สหราชอาณาจักร ร่างกฎหมายเกี่ยวกับเครือข่ายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

  ข่าวจากสหราชอาณาจักร ระบุว่า สถานีบริการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าต้องเพิ่มจุดบริการในเครือข่าย เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้ใช้บริการ และเพื่อรองรับกฎหมายที่จะประกาศใช้เพิ่มในปลายปีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ร่างกฎหมายใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้า ในการเข้าใช้บริการสถานีชาร์จ และผลักดันให้เครือข่ายสถานีบริการชาร์จของสหราชอาณาจักร ติดอันดับโลก ได้ทุ่มทุนถึง 1.6 พันล้านปอนด์ (6.96 หมื่นล้านบาท) เพื่อผลักดันการติดตั้งจุดชาร์จใหม่เพิ่มอีก 300,000 จุด ทั่วสหราชอาณาจักร ทำให้มีจุดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้ามากกว่าจุดบริการน้ำมันที่มีอยู่ในปัจจุบัน 5 เท่า และจะติดตั้งให้ครบตามเป้าหมายในปี 2573 โฆษกกระทรวงคมนาคม (Department of Transport) ยืนยันการทุ่มทุน 1.6 พันล้านปอนด์ เพื่อเพิ่มจุดบริการทั่วสหราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ในแผนกลยุทธ์ระบบโครงสร้างพื้นฐานของรถพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ โดยจะเพิ่มข้อบังคับใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จุดชาร์จสาธารณะ และมีจำนวนเหมาะสมกับการบริการ การให้ความสำคัญกับการเข้าถึงจุดบริการเป็นอันดับสูงสุด จึงร่วมกับที่ปรึกษาในการออกแบบจุดเข้ารับการบริการให้เป็นมาตฐาน ก่อนจะประกาศเป็นข้อกำหนดในปลายปีนี้ต่อไป ขณะนี้จุดบริการชาร์จสาธารณะในสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 33 % มีอุปกรณ์ให้บริการอยู่ 30,290 จุด ตามข้อมูลของ Zap Map  และประกาศอย่างเป็นทางการโดยกระทรวงคมนาคม เฉพาะในปีที่แล้วได้ติดตั้งจุดบริการถึง 7,500 จุด และอีก 1,915 จุด ในไตรมาสแรกของปีนี้ หากเทียบสัดส่วนของอุปกรณ์สาธารณะต่อจำนวนประชากรแล้ว ในลอนดอนมีจุดบริการชาร์จมากที่สุด คือ 111 จุด/100,000 คน และน้อยที่สุดในสหราชอาณาจักร คือ ไอร์แลนด์เหนือที่มีจุดบริการ 18 จุด/100,000 คน โดยค่าเฉลี่ยทั้งหมดของสหราชอาณาจักร คือ 45 จุดบริการ/100,000 คน นอกจากนั้นยังพบว่า จุดบริการชาร์จเร็ว ในสกอทแลนด์ มีจำนวน 13.6 จุด/100,000 คน ส่วนไอร์แลนด์เหนือ มีจุดบริการชาร์จเร็วเพียง 1.3 จุด/100,000 คน ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษมีจุดบริการชาร์จเร็ว 5.9 จุด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี 9.4 จุด/100,000 คน คาดว่าในอนาคตการใช้รถพลังงานไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากการประกาศยุติการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2573 และสถิติที่แสดงถึงการผลักดันจากทางรัฐบาล และความร่วมมือของบริษัทผู้ให้บริการสถานีชาร์จที่ตอบรับนโยบาย จากปี 2558 ที่มีจุดบริการชาร์จเพียง 2,000 จุด และเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 จุด ในปี 2561