ทดลองขับ(4wheels)
เชฟโรเลต์ ทเรลบเลเซอร์
เอสยูวี กลิ่นอาย "คาวบอยอเมริกัน" หรูไม่น้อยหน้า ลุยได้ไม่หวั่น
ภายนอก
เชฟโรเลต์ รุกตลาดสายพันธุ์ตัวลุยต่อเนื่อง ด้วยเอสยูวี ทเรลบเลเซอร์ (TRAILBLAZER) โครงสร้างพื้นฐานใช้ร่วมกันกับกระบะ โคโลราโด (COLORADO) รูปทรงด้านหน้ายังคงความขึงขังในสไตล์อเมริกัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโลโก "โบว์ไท" (BOWTIE) สีทองอร่าม เสริมมาดดุด้วยโป่งซุ้มล้อขนาดใหญ่ พร้อมกับสันเหลี่ยมตามส่วนต่างๆ ทำให้เอสยูวีรุ่นนี้มีทั้งมาดหรู และดุดัน อย่างลงตัว รุ่นที่เราได้ทดลองขับเป็นรุ่นทอพ แอลทีเซด 1 (LTZ 1) ให้ล้อแมก 18 นิ้ว กับยางขนาด 265/60 R18 ดูหนักแน่นและลงตัวกว่ายางขนาด 245/70 R16 อย่างเห็นได้ชัด
ภายใน
เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร เราพบว่าพื้นที่มีให้อย่างเหลือเฟือ คอนโซลหน้าถอดแบบมาจากกระบะ โคโลราโด เช่นกัน แต่ติดตั้งลิ้นชักเก็บของตามจุดต่างๆ เอาไว้มากมาย เนื่องจากเป็นรุ่นทอพ แอลทีเซด 1 อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ จึงให้มาครบ ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชัน ควบคุมระบบเครื่องเสียง จีพีเอส และระบบครูสคอนทโรล ขาดไม่ได้สำหรับบแรนด์ เชฟโรเลต์ กับเบาะนั่ง 3 แถว เย็นสบายกับช่องแอร์สำหรับทุกจุด เบาะแถวที่ 2 สามารถพับตั้งสะดวกด้วยการดันสลักเพียงครั้งเดียว ส่วนแถวที่ 3 สามารถพับพนักพิงลงมา แม้ไม่ราบสนิทกับพื้นรถ แต่ก็เพิ่มพื้นที่สัมภาระได้มาก รองรับถุงกอล์ฟขนาดใหญ่ได้สบายๆ โดยรวมแล้วการตกแต่งภายในให้ทั้งความกว้างขวาง และมีรูปแบบการตกแต่งที่ให้ความรู้สึกทันสมัยไม่น้อย จนแทบลืมไปเลยว่า นี่คือ เอสยูวีแบบพีพีวี ที่ใช้พื้นฐานร่วมกับรถกระบะ
เครื่องยนต์
ด้านขุมกำลังที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.8 ลิตร "DURAMAX" กำลัง 180 แรงม้า ที่ 3,800 รตน. แรงบิดสูงสุด 47.9 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน. มีลักษณะของแรงบิดที่แปลกเล็กน้อย เนื่องจากมีรอบการทำงานของแรงบิดสูงสุดคงที่ ส่วนระบบเกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ ขณะแล่นบนทางเรียบเราใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (2H) แต่ขณะทดลองขับในทางวิบาก จึงจะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อสำหรับทางสมบุกสมบัน (4L)
ทางผู้จัดได้เตรียมสนามทดลองขับทางวิบาก ณ ฟาร์มโชคชัย เริ่มด้วยการสาธิตประสิทธิภาพการลากจูง ที่น้อยรายจะกล้านำเสนอคุณสมบัติในส่วนนี้ ด้วยรถลากที่มีน้ำหนักร่วม 3 ตัน พละกำลังของ ทเรลบเลเซอร์ สามารถรองรับได้เป็นอย่างดี การออกตัวขณะลากจูงยังลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงจากด้านท้ายแม้แต่น้อย สมเป็นเอสยูวีสายพันธุ์อเมริกันที่มีความโดดเด่นด้านการลากจูง
สถานีต่อไปเป็นการจำลองสถานการณ์บุกตะลุยบนทางโคลนเลน สภาพหนทางเป็นหลุมลึก และมีเนินสูงชัน การขับในสถานีเราเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4L) รักษารอบเครื่องยนต์ที่ 2,000 รตน. อย่างไรก็ตาม รถที่ใช้ทดสอบในสถานีนี้เปลี่ยนไปใช้ยางสำหรับทางวิบากเต็มตัว (มัดเทอร์เรน) ไม่ใช่ยางที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมากับตัวรถ เนื่องจากต้องการเน้นเรื่องสมรรถนะในการลุยทางวิบาก
ระบบรองรับ
จากการทดลองขับ เราพบว่าตัวรถสามารถขับเคลื่อนไปตามอุปสรรคได้อย่างไม่ยากเย็น แรงบิดที่เหลือเฟือทำให้การปีนขึ้นเนินที่มีสภาพพื้นผิวเป็นโคลน สามารถผ่านพ้นได้ง่ายดาย เพียงรักษารอบเครื่องในระดับที่เหมาะสม และการควบคุมทิศทางพวงมาลัยที่ถูกต้อง นอกจากนี้การลุยผ่านหลุมบ่อด้วยมุมตะแคงที่ลาดชัน สลับซ้าย/ขวา ช่วงล่างมีระยะยืดยุบค่อนข้างมาก แม้เป็นระบบมัลทิลิงค์ สามารถขับเคลื่อนผ่านอุปสรรคในส่วนนี้ได้ไม่ยากเย็นเช่นกัน ในแง่ของการลุยทางสมบุกสมบันแล้ว ทเรลบเลเซอร์ มีความโดดเด่นในจุดนี้อย่างชัดเจน
สถานีที่ 3 เป็นการขับเข้าไปในบริเวณไร่ฟาร์มโชคชัย 2 ลัดเลาะไปตามเนินเขา เพื่อทดลองใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน (HSA) โดยขณะขับลงเขาระบบจะช่วยชะลอความเร็วของรถเอาไว้โดยที่ไม่ต้องแตะเบรคแต่อย่างใด ทำให้การขับลงทางลาดชันมีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก การออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน ระบบจะหยุดรถเอาไว้ชั่วขณะที่เราถอนเท้าจากแป้นเบรคไปยังคันเร่ง ช่วยไม่ให้รถไหลถอยหลัง นับเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกขณะขับไปตามทิวเขาได้เป็นอย่างดี
หลังจากผ่านการทดลองขับครบทุกสถานี เรามีความรู้สึกว่า เชฟโรเลต์ ทเรลบเลเซอร์ มีน้ำหนักของพวงมาลัยที่เหมาะสม ตอบสนองดีสำหรับรถประเภทนี้ ด้านช่วงล่างให้อารมณ์ออกไปทาง "นุ่มหนึบ" ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบมัลทิลิงค์ 5 จุด (แทนช่วงล่างด้านหลังแบบแหนบของ โคโลราโด) การขับบนทางราบให้ความรู้สึกที่กระด้างเล็กน้อยที่ความเร็วต่ำ มีอาการโคลงบ้างตามลักษณะของเอสยูวีทรงสูง แต่หนึบที่ความเร็วสูง ส่วนทางสมบุกสมบัน ช่วงล่างมีการให้ตัวได้ดี ลุยผ่านอุปสรรคสมบุกสมบันได้อย่างไม่ยากเย็น แต่อาจไม่เหมาะกับการลุยแบบกระแทกกระทั้น ขณะที่ระบบเบรคเป็นแบบจานทั้ง 4 ล้อ ต่างจากคู่แข่งระดับเดียวกันที่มีระบบเบรคคู่หลังแบบดุม
สรุป
เชฟโรเลต์ ทเรลบเลเซอร์ แสดงให้เห็นความเป็นเอสยูวีสมัยใหม่ รูปทรงคมเข้มทันสมัย แฝงความหรูหรา พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเหลือเฟือ สมรรถนะโดดเด่นสำหรับการลุย รองรับได้แม้เป็นอุปสรรคที่สมบุกสมบัน ขณะที่การใช้งานบนทางเรียบก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ผนวกกับอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่ให้มามากกว่ารถระดับเดียวกันในรุ่นทอพ ทำให้รถคันนี้มีการใช้งานที่หลากหลายกว่าเอสยูวีแบบครอสส์โอเวอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจมาก สำหรับรถสายพันธุ์ลุยที่มีในท้องตลาดขณะนี้ กับราคา 1,059,000-1,489,000 บาท