่างแม่นยำตามต้องการ การเลื่อนหน้าจอในโหมดต่างๆ มีความไหลลื่น พร้อมการแสดงผลที่ชัดเจน
อัตราเร่งที่ไหลลื่น
โหมดขับเคลื่อน 4 แบบ
หากพูดถึงรุ่นย่อย รหัส 250 หลายคนอาจนึกถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และเครื่องยนต์พละกำลังถึง 272 แรงม้า แต่สำหรับ EQA รหัส 250 มีความแตกต่างกันออกไป กับรุ่นย่อยเพียงหนึ่งเดียวของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ ภายใต้ฝากระโปรงหน้า (ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพียงไม่กี่รุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ และส่วนประกอบอื่นๆ สามารถเปิดดูได้จากส่วนหน้าของรถ) คือ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 38.3 กก.-ม. ภายใต้น้ำหนักโดยรวมประมาณกว่า 2 ตัน ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ผู้ขับใช้โหมด SPORT ก็ตาม อย่าได้คาดหวังอัตราเร่งที่ดุดันมากมาย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที ถือว่าเน้นความไหลลื่นมากกว่า
เราขับเคลื่อนรถคันนี้อย่างนุ่มนวล เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถในระยะแรก ผ่านสภาพการจราจรบนท้องถนนอย่างราบรื่น ในแง่หนึ่งแล้ว EQA มีความเร็วสูงสุดที่ 160 กม./ชม. เท่านั้น จัดเป็นรถยนต์ที่ไม่ได้เน้นความเร้าใจจากอัตราเร่งอย่างที่นักขับหลายคนคาดหวัง รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เน้นการตอบสนองที่ราบรื่น ไม่ใช่การเข้าโค้งที่รวดเร็วฉับไว อย่างไรก็ตาม ระบบรองรับที่มีความหนึบแน่นอย่างพอเหมาะ ตอบสนองได้ไวพอในกรณีหักเลี้ยวกะทันหัน รองรับได้แม้ในพื้นถนนเปียก
ผู้ขับอาจสัมผัสกับอาการโคลงของตัวรถค่อนข้างชัดเจน ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำมากพอ และมีการตอบสนองเหมาะสมกับรถยนต์ประเภทนี้ น้ำหนักของพวงมาลัยอาจเบาไปเล็กน้อยในช่วงความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความต่อเนื่อง และแม่นยำขณะเลี้ยว ถือว่าทำได้น่าพอใจดีอยู่แล้ว หากพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมของ EQA
ความคล่องแคล่วอาจไม่ใช่สิ่งที่น่าคาดหวังจากรถรุ่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า EQA มีจุดประสงค์สำคัญ คือ การเป็นรถยนต์ที่เน้นความสะดวกสบายโดยแท้จริง เห็นได้จากการตอบสนองในขณะหักเลี้ยว หากพิจารณาจากระบบรองรับที่เน้นความนุ่มนวล ยิ่งตอกย้ำบุคลิกดังกล่าวของตัวรถได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าจาก MERCEDES-BENZ อาจไม่โดดเด่นในแง่ของความหนึบแน่น รวมถึงการดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากความขรุขระบนพื้นถนนที่ยังไม่เนียนเท่าใดนัก เช่นเดียวกับระบบรองรับด้านหลังที่มีความแข็งกระด้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่น่าชมเชยของรถรุ่นนี้ คือ ประสิทธิภาพการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ห้องโดยสารมีระบบเสียงรบกวนที่ต่ำมาก ทั้งเสียงจากลมปะทะ หรือเสียงของยางขณะแล่น นับเป็นจุดดีของการปราศจากเครื่องยนต์สันดาป และการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เงียบสนิท การโดยสารให้ความเงียบได้ยอดเยี่ยม
จุดที่เราสังเกตระหว่างทดสอบรถรุ่นนี้ คือ ขณะเข้าโค้งต่อเนื่อง ระบบช่วยรักษารถให้อยู่กลางเลนมีจังหวะการทำงานที่ไม่ต่อเนื่องเท่าใดนัก เป็นสิ่งที่พบใน MERCEDES-BENZ รุ่นอื่นเช่นกัน ในบางสถานการณ์ ระบบมีการตอบสนองที่นุ่มนวล ส่งแรงสั่นสะเทือนให้ผู้ขับรับรู้เบาๆ ผ่านพวงมาลัย อย่างไรก็ตาม บางครั้งการตอบสนองกลับค่อนข้างแรง มีการใช้ระบบเบรคเข้าเสริม และการหักเลี้ยวพวงมาลัยโดยอัตโนมัติอีกแรง ซึ่งรบกวนการขับขี่ได้ในบางครั้งเช่นกัน
ขณะที่เราทำการทดสอบในหัวข้อระบบความปลอดภัยของรถรุ่นนี้ในหน้าถัดไป พบว่าส่วนใหญ่มีการทำงานที่แม่นยำ ยกเว้นเพียงในบางกรณีที่การตรวจจับคนเดินถนนยังไม่แม่นยำนัก ระบบพบความยากลำบากในการระบุรูปทรงของหุ่นจำลองที่เราใช้การทดสอบตามปกติ
การขับแบบไม่ต้องใช้แป้นเบรค
รถคันนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วย แม้ตัวถังของรถยนต์ไฟฟ้าจาก MERCEDES-BENZ เป็นทรงสูง และโครงสร้างตัวถังที่รองรับระบบไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี (ในหน้าถัดไปเราจะแจกแจงที่พบจากศูนย์ทดสอบ เปรียบเทียบความแตกต่างกับบรรดารถคู่แข่ง)
พิจารณาความจุของแบทเตอรีที่ 66.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง กับระยะทำการสูงสุดที่ประมาณ 322 กม. เป็นค่าเฉลี่ย และทำได้ประมาณ 330 กม. สำหรับการขับขี่วนเป็นวงกลม หากในสภาวะการจราจร และอุณหภูมิที่แตกต่างจากนี้ ตัวเลขระยะทำการที่ออกมาย่อมมีโอกาสแตกต่างตามกัน
โดยรวมแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ามีการประหยัดพลังงานที่ดีมาก และยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกอีก (4 รูปแบบด้วยกัน นั่นคือ ECO COMFORT SPORT และ INDIVIDUAL) โดยในโหมด ECO ระบบจะช่วยแนะนำจังหวะที่เหมาะสมของการถอนเท้าจากแป้นคันเร่ง และช่วยให้มีแรงหน่วงแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าที่มากพอ โดยประมาณผลร่วมกับสภาพการจราจร ณ เวลานั้น (ลักษณะของโค้ง ทางแยก วงเวียน ทางขึ้นเนิน และทางลงเนิน) รวมถึงการจำกัดความเร็วให้เหมาะสมด้วย
หากผู้ขับต้องการปรับระดับความหน่วงขณะถอนเท้าจากคันเร่ง สามารถทำได้ผ่านแพดเดิล ชิฟท์หลังพวงมาลัย ผู้ขับสามารถเลือกให้ระบบจัดการเองทั้งหมดก็ได้ โดยจะประเมินระยะห่างจากรถคันหน้าด้วย หรือเน้นความไหลลื่นเมื่อถอนเท้าออก ให้อารมณ์ใกล้เคียงรถยนต์ทั่วไป หากปรับให้มีแรงหน่วงมากขึ้น การชะลอความเร็วจะมีมากขึ้นอย่างชัดเจน ถึงในระดับที่ผู้ขับแทบไม่ต้องกดแป้นเบรคเลย เป็นคุณสมบัติที่พบเจอในรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น
แน่นอนว่า ระบบเบรคยังคงมีความสำคัญสำหรับรถรุ่นนี้ จากการทดสอบประสิทธิภาพระบบเบรค รถคันนี้สามารถทำตัวเลขได้อย่างน่าพอใจเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ในหัวข้อความทนทานของระบบเบรคจำนวน 10 ครั้งต่อเนื่อง ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ภายใต้น้ำหนักบรรทุกสูงสุด แสดงให้เห็นถึงอาการล้าของระบบเบรคออกมา ยิ่งเห็นเด่นชัดจากระยะเบรคที่ค่อนข้างมากในสภาพพื้นผิวลื่น