ธุรกิจ
โตโยตา ไฮบริด ยอดขาย ทะลุ 10 ล้านคัน
โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประกาศ โตโยตา ไฮบริด มียอดขายทั่วโลก ทะลุ 10.05 ล้านคัน ณ วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ถือบรรลุเป้ายอดขาย 10 ล้านคัน สะท้อนให้เห็นถึงพลังอันยังยืนของเทคโนโลยีการช่วยลดปัญหาการปล่อยแกสเรือนกระจกและมลภาวะอื่นๆ
ทาเคชิ อูชิยามาดะ กรรมการ โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน เปิดเผยว่า หลังจากสรุปยอดขายรถยนต์ โตโยตา ไฮบริด ณ วันที่ 31 มกราคม 2560 ทั่วโลก โตโยตา มียอดขายทะลุ 10 ล้านคัน ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จเชิงตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังอันยั่งยืนของเทคโนโลยีในการช่วยลดปัญหาการปล่อยแกสเรือนกระจกและมลภาวะอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ผ่านมา โตโยตา ให้ความสำคัญในการพยายามช่วยลดผลกระทบจากรถยนต์มีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยาวนาน เราเชื่อว่าหากผู้คนขับขี่ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแพร่หลาย จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้สังคมได้ในที่สุด ด้วยเหตุผลดังกล่าว โตโยตา จึงพยายามนำเสนอรถยนต์ไฮบริดให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างทั่วโลก โดยในเดือนสิงหาคม พศ. 2540 โตโยตา เปิดตัวรถ โคสเตอร์ ไฮบริด อีวี ต่อมาในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน โตโยตา ได้แนะนำ ปรีอุส รถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดมาผลิตเพื่อจำหน่าย หลังจากนั้น รถยนต์ไฮบริดของ โตโยตา ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้ใช้ทั่วโลก ทั้งนี้การบรรลุเป้าหมาย 10 ล้านคันในครั้งนี้ สามารถทำได้ภายในช่วงเวลาเพียง 9 เดือนหลังจากที่ยอดขายรวมแตะหลัก 9 ล้านคันเมื่อเดือนเมษายน พศ. 2559
"การลดระดับการปล่อยแกสเรือนกระจกนับวันก็ยิ่งจะกลายเป็นประเด็นปัญหาระดับโลกมากขึ้น รถ ปรีอุส รุ่นแรกของ โตโยตา ถือเป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่ 21 นี้ ทีมงานที่พัฒนารถ ปรีอุส เชื่อมั่นว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องพัฒนายานยนต์ไฮบริดเพื่อโลกอนาคต และแทนที่จะเลือกทำแต่เรื่องง่ายๆ พวกเขากลับเชื่อว่าตนเองต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ให้สำเร็จ
ทั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นในที่สุดทีมงานก็ได้เปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดผลิตเพื่อขายเป็นจำนวนมากให้ทั่วโลกได้สัมผัสและครอบครอง และเป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนต่างนิยมใช้รถยนต์ ปรีอุส อย่างแพร่หลายจนถึงขั้นที่คำว่า ปรีอุส กลายเป็นคำติดปากที่สื่อถึง “ยานหาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
นอกจากนี้ ระบบไฮบริดของ โตโยตา (Toyota Hybrid System - THS) ที่ติดตั้งใน ปรีอุส รุ่นแรกก็ถูกพัฒนาไปอีกขั้นให้เป็นระบบไฮบริด THS II ในปี 2546 โดยระบบนี้ถูกติดตั้งเป็นระบบขับเคลื่อนในรถไฮบริดของ โตโยตา อีกหลายรุ่น ต่อมาในปรีอุส รุ่นที่ 4 ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกที่สร้างขึ้นบนพแลทฟอร์ม โตโยตา นิว โกลบอล อาร์คิเทคเจอร์ (Toyota New Global Architecture – TNGA2 ) (คลูเกอร์ ไฮบริด (สำหรับตลาดญี่ปุ่น) เลิกผลิตในปี 2550) ก็ถูกพัฒนาให้เป็นรถที่นอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นทางเลือกให้ผู้ขับขี่ที่มองหารถยนต์ที่ขับสนุกไปพร้อมกับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับอีกด้วย
โตโยตา เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ด้วยความนิยมในตัวรถ ปรีอุส ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ลูกค้าเริ่มคำนึงถึงปัจจัยเรื่องสมรรถนะด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเกณฑ์มาตรฐานอีกข้อในการเลือกซื้อรถ จากการที่บริษัทรถยนต์ค่ายต่างๆ เริ่มพัฒนาและเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้เกิดประเภทตลาดรถยนต์ที่เรียกว่า “รถไฮบริด” เพิ่มขึ้นมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้ลูกค้าทั่วโลกต่างก็เลือกซื้อรถไฮบริดและรถประหยัดพลังงานมากขึ้น หมายถึงอุตสาหกรรมยานยนต์เข้ามามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับโลกได้ ถึงแม้ โตโยตา จะสามารถบรรลุเป้ายอดขายรถไฮบริด 10 ล้านคันได้แล้ว แต่ โตโยตา จะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เราจะเดินหน้าสร้างสรรค์รถยนต์ที่ดียิ่งกว่านี้เพื่อลูกค้าของเราต่อไป
"ตอนที่เราเปิดตัว ปรีอุส ไม่มีใครรู้เลยว่าไฮบริดคืออะไร ผู้คนต่างเรียกคนที่เลือกขับ ปรีอุส ว่าเป็นพวกบ้าเทคโนโลยีหรืออะไรทำนองนั้น แต่พอมาถึงวันนี้ ต้องบอกว่าเป็นเพราะกลุ่มลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่ให้โอกาสเราด้วยการเลือกใช้ ปรีอุส นั่นเองครับที่ทำให้รถไฮบริดได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังช่วยกันขับเคลื่อนความสำเร็จของนวัตกรรมที่ไม่มีใครรู้จักกันในตอนแรก ให้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในทุกวันนี้ เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ช่วยผลักดันให้ โตโยตา บรรลุเป้ายอดขายรถไฮบริด 10 ล้านคันได้ และขอมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าทำหน้าที่ของเราต่อไปด้วยกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมครับ”
ในวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา โตโยตา คาดการณ์ว่าการขับขี่รถยนต์ไฮบริดของ โตโยตา ไม่รวม โคสเตอร์ ไฮบริด อีวี และควิค เดลิเวรี 200 แทนที่การขับขี่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงแบบธรรมดาที่มีขนาดเดียวกันและสมรรถนะการขับขี่ไม่ต่างกันนั้นจะสามารถลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 77 ล้านตัน (โตโยตา คำนวณตัวเลขนี้โดยการนำเอาตัวเลขของรถยนต์ที่ลงทะเบียน × ระยะการเดินทาง × ประสิทธิภาพของเชื้อเพลิง (ประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงตามจริงในแต่ละประเทศ) × ตัวแปลงปัจจัย CO2) ตลอดจนสามารถประหยัดน้ำมันได้ราว 29 ล้านกิโลลิตรทีเดียว
เมื่อเดือนตุลาคม 2558 โตโยตา ได้ประกาศแผน Toyota Environmental Challenge 2050 ซึ่งมุ่งตั้งเป้าลดผลกระทบด้านลบของรถยนต์ โตโยตา ต่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลกให้เหลือใกล้เคียงศูนย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดจนมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน ทั้งนี้ โตโยตา กำหนดให้เทคโนโลยีไฮบริดเป็นเทคโนโลยีหลักที่จะช่วยผลักดันให้บรรลุพันธกิจด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่ 21 โดยเทคโนโลยีไฮบริดหมายรวมถึงเทคโนโลยีทุกอย่างที่นำมาใช้เพื่อพัฒนาขึ้นเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบทเตอรีไฟฟ้าและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงแบบผสมผสานหลายรูปแบบ ทั้งนี้ โตโยตา มุ่งมั่นที่จะต่อยอดผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ขยายไปสู่รถยนต์รุ่นอื่นๆ อีกในอนาคต
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/158441