เรื่องเด่น Quattroruote
ทดลองขับ MAZDA MX-30
ค่ายรถจากเมืองฮิโรชิมาเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ด้วยเส้นสายที่ลงตัว และรายละเอียดต่างๆ ที่โดดเด่น แม้ความจุของแบทเตอรีจะมีไม่มากนัก แต่มีจุดประสงค์เพื่อคุณสมบัติรักษ์โลก ค่าการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำตลอดอายุการใช้งาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
รุ่น EXECUTIVE
ข้อมูลจำเพาะ
เครื่องยนต์
- มอเตอร์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
- กำลังสูงสุด 145 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 27.6 กก.-ม.
แบทเตอรี
- ลิเธียม-ไอออน ความจุ 35.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
- 2 ล้อหน้า
- ชุดหน่วงความเร็ว
สมรรถนะ
- ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม.
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 9.7 วินาที
มิติ และน้ำหนักโดยรวม
- ระยะฐานล้อ 2,660 มม.
- ความยาว 4,400 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,560 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,720 กก.
ราคา
- 34,900 ยูโร (ประมาณ 1,500,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
ตัวเลขที่ชวนฉงนที่ 200 เท่านั้น ? นั่นคือ ระยะทำการสูงสุดเมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็ม คือ 200 กม. (หากใช้งานจริงน่าจะเหลือประมาณ 170-180 กม.) พูดง่ายๆ คือ รถยนต์ไฟฟ้าของ MAZDA MX-30 (มาซดา เอมเอกซ์-30) รุ่นนี้แล่นไม่ได้ไกลเท่าไร ครอสส์โอเวอร์รุ่นนี้มีมิติตัวถังที่ความยาวระดับ 4.4 ม. เมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็มจะมีระยะทำการเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือนี่จะเป็นการออกแบบมาเพื่อการใช้งานในตัวเมืองเท่านั้น ? ทีมงานของเราลองวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดแล้ว จากปัจจัยต่างๆ รอบด้าน พบว่าเหตุผลของการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้มีแนวคิดที่น่าสนใจ และมีเหตุผลรองรับ
แนวคิดที่ถูกสืบทอดมานาน
ค่ายรถจากเมืองฮิโรชิมามีแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากต้องรังสรรค์รถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา รถรุ่นนั้นจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ดังนี้แล้ว หากหันมาใช้งานแบทเตอรีที่มีขนาดใหญ่ จะส่งผลให้มีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเช่นกัน จากระบบหมุนเวียนพลังงานไฟฟ้าของตัวรถตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงขั้นตอนการผลิตตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนถึงการรีไซเคิลชุดแบทเตอรีในท้ายสุด ดังนั้น MAZDA จึงตัดสินใจพัฒนาให้รถรุ่นนี้ใช้แบทเตอรีขนาดเล็ก มีระยะทำการที่สั้นลง ขณะที่ห้องโดยสารยังรักษาเอกลักษณ์ต่างๆ ของค่ายรถแห่งนี้เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแผงประตูด้านในกลิ่นอายของรถสปอร์ท RX-8 (อาร์เอกซ์-8) การตกแต่งที่ใช้วัสดุที่ผลิตจากพืชผัก และไม้คอร์ค ถูกนำมาใช้บริเวณที่วางแก้วน้ำ ชวนให้นึกถึงจุดเริ่มต้นของค่ายรถแห่งนี้ มาจากการเป็นโรงงานผลิตไม้คอร์คนั่นเอง โดยมีกระบวนการผลิตจากเศษเปลือกไม้ ไม่ใช่การตัดต้นไม้โดยตรง
การรังสรรค์ที่ชัดเจน
นอกเหนือจากรูปทรงภายนอกที่ลงตัว การออกแบบห้องโดยสารให้บรรยากาศที่น่าพึงพอใจเช่นกัน เบาะนั่งของ MX-30 ให้ความรู้สึกสบายไม่แพ้โซฟาชั้นดี คุณภาพการประกอบที่ทำได้ดีสำหรับรถยนต์ระดับนี้ อุปกรณ์ใช้สอยที่ทันสมัยอยู่รายรอบผู้โดยสาร ควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของครอสส์โอเวอร์สัญชาติญี่ปุ่นคันนี้ การใช้งานต่างๆ ผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ควบคุมระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นระบบดิจิทอล โดยมีมาตรวัดแบบแอนาลอกมาให้ 3 ชุด สำหรับอุณหภูมิของชุดแบทเตอรี และยังมีหนึ่งในความคุ้นเคยแบบดั้งเดิม คือ คันเกียร์ที่มีขนาดใหญ่ จับได้กระชับมือ ต่างจากบรรดารถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นที่ใช้คันเกียร์ขนาดเล็ก จุดประสงค์เพื่อให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มหันมาลองใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สามารถทำความคุ้นเคยได้สะดวกยิ่งขึ้น (ขุมพลังรหัส E-SKYACTIV ของ MAZDA) และยังช่วยให้การขับขี่มีความราบรื่นยิ่งขึ้นอีกด้วย รูปแบบการขับขี่ก็มีความใกล้เคียงกันในบางจังหวะเช่นกัน เพียงกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และกดคันเร่งลงไป ตัวรถก็ขับเคลื่อนออกไปอย่างนุ่มนวล บุคลิกของรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบสนองทันทีที่กดคันเร่งอาจไม่มีให้สัมผัสใน MX-30 ขณะที่แป้นคันเร่งให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับการปรับระดับการตอบสนองเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รหัส SKYACTIV-G M-HYBRID 2.0 ที่วางในรุ่น CX-30 (ซีเอกซ์-30) ดังนั้นแรงบิดจะไม่ตอบสนองทันที 100 % ขณะที่ในโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน กราฟการตอบสนองจะคล้ายกับรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทั่วไป เมื่อกดคันเร่งสุด เสียงของขุมพลังคล้ายกับเครื่องยนต์แบบ 6 สูบ ฟังรื่นหู แต่ไม่แผดดังมากเกินไป
จุดที่น่าพึงพอใจของผู้ขับ คือ การตอบสนองของแรงบิดที่ยังมีเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การขับขี่ในสภาพการจราจรทั่วไปควรปรับให้การตอบสนองมีความนุ่มนวล เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้ไม่ได้เน้นสมรรถนะเต็มตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ คนขับที่ใช้น้ำหนักในการกดคันเร่งไม่แน่นอน จะไม่มีปัญหาในการขับขี่ MX-30 ไปในตัว ในกรณีที่กดคันเร่งสุด พละกำลังสูงสุด 145 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 27.6 กก.-ม. จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว การขับเคลื่อนไปตามสภาพการจราจรสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ทีมงานของ MAZDA สร้างผลงานที่น่าพอใจในแง่ของแป้นเบรค เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป รถยนต์ไฟฟ้าต้องมีระบบเบรคที่สมดุลกันระหว่างการหน่วงความเร็ว และการใช้แรงหน่วงแปรเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยผู้ขับสามารถเลือกระดับการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้าได้ถึง 5 ระดับผ่านแพดเดิล ชิฟท์ บนพวงมาลัย ช่วยให้การปรับระดับแรงหน่วงทำได้อย่างง่ายดายตามสภาพการจราจร และพื้นผิวถนน ทีมงานของเราได้ทดลองขับรถรุ่นนี้ในตัวเมืองเป็นเวลา 30 นาที การจราจรค่อนข้างหนาแน่น แต่ไม่มากเท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 โดยรวมแล้วสามารถสรุปในเบื้องต้นว่า MX-30 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นความสะดวกสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่หันมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ขณะที่การใช้ความเร็วระดับ 170-180 กม./ชม. บนทางหลวง ดูจะเกินขีดจำกัดของตัวรถ แม้เป็นความเร็วที่เกินกว่าการใช้งานทั่วไป แต่การขับบนทางหลวงยังเป็นระดับความเร็วที่เป็นไปได้ แม้ในอนาคตจะมีทางเลือกของขุมพลังไฮบริดที่เครื่องยนต์สันดาปทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็ก มีความเหมาะสมสำหรับการสร้างกระแสไฟฟ้า ไม่มีเพลาขับไปยังล้อ ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ชุดแบทเตอรีเท่านั้น ช่วยให้มีระยะทำการที่มากขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการชาร์จแบทเตอรี
ความแตกต่างทั้งภายนอก และภายใน
โครงสร้างตัวถังใช้ร่วมกับ CX-30 (ระยะฐานล้อ 2,660 มม. เท่ากันพอดี) แต่องค์ประกอบอื่นๆ แทบไม่มีอะไรเหมือนกัน เครื่องยนต์รหัส E-SKYACTIV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า มีการปรับแต่งในรายละเอียดมากมาย เริ่มจากการจัดวางชุดแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน มีรูปแบบเฉพาะตัว พัฒนาโดยบริษัทพานาโซนิค และมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถัง เพื่อคงความแข็งแรงของตัวถัง และมีความปลอดภัยในตัว นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ติดตั้งใน MX-30 เป็นครั้งแรก เช่น ระบบรักษาตัวรถให้อยู่กลางเลน ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นถนนในแนวขวางเพื่อการตรวจจับ ขณะที่ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (ที่ความเร็วต่ำ) สามารถตรวจจับรถที่แล่นมาขณะทำการเลี้ยวข้ามแยกได้
แบทเตอรี
เพื่อโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง แบทเตอรีขนาด 35.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะถูกหุ้มด้วยวัสดุโลหะ และมีจุดเชื่อมต่อถึง 20 จุด
เครื่องยนต์
มอเตอร์ไฟฟ้าผลิตโดยบริษัท ฮิตาชิ ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ตามข้อมูลของทาง MAZDA รถยนต์ไฟฟ้า MX-30 หากชาร์จไฟฟ้าที่ระดับ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะสามารถแล่นได้ 100 กม.
การชาร์จประจุไฟฟ้า
รถยนต์รุ่นนี้รองรับการชาร์จทั่วไป และการชาร์จแบบเร่งด่วน (ที่ 50 กิโลวัตต์) สำหรับการชาร์จแบบปกติตามครัวเรือน จะใช้เวลาประมาณ 3 ชม. จากระดับแบทเตอรีที่ 20-80 % ขณะที่การชาร์จแบบเร่งด่วนใช้เวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น