รถไฟฟ้าเตรียมเปิดตัวอย่างน้อย 6 ยี่ห้อ ในสหรัฐอเมริกา

 

มาดูกันว่า ภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 6 ยี่ห้อ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนแล้วแต่สามารถเดินทางได้ระยะทางมากกว่า 200 ไมล์ ราว 320 กม. ทุกยี่ห้อ หลังจากที่ Tesla ครองตลาดมาได้เวลาพอสมควรแล้ว

แม้ว่าจะนำเสนอข่าวสารมาหลายครั้ง แต่มาลองดูกันว่า โดยรวมแล้ว จะมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง     มาเริ่มกันที่ Nissan Leaf รุ่นปี 2561 คู่ต่อสู้ของ Chevrolet Bolt และ Tesla Model 3 ซึ่งทั้ง 3 ยี่ห้อ สามารถเดินทางได้ระยะทาง 200 ไมล์ ราว 320 กม. หรือมากกว่า คาดว่าเริ่มสายการผลิตได้ในปีนี้ และจะออกจำหน่ายเป็นรถรุ่นปี 2561 Nissan Leaf ได้ชื่อว่าเป็นรถไฟฟ้าที่จำหน่ายมากที่สุดในศตวรรษ รุ่นใหม่นี้ มาด้วยชุดแบทเตอรี 2 ชุด และเทคโนโลยี ProPilot ที่ผู้ผลิตบอกว่าจะมีความสามารถในรูปแบบของยานยนต์ไร้คนขับ แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่เต็ม 100 % รูปแบบของรถน่าจะพัฒนาจากรถต้นแบบ IDS ที่ออกแสดงในงานมหกรรมยานยนต์โตเกียว เมื่อปี 2558 โดยจะสามารถนำรถคันจริงออกแสดงได้ในปลายปีนี้ และเริ่มการจำหน่ายต้นปีหน้า     ถัดมาเป็น Tesla Model 3 อันโด่งดัง ที่ผู้บริโภคอเมริกันวางเงินมัดจำจองเอาไว้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยคาดหวังว่ารถจะมาในรูปแบบเดิมของรุ่น S ทั้งพละกำลังและเทคโนโลยี ในราคาที่สามารถรับได้ Tesla ให้ข้อมูล Model 3 รุ่นใหม่น้อยมาก นับแต่เปิดตัวคันต้นแบบปีที่แล้ว แต่ยืนยันว่ารถซีดานไฟฟ้ารุ่นใหม่ จะเดินทางได้อย่างน้อย 215 ไมล์ ราว 345 กม. มีราคาเริ่มต้น 35,000 เหรียญสหรัฐฯ ราว 1,225,000 บาท โดยตั้งเป้าไปชนกับรถไฟฟ้าระดับหรูจากเยอรมนี อย่าง BMW 3 Series และ Audi A4 Tesla น่าจะเพิ่มรุ่น P รถพลังสูง เช่นเดียวกับอุปกรณ์พิเศษ เป็นชุดแบทเตอรีเสริม พร้อมมอเตอร์ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ เช่นเดียวกับรุ่น Model S Tesla ให้ข้อมูลในการประชุมผู้ถือหุ้น ว่าวางแผนจะเริ่มการผลิต Model 3 ในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะสามารถขึ้นสายการผลิตได้สัปดาห์ละ 5,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้     ต่อด้วย Audi e-Tron ที่จะเริ่มสายการผลิตในปีหน้า ที่โรงงานในกรุง Brussels โดยพัฒนาจากคันต้นแบบ e-Tron Quattro ที่อวดโฉมไปในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท เมื่อปี 2558 ต้นแบบ e-Tron ใช้แบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน ขนาด 95 กิโลวัตต์/ชม. พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว วางหน้า 1 และหลังอีก 2 ตัว ให้กำลัง 496 แรงม้า แรงบิด 81.6 กก.-ม. คุยว่าผ่านมาตรฐานยุโรป ที่วัดระยะเดินทางได้ 310 ไมล์ ราว 405 กม. แต่หากเทียบมาตรฐานอเมริกัน น่าจะราว 250 ไมล์ ราว 400 กม. Audi ใช้แบทเตอรีจาก LG Chem และ Samsung SDI โดยรถต้นแบบออกมาในแนวคูเปครอสส์โอเวอร์ ซึ่งมีแนวเส้นหลังคาลาดไปด้านหลัง พร้อมตกแต่งทรงเอสยูวี พร้อมเทคโนโลยี ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา อันโด่งดัง     ต่อด้วย BMW i5 ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรถรุ่นเล็ก i3 รวมทั้ง ไฮบริด-ไฟฟ้า i8 แม้ว่าจะใช้โครงสร้างอลูมิเนียม และคาร์บอน ไฟเบอร์ ขึ้นรูปทนแรงดึง เช่นเดียวกับ i3 และ i8 ก็ตาม i5 แบบ 5 ประตู จะมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ประเมินว่าจะมีระยะเดินทางราว 200 ถึง 250 ไมล์ หรือราว 320 กม. ถึง 400 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้แบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน รุ่นใหม่ของ Samsung ที่ให้แรงดันประจุคุณภาพสูงหรือไม่     ยี่ห้อที่ 4 Jaguar I-Pace ครอสส์โอเวอร์หรู ชั้นเดียวกับ Audi e-Tron คาดว่าจะเริ่มการผลิต ไล่ๆ กับ Audi เช่นกัน รูปแบบพัฒนาจากรถต้นแบบ Jaguar I-Pace ที่ออกว์ในงานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิส ปี 2559 ที่มาพร้อมชุดแบทเตอรีขนาด 90 กิโลวัตต์/ชม. และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว หน้าและหลัง ให้กำลังแต่ละตัว 200 แรงม้า แรงบิด 35.7 กก.-ม. Jaguar เลือกใช้ชุดแบทเตอรีจาก LG Chem สามารถเดินทางได้ 220 ไมล์ ราว 350 กม. โดยจะใช้โรงงาน Magna Steyr ที่ประเทศออสเตรียเป็นที่ผลิต เริ่มสายการผลิตในราวเดือนมีนาคม หรือเมษายนปีหน้า     ยี่ห้อที่ 5 Mercedes-Benz EQ เอสยูวีพลังไฟฟ้าระดับหรูอีกยี่ห้อหนึ่ง โชว์ตัวคันต้นแบบในงานมหกรรมยานยนต์ปารีส ปี 2559 พร้อมประกาศใช้ชื่อรุ่น EQ ครอสส์โอเวอร์ไฟฟ้าคันนี้ ใช้แบทเตอรี ความจุ 70 กิโลวัตต์/ชม. มาจากบริษัทในเครือเดมเลอร์ ประกาศว่าเดินทางได้ 310 ไมล์ ราว 500 กม. ตามมาตรฐานยุโรป ซึ่งมาตรฐานอเมริกา ระยะทางจะน้อยกว่า Mercedes-Benz ประกาศว่าจะแนะนำรถไฟฟ้า ภายใต้รุ่นย่อย EQ รวม 10 รุ่น ภายในปี 2568     รถไฟฟ้าระดับหรู รุ่นที่ 6 ซีดานจาก Porsche Mission E โชว์คันต้นแบบในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ปี 2558 ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่นที่มาเป็นเอสยูวี แต่ค่าย Porsche มาเป็นรถสปอร์ททรงพลัง คันต้นแบบให้กำลัง 600 แรงม้า ระยะทางตามการวัดแบบยุโรป ได้ 310 ไมล์ ราว 500 กม. โดย Porsche อธิบายระบบชาร์จด่วนกระแสตรง 800 โวลท์ เอาไว้ว่า สามารถชาร์จชุดแบทเตอรีขนาดใหญ่ให้ได้ 80 % ในเวลา 15 นาที หรือน้อยกว่านี้ เมื่อเดือนธันวาคม 2558 Porsche ระบุว่าสายการผลิต Mission E น่าจะเริ่มได้ในสิ้นศตวรรษนี้