เรื่องเด่น Quattroruote
ทดลองขับ JEEP COMPASS
รูปทรงภายนอกอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ห้องโดยสารถูกปรับปรุงใหม่หลายจุด จุดเด่นยังคงเป็นการลุยทางสมบุกสมบันได้เกือบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะรุ่นย่อยแบบ TRAILHAWK เสริมพละกำลังด้วยระบบพลัก-อิน ไฮบริด
รุ่น 4XE PHEV TRAILHAWK
ข้อมูลของรถทดสอบ
เครื่องยนต์
- วางด้านหน้า ตามขวาง
- เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- ความจุ 1,332 ซีซี
- กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 5,750 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. ที่ 1,750 รตน.
- มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน
- กำลังสูงสุด 60 แรงม้า
- กำลังสูงสุดทั้งระบบ 240 แรงม้า
แบทเตอรี
- ความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
สมรรถนะ
- ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.3 วินาที
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 47.6 กม./ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,640 มม.
- ความยาว 4,440 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,660 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,860 กก.
ราคา
- 49,200 ยูโร (ประมาณ 1,840,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
การพัฒนาขุมพลังแบบไฮบริดของค่าย JEEP (จีพ) มีความต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้จากทางเลือกของรุ่น RENEGADE (เรเนเกด) COMPASS (คอมพาสส์) และ WRANGLER (แรงเลอร์) ต่างก็มีทางเลือกของเครื่องยนต์แบบพลัก-อิน ไฮบริด กับระบบที่ถูกพัฒนามาโดยเฉพาะ มีชื่อเรียกว่า POWERLOOP ควบคุมการส่งกำลังไปยังล้อแต่ละตำแหน่งด้วยอีเลคทรอนิค โดยมีเครื่องยนต์สันดาปขับเคลื่อนล้อคู่หน้า และมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง (มีกำลังสูงสุด 60 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม.) สำหรับ COMPASS รุ่นนี้ คือ การปรับปรุงรอบคันในปีล่าสุด รูปทรงภายนอกถูกปรับโฉมเล็กน้อย ส่วนห้องโดยสารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด การประกอบโดยรวมมีความลงตัวกว่าเดิม รวมถึงการจัดวางต่างๆ ที่ลงตัว สมกับการเป็นค่ายรถระดับหัวแถวจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ถือกำเนิดที่เมืองเมลฟี ประเทศอิตาลี
COMPASS รุ่นล่าสุด เป็นสายพันธุ์ตัวลุยของค่ายถัดจาก RENEGADE ที่ถูกขึ้นสายการผลิตที่เมืองเมลฟี ประเทศอิตาลี (ก่อนหน้านี้เคยถูกผลิตที่ประเทศเมกซิโก) ทำให้รถรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน นับตั้งแต่คุณภาพการประกอบที่ถูกพัฒนาขึ้น รวมถึงความสะดวกสบายที่ทำได้ดีขึ้นเช่นกันจากการทดลองขับโดยทีมงานของเรา จุดที่น่าสนใจ คือ การหันมาใช้ขุมพลังแบบไฮบริด แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้มาฟรีๆ โดยต้องแลกกับน้ำหนักของตัวรถที่มากขึ้นร่วม 200 กก. และราคาโดยรวมที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยในรุ่น TRAILHAWK แพงขึ้นเกือบ 50,000 ยูโร เลยทีเดียว รายละเอียดทางเทคนิคมีความทันสมัยมากขึ้น ใช้งานได้หลากหลาย ในรุ่นย่อย 4XE ค่ายรถสัญชาติอเมริกันแห่งนี้เปลี่ยนรูปแบบการส่งกำลังของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบดั้งเดิม มาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูง ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ขณะที่ระบบขับเคลื่อนแบบเดิมจะติดตั้งระบบเฟืองท้ายมาให้ ระบบเครื่องยนต์กลไกถูกพัฒนาโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ ตัวระบบสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ในตัว
ระบบไฮบริดมีส่วนประกอบ คือ แบทเตอรีความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ติดตั้งตามขวาง สามารถชาร์จแบทเตอรีได้จากภายนอก รองรับกำลังไฟฟ้าที่ 7.4 กิโลวัตต์ แบบ 1 เฟส ขณะที่เครื่องยนต์ที่วางด้านหน้าแบบเบนซิน เทอร์โบ 1.3 ลิตร 4 สูบเรียง มีกำลังสูงสุด 180 แรงม้า (เชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ขณะสตาร์ทรถ) ทำให้ COMPASS มีการส่งกำลัง 3 รูปแบบด้วยกัน นั่นคือ ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน 100 % (มีระยะทำการสูงสุด 50 กม. ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้งาน) ถัดมา คือ การส่งกำลังแบบไฮบริด และสุดท้าย คือ โหมดเน้นการชาร์จไฟฟ้าสู่ชุดแบทเตอรี (E-SAVE) สามารถชาร์จได้สูงสุดถึงระดับ 80 % ของแบทเตอรี ในระหว่างการชาร์จไฟฟ้า เราพบว่าการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะสูงขึ้นมาก (ประมาณ 4.0 กม./ลิตร เลยทีเดียว) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการขับขี่ว่ามีการสลับมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ การชาร์จไฟฟ้ารองรับทั้งจากครัวเรือน และสถานีอัดประจุไฟฟ้า
หันมาดูภายในห้องโดยสาร มีการปรับปรุงให้ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีรูปแบบของคอนโซลหน้าจะมีการจัดวางหน้าจอ และปุ่มใช้งานในระดับที่ต่ำลงมาพอสมควร แต่ในรุ่นล่าสุด ถูกจัดวางให้มีระดับสูงขึ้นมา ช่วยให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น ปุ่มใช้งานอยู่ในระยะเอื้อมมือถึง ขณะที่แผงคอนโซลเกียร์มีความสูงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีการออกแบบแผงคอนโซลที่มีความต่อเนื่องจากแนวเสาเอ ทั้ง 2 ฝั่ง มีการออกแบบคอนโซลให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น ถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ มีการเพิ่มวัสดุหนังแท้ ดูหรูหรากว่าเดิม และเย็บด้ายสีแดงสด รูปแบบการแสดงผลบนจอภาพมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ทำให้ทางผู้ผลิตต้องออกแบบรูปทรงของช่องแอร์ใหม่ เดิมทีจะมีตำแหน่งอยู่ด้านข้างของหน้าจอ ส่วนรุ่นล่าสุดช่องแอร์จะมาอยู่ด้านล่างแทน นอกจากนี้ ยังมีปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิม เห็นได้จากปุ่มหมุนทรงกลมสำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ แม้จะมีขนาดค่อนข้างเล็กไปหน่อย นอกจากนี้ ตำแหน่งของที่พักแขนของแผงประตูก็สูงขึ้นมาด้วย รองรับตำแหน่งของข้อศอกได้ดียิ่งขึ้น
จอแสดงผลขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียดสูง แสดงผลระบบความบันเทิง UCONNECT 5 รองรับการสั่งงานด้วยเสียง เพียงผู้ขับเอ่ยวลี “HEY JEEP” ขึ้นมา สามารถอัพเดทระบบผ่านอินเตอร์เนท ระบบเครื่องเสียงชั้นดีของ ALPINE ผ่านลำโพงถึง 9 ตัว พร้อมซับวูเฟอร์ นอกจากนี้ ยังติดตั้งแท่นชาร์จไฟฟ้าแบบไร้สายสำหรับมือถืออีกด้วย
การส่งกำลังจากเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ COMPASS มีกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 240 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่มหาศาล ทำได้สูงสุดถึงระดับ 51.0 กก.-ม. นั่นเชียว ขณะที่การตอบสนองของคันเร่งมีความฉับไวมากกว่าเดิม ด้วยแรงบิดระดับนี้ โอกาสที่ล้อจะเกิดการหมุนฟรีขณะออกตัวก็มีมากขึ้นเช่นกัน เห็นได้จากอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.3 วินาที แต่จุดเด่นของรถรุ่นนี้ ไม่ได้มาจากการกดคันเร่งแบบดุดันเช่นนั้น ตรงกันข้าม การเติมคันเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไปจะทำให้ COMPASS รุ่นนี้ขับเคลื่อนได้อย่างลื่นไหล นอกจากนี้ การปรับแต่งที่ไม่ได้เน้นที่อัตราเร่งบนทางเรียบ อาการโคลงของตัวรถค่อนข้างชัดเจนในขณะที่เข้าโค้ง จากการปรับแต่งระบบรองรับที่สูงขึ้นมาพอสมควร รองรับการลุยทางสมบุกสมบันระดับ TRAILHAWK แสดงให้เห็นว่าระดับการลุยของรถรุ่นนี้ทำได้สูสีกับรถร่วมค่ายอย่าง RUBICON TRAIL (รูบิคอน ทเรล) ที่เคยถูกทดสอบมาแล้วที่เมืองแคลิฟอร์เนีย เมื่อพิจารณาข้างใต้ของตัวถัง จะพบกับองค์ประกอบของระบบไฟฟ้า (ได้แก่ ชุดแบทเตอรีมอเตอร์ไฟฟ้า และชุดชาร์จกระแสไฟฟ้า) ถูกปิดด้วยแผ่นโลหะขนาดใหญ่อีกชั้นหนึ่ง ไม่ส่งผลต่อระดับความสูงจากพื้นถนน (มากกว่า 200 มม.) หรือแม้แต่มุมต่างๆ รอบตัวรถ (มุมปะทะ 30.4 องศา มุมจาก 33.3 องศา และมุมคร่อม 21.0 องศา)
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อสุดลํ้า
จุดเด่นของ COMPASS TRAILHAWK คือ ประสิทธิภาพในการลุยทางสมบุกสมบันที่ยอดเยี่ยม กับโหมดการลุยที่หลากหลายถึง 5 รูปแบบด้วยกัน รวมถึงโหมด ROCK สำหรับการลุยแบบหนักหน่วงเป็นพิเศษ รวมถึงโหมด 4WD LOW และ 4WD LOCK อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการลุยก็ทำได้ยอดเยี่ยมดีอยู่แล้ว แม้ไม่ได้ใช้โหมดเฉพาะทางตามที่ระบุมา ส่วนหนึ่งเป็นข้อดีของยางแบบใช้งานได้หลากหลายสภาวะ (ขนาด 235/60 R17) ผสานกับระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดมากพอ รถคันนี้สามารถลุยไปบนเส้นทางหิมะ หรือแม้แต่เส้นทางที่เป็นโคลนเลน ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานได้อย่างเงียบสนิท เสริมคุณสมบัติรักษ์โลกในตัว อาศัยการกดคันเร่งที่แผ่วเบา เมื่อใดที่รถคันนี้ขับเคลื่อนขึ้นทางลาดชัน หรือทางที่มีหลุมบ่อ ระบบกล้องมองภาพรอบตัวรถ ช่วยให้ผู้ขับเห็นสภาพเส้นทางรอบข้างได้ชัดเจน ทำงานร่วมกับโหมดการลุยทางสมบุกสมบันอื่นๆ ทำให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถให้ผ่านอุปสรรคได้ไม่ยากเย็น จากระบบจัดการอันยอดเยี่ยมของรถรุ่นนี้
รองรับการชาร์จหลายรูปแบบ
การชาร์จหลายรูปแบบตามแต่งบประมาณ
แบทเตอรีความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ของ COMPASS สามารถชาร์จได้ถึง 3 รูปแบบด้วยกัน แบบแรก คือ การชาร์จไฟฟ้าจากครัวเรือน หรือแม้แต่จากจุดชาร์จเฉพาะทางที่มีทางเลือกหลากหลาย หากใช้ชุดหัวต่อแบบเดียวกับที่รถรุ่นนี้ติดตั้งมาให้ สามารถรองรับไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 2.3 กิโล-วัตต์ (10 แอมพ์) ซึ่งเป็นระดับไฟฟ้าที่มีใช้งานทั่วไป สามารถพบเจอได้ไม่ยาก เมื่อชาร์จจากกระแสไฟฟ้าตามครัวเรือน การชาร์จแบทเตอรีเต็มใช้เวลาประมาณ 5 ชม. (ขึ้นอยู่กับระดับแบทเตอรีที่เหลืออยู่ด้วย) ในกรณีนี้จะคิดเป็นเงินที่ 2.40 ยูโร สำหรับการแล่นได้อีก 50 กม. (การคำนวณทางทฤษฎี) หรือ 4.80 ยูโร สำหรับการแล่นได้อีก 100 กม. (เปรียบเทียบกับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว อยู่ที่ 13-15 ยูโร สำหรับการแล่นอีก 100 กม.) หากการใช้งานของผู้ขับมีระยะทางน้อยกว่า 50 กม. จะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ดีมาก นอกจากการชาร์จจากครัวเรือนแล้ว ยังมีการชาร์จกับกล่องไฟฟ้าแบบเฉพาะทาง (มีการชาร์จรูปแบบนี้อย่างหลากหลายเช่นกัน สามารถตรวจสอบระดับการชาร์จไฟฟ้าได้จากแอพพลิเคชันในมือถือ) รองรับกระแสไฟฟ้าได้ที่ 7.4 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบทเตอรีได้เต็มในเวลาเพียง 2 ชม. เท่านั้น ในกรณีนี้ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าอาจสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่มากเกินไป หากเทียบกับการชาร์จกระแสไฟฟ้าที่ 3.3 กิโลวัตต์ แม้ COMPASS รุ่นนี้ จะมีจุดชาร์จไฟฟ้าแบบ TYPE 2 ติดตั้งมาให้ก็ตาม แต่กระแสไฟฟ้ากลับไม่แตกต่างมากนัก เนื่องจากแบทเตอรีชุดนี้รองรับไฟฟ้าแบบ 1 เฟสเท่านั้น (หากรองรับไฟฟ้าแบบ 3 เฟส จะได้ที่ระดับ 22 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเพียง 30 นาทีเท่านั้น) แต่จุดที่ต้องพิจารณา คือ ค่าใช้จ่ายของการชาร์จจะสูงกว่าการชาร์จไฟฟ้าจากครัวเรือนมาก สุดท้าย คือ การชาร์จไฟฟ้าจากระบบไฮบริดในตัว ด้วยโหมด E-SAVE สามารถทำได้ใน 2 กรณี คือ การบังคับให้ระบบหยุดการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง และเน้นที่การชาร์จไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ หรือการแปรผันพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนบางส่วนของเครื่องยนต์ แต่จุดที่ต้องระวัง คือ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจะสูงขึ้นมาก